ขณะที่ไดม่อนกำลังนั่งเรียนอยู่โทรศัพท์ที่วางบนโต๊ะก็ขึ้นแจ้งเตือนแชทของรามินส่งมา ไดม่อนจึงเปิดอ่านทันที
Ramin : ได้ข้อมูลพี่โรสแล้วนะพี่ม่อนจะให้ผมพิมพ์ตอนนี้เลยมั้ยหรือจะรอไปคุยกันหลังเลิกเรียนครับ
Dimon : พิมพ์มาตอนนี้
Ramin : จ่ายค่าจ้างผมมาก่อนสิ
Dimon : ถ้ามึงยังลีลากูจะไปบอกเมียมึง ว่ามึงเสียเงินแสนไปกับไอ้รถมอไซส์เก่าๆ ที่มึงขับไปหลอก
เมียมึง กูรู้ว่ามึงไม่ได้บอกเมียมึงเรื่องนี้
Ramin : โห เล่นแบบนี้เลยหรอพี่ เล่นแรงนะเนี่ย
Dimon : เข้าเรื่อง อย่าลีลา
Ramin : ก็ได้ครับ เมื่อเช้าผมให้พี่เค้กโทรถามชื่อจริงจากพี่โรส พี่โรสเปลี่ยนทั้งชื่อและนามสกุลเลยพี่
พอรู้ชื่อจริงผมเลยให้พี่โจ้ตามหาที่อยู่ให้ เห็นว่าพี่โรสอาศัยอยู่กับยายคนหนึ่ง พี่จะให้ผมไป
ไปหายายคนนั้นหรือพี่จะไปหาเองครับ
Dimon : ส่งที่อยู่มาเดี๋ยวกูไปเอง
Ramin : ครับ
เมื่อคุยกันเสร็จไดม่อนก็หันมาสนใจเรียนต่อทันที
“เจ ชั่วโมงนี้มึงลาอาจารย์ให้กูหน่อยนะ”
ไดม่อนเอ่ยบอกเจไดทันทีเมื่อเรียนเสร็จคาบนี้แล้วต้องไปเรียนต่ออีกคาบก่อนพักเที่ยง
“มึงจะไปไหน”
เจไดถามไดม่อนด้วยความสงสัยเพราะพึ่งเคยเห็นไดม่อนมาลาเรียนแบบนี้
“กูมีธุระสำคัญที่ต้องทำ ไว้จะกลับมาเล่าให้ฟัง”
ไดม่อนตอบเจไดไปตามตรงเพราะนอกจากอคินและรามิน ก็มีเจไดที่รู้เรื่องของเขามากพอสมควรแต่เจไดก็ไม่ได้เข้าไปวุ่นวายมาก
“เออ มึงไปเถอะ”
ไดม่อนพยักหน้าแล้วเดินออกจากห้องเรียนตรงไปที่รถเพื่อไปหาคนที่ดูแลโรสทันที รถสปอร์ตหรูจอดตรงทางเข้าหน้าหมู่บ้านสลัมที่ดูคับแคบแถมยังดูไม่ค่อยปลอดภัยเพราะเขาสังเกตเห็นเหมือนมีนักเลงเจ้าถิ่นที่คอยคุมถิ่นนี้อยู่ ร่างสูงลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในซอยตามที่อยู่ที่รามินส่งให้เดินเข้ามาสักพักก็มาหยุดที่หน้าห้องเช่าเก่าที่รามินนั้นบอกว่าเป็นที่อยู่ของโรส ไดม่อนถึงกับกำหมัดแน่นเมื่อเห็นที่อยู่ของเธอตลอดเจ็ดปีสักพักก็ตัดสินใจเคาะประตูห้องไม่นานก็มีหญิงชราวัยประมาณราวๆ เจ็ดสิบปีเปิดประตูให้เขา
“มาหาใครหรอจ้ะพ่อหนุ่ม”
ยายบัวเอ่ยถามไดม่อนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“สวัสดีครับยาย ผมมาหายายนั่นล่ะครับ”
ไดม่อนยกมือไหว้ยายบัวอย่างนอบน้อมพร้อมกับพูดขึ้นจนยายบัวได้แต่ทำหน้าสงสัย
“มีอะไรรึเปล่าจ้ะ ยายว่ายายไม่รู้จักพ่อหนุ่มนะ”
ยายบัวเอ่ยถามไดม่อนด้วยความสงสัย
“ผมมาเพราะเรื่องโรสครับ ผมอยากรู้เรื่องที่ยายเจอโรสเมื่อเจ็ดปีก่อนครับ”
ยายบัวเบิกตากว้างตกใจทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของไดม่อน
“พะ…พ่อหนุ่มรู้จักหนูโรสของยายด้วยหรอจ้ะ”
“รู้จักครับ รู้จักดีด้วย ผมตามหาเธอมาตลอดเจ็ดปีครับยาย”
ไดม่อนตอบกลับยายบัวด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“งั้นก็เข้ามาก่อนเถอะพ่อหนุ่ม”
ยายบัวเปิดประตูกว้างขึ้นเพื่อให้ไดม่อนเดินเข้ามาในห้อง เมื่อไดม่อนเข้ามาในห้องแล้วก็รู้สึกตกใจเพราะสภาพในห้องนั้นดูสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อย ผนังห้องก็ตกแต่งด้วยแผ่นวอลเปเปอร์สีขาวดูสะอาดตา ข้าวของเครื่องใช้ก็วางเป็นระเบียบทุกอย่างต่างจากภายนอกที่ดูเก่าทรุดโทรม
“ตกใจใช่มั้ยพ่อหนุ่มที่เห็นในห้องดูแตกต่างจากภายนอก ทั้งหมดนี่หนูโรสเป็นคนทำเองกับมือทุกอย่างเลย หลานยายเป็นคนชอบความสวยงามตามประสาผู้หญิงนั่นล่ะพ่อหนุ่ม”
ยายบัวพูดกับไดม่อนด้วยรอยยิ้มจนไดม่อนรู้สึกได้ว่าท่านคงจะรักโรสจริงๆ
“โรสเค้าชอบความสวยงามแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับยาย ผมชื่อไดม่อนนะครับ เจ็ดปีก่อนก่อนที่โรสจะหายตัวไปเธอเป็นเพื่อนบ้านผม เราสองคนสนิทกันมากครับยาย นี่ครับรูปของโรสตอนเด็กๆ ที่ถ่ายคู่กับผม”
ไดม่อนยื่นโทรศัพท์ให้ยายบัวดูรูปที่เขาถ่ายคู่กับโรสเพื่อเป็นการยืนยันว่าเขารู้จักโรสจริงๆ
“พ่อหนุ่มตามหาหนูโรสมาตลอดเจ็ดปีเลยหรอ”
ยายบัวถามไดม่อนทันทีเมื่อดูรูปแล้ว
“ครับยาย ผมและครอบครัวผมตามหาโรสมาตลอดตั้งแต่เธอหายไปจนถึงตอนนี้ที่ผมได้เจอโรสที่มหาลัยที่ผมเรียนอยู่ครับ”
ไดม่อนตอบยายบัวไปตามตรงโดยไม่ปิดบังอะไร
“ยายถามพ่อหนุ่มตรงๆ ได้มั้ยจ้ะ”
“ครับยาย”
ไดม่อนขานตอบยายบัวพร้อมกับรอคำถามจากท่าน
“ทำไมพ่อหนุ่มถึงพยายามตามหาหนูโรสหรอ ทั้งๆ ที่เป็นแค่เพื่อนบ้านกัน”
ยายบัวถามขึ้นทันทีด้วยความอยากรู้
“ผมรักโรสครับยาย รักตั้งแต่ตอนนั้น ก่อนที่เธอจะเกิดอุบัติเหตุจนหายตัวไปเราสองคนมีเรื่องเข้าใจผิดกันผมเลยบินไปอังกฤษกับพ่อเพราะยังไม่พร้อมคุยกับเธอนั่นคือสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตผมครับยาย ผมมัวแต่โกรธจนไม่ยอมฟังเหตุผลของโรสเอาแต่คิดจะหนีกว่าจะคิดได้มันก็สายไปแล้วครับ”
ไดม่อนตอบยายบัวไปโดยไม่ปิดบัง ใบหน้าหล่อเผยความเศร้าและรู้สึกผิดออกมาชัดเจนจนทำให้ยายบัวรับรู้ว่าเขาคงเจ็บปวดมากในตอนนั้น
“เรื่องมันผ่านไปแล้วอย่ากลับเอามาคิดเลยนะพ่อหนุ่ม นั่งพื้นได้มั้ยที่ห้องยายไม่ได้มีเก้าอี้ให้นั่งน่ะ”
ยายบัวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมกับยื่นมือไปแตะแขนไดม่อนเพื่อนเป็นการปลอบใจจากนั้นก็เอ่ยถามเขาขึ้นเพราะที่ห้องไม่ได้มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งเนื่องจากห้องคับแคบสองยายหลานจึงเลือกนั่งพื้นแทน
“ได้ครับยาย”
เมื่อไดม่อนพูดจบยายบัวก็ค่อยๆ นั่งลงพื้นแต่ก็ต้องชะงักเมื่อไดม่อนนั้นมาพยุงยายบัวขณะที่ท่านกำลังจะนั่งลงพื้นทำเอายายบัวสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนจากไดม่อนดูท่าคงจะได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างนี้ถึงได้มีท่าทางอ่อนน้อมกับผู้ใหญ่ขนาดนี้ทั้งๆ ที่ดูเหมือนเขาจะดูมีฐานะมากกว่าตัวเองด้วยซ้ำ เมื่อไดม่อนพยุงช่วยยายบัวนั่งลงแล้ว เขาก็นั่งลงข้างๆ ยายบัวทันที เมื่อทั้งสองนั่งลงแล้วยายบัวจึงเล่าเหตุการณ์เมื่อเจ็ดปีก่อนให้ไดม่อนฟัง
“เจ็ดปีก่อนยายทำขนมไทยขายเลี้ยงดูตัวเองเพราะตั้งแต่สามียายเสียไปยายก็อยู่คนเดียวมาตลอดเพราะไม่มีลูกแต่ยายไม่ได้มีร้านประจำส่วนมากจะเดินขายตามร้านหมูกระทะบ้าง ตามร้านข้าวข้างทางบ้างโดยจะขายในระแวกใกล้ๆ ตอนนั้นเป็นวันที่ยายแย่มากๆ เพราะขายขนมไม่ได้เลยจนค่ำมืดก็ยังขายไม่ได้ เพราะความน้อยเนื้อต่ำใจกับโชคชะตาตัวเองยายเลยจะเอาขนมไปเททิ้งที่แม่น้ำ พอไปถึงแม่น้ำแล้วกำลังจะเทขนมทิ้งยายก็เห็นเหมือนมีคนนอนอยู่บนขอนไม้ลอยมา ยายเลยตัดสินใจลงน้ำไปช่วยก็เห็นเป็นเด็กสาวน่าตาจิ้มลิ้มนั่นก็คือหนูโรสเนื้อตัวมีแผลคล้ายๆ โดนอะไรบาดมาแต่ก็ไม่ได้ลึกมากแต่จะหนักก็ตรงที่หัวแตกนี่ล่ะ พอยายพาหนูโรสขึ้นมาบนฝั่งยายก็พยายามปลุกให้เธอตื่นโชคดีที่ยายเคยเป็นผู้ช่วยพยาบาลมาก่อนเลยรู้ว่าชีพจรหนูโรสยังเต้นปกติแต่แค่สลบไปเท่านั้น ปลุกเธอได้สักพักหนูโรสก็ลืมตาขึ้นแล้วพูดเสียงแผ่วเบาว่า ช่วยหนูด้วย จากนั้นก็หลับไปยายก็เลยพาหนูโรสกลับห้องเช่าตัวเอง”
“ทำไมยายถึงไม่พาโรสไปโรงพยาบาลล่ะครับ”
ไดม่อนเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยหลังจากที่นั่งเงียบฟังยายบัวพูดมานาน
“ที่นี่จะมีเสี่ยองอาจเป็นคนคุมหรือเรียกว่าสลัมนี้เสี่ยองอาจเป็นเจ้าของ ตอนนั้นไอ้พวกนักเลงลูกน้องของเสี่ยองอาจเหมือนกำลังออกตามหาเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยายกลัวจะเป็นหนูโรส เพราะก่อนที่หนูโรสจะสลบอีกครั้งก็พูดขอความช่วยเหลือ ยายเลยเข้าใจว่าคนที่เสี่ยองอาจตามหาคงจะเป็นหนูโรสยายเลยตัดสินใจพาหนูโรสมาซ่อนตัวที่ห้องเช่า ยายทำแผลและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หนูโรสด้วยตัวเองคนเดียวเช้าวันต่อมาหนูโรสก็ตื่นขึ้นพอยายถามว่าเป็นใคร มาจากไหนหนูโรสกลับตอบไม่ได้บอกแค่ว่าตัวเองชื่อโรสและวันเกิดเธอเท่านั้น ยายเลยเข้าใจว่าคงจะเสียความทรงจำเพราะหัวหนูโรสแตกคงจะได้รับการกระทบกระเทือนตอนตกน้ำ พอยายพยายามให้หนูโรสนึกก็ยิ่งทำให้หนูโรสปวดหัว ยายเลยไม่ถามต่อพอยายจะพาไปหาหมอลูกน้องของเสี่ยองอาจก็กระจายเต็มสลัมเพราะยังหาตัวเด็กผู้หญิงคนนั้นไม่เจอยายเลยให้หนูโรสอยู่แต่ในห้องเช่าไม่ให้ออกไปไหนจนผ่านมาเกือบสามเดือนพอยายรู้ข่าวว่าคนที่เสี่ยองอาจตามหาไม่ใช่หนูโรสยายจึงพาหนูโรสออกไปข้างนอกโดยพาไปทำบัตรประชาชนให้ใหม่ ยายตัดสินใจไปกู้เงินเสี่ยองอาจมาหนึ่งหมื่นเพื่อเอาไปติดสินบนให้เจ้าหน้าที่ทำการลงข้อมูลของหนูโรสใหม่ โดยยายตั้งชื่อจริงหนูโรสว่า สโรชา แล้วให้ใช้นามสกุลยายเลยในข้อมูลทะเบียนบ้านชื่อพ่อแม่ก็ใส่เป็นชื่อตากับยาย”
ยายบัวเล่าเรื่องราวให้ไดม่อนฟังอย่างไม่ปิดบัง
“ทำไมยายถึงตัดสินใจจ่ายเงินเป็นหมื่นเพื่อให้เจ้าหน้าที่ลงข้อมูลให้โรสใหม่ ทำไมยายไม่พาโรสไปสถานีตำรวจเพื่อแจ้งความล่ะครับ ยายทำแบบนี้ทำไม”
ไดม่อนเอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะเขาไม่เข้าใจว่าทำไมยายบัวถึงยอมไปกู้เงินเพื่อมาติดสินบนเจ้าหน้าที่ให้เปลี่ยนแปลงข้อมูลของโรส
“เอาตรงๆ ก็เพราะความเห็นแก่ตัวของยายเองล่ะพ่อหนุ่ม สามเดือนที่หนูโรสอยู่กับยายเธอเป็นเด็กดีมาก นิสัยอ่อนน้อมพูดจาไพเราะอ่อนหวาน ขนาดยายไม่ให้ออกไปไหนเลยหนูโรสก็ไม่เคยบ่น ทุกวันยายกลับจากขายขนมหนูโรสก็เตรียมกับข้าวกับปลาไว้ให้แถมยังทำงานบ้านโดยที่ยายไม่ได้บอกอะไรเลยสักนิด มันทำให้ยายทั้งรักทั้งเอ็นดูหนูโรสจึงตัดสินใจทำให้หนูโรสเป็นหลานตัวเองจริงๆ ฮึก เพราะยายมันเห็นแก่ตัวเอง ยายไม่รู้ว่าจะมีคนตามหาหนูโรสแบบนี้ ฮึก ยายขอโทษนะพ่อหนุ่ม ยายขอโทษจริงๆ ฮืออ พ่อหนุ่มจะมาพาหนูโรสกลับบ้านแล้วใช่มั้ย”
ยายบัวพูดขึ้นพร้อมกับร้องไห้ออกมาทั้งรู้สึกผิดที่เห็นแก่ตัวไม่ยอมพาโรสไปแจ้งความทั้งหวั่นใจกลัวไดม่อนพาโรสกลับบ้านของเธอ ยายบัวเงยหน้ามองไดม่อนทันทีเมื่อเขานั้นยื่นมือมากุมมือตัวเองไว้
“ยายอย่าโทษตัวเองเลยครับ ยายทำไปเพราะรักโรสใครได้อยู่ใกล้โรสก็ต้องรักและเอ็นดูโรสอยู่แล้วครับ”
ไดม่อนตอบยายบัวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“พะ…พ่อหนุ่ม ฮึก จะมาเอาหนูโรสกลับไปด้วยใช่มั้ย”
ยายบัวเอ่ยถามไดม่อนเสียงสะอื้นด้วยน้ำตา
“ครับ ที่ผมมาหายายเพื่อจะมาบอกว่าผมจะพาโรสกลับบ้านของเธอครับ”
“ฮึก หลานยาย ฮืออออ”