บทนำ
แคว้นฟงหลิง
ยามราตรีเสียงลมกระโชกที่โหมกระหน่ำรุนแรง ต้นไม้ทุกต้นโยกไหวไปตามแรงลม คล้ายกับมีมือหลายมือเสมือนเงามืดที่จับต้นไม้เหล่านั้นให้เอนไหวไปตามทิศทางลม จันทราสาดแสงส่องลงมาทำให้เห็นทุกสรรพสิ่งได้อย่างเลือนราง ยามนี้ภายในจวนตระกูลจาง ทุกคนต่างเข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์กันหมดแล้ว จะเหลือก็เพียงเรือนเหลียนฮวา ที่ตอนนี้ยังคงมีแสงเทียนวับแวมให้พอมองเห็นได้อยู่บ้าง ภายในห้องมีหญิงสาววัยสิบเจ็ดปีกำลังนั่งพนมมืออยู่ในอ่างน้ำ ที่มีกลิ่นสมุนไพรเข้มข้น พลางขยับริมฝีปากแดงฉ่ำท่องสวดคาถาบางอย่างไม่ยอมลดละ พร้อมกับยกยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ บรรยากาศโดยรอบพลันเย็นยะเยือกลงจนหนาวสะท้าน ก่อนที่นางจะขยับริมฝีปากบางเอ่ยวาจาออกมา
"ขอให้ข้างามที่สุด งามเป็นหนึ่งในแคว้นฟงหลิง สตรีใดก็มิอาจเทียบเคียงข้าได้แม้แต่ปลายเส้นผม"
กล่าวจบนางก็คลี่รอยยิ้ม ใบหน้างดงามล่มเมือง ทว่ากลับแฝงเอาไว้ด้วยความเย็นชาอำมหิต
"คุณหนูเจ้าคะ ยามนี้ดึกมากแล้ว รีบเข้านอนเถิดเจ้าค่ะ"
เสียงสาวใช้นางหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยท่าทีหวาดหวั่น หญิงสาวพลันปรายตามามองสาวใช้อย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะตวาดเสียงดัง
"พูดมาก นังคนชั้นต่ำ!"
สิ้นเสียงหญิงสาวก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะสั่งให้สาวใช้มาเก็บกวาดทุกอย่างให้เรียบร้อย จึงกลับเข้าไปในห้องนอน นางทิ้งกายนั่งลงบนเตียง ก่อนจะยกชามใบหนึ่งที่มีน้ำแกงบางอย่างขึ้นมายกดื่มจนหมดถ้วย เหล่าสาวใช้ที่เห็นแม้จะรู้สึกอยากอาเจียนมากเพียงใดแต่กลับไม่กล้าแสดงท่าทีอื่นใดออกมา
จะไม่ให้พวกนางสะอิดสะเอียนได้อย่างไรกัน คุณหนูของพวกนางหลงใหลมนต์ดำจนถึงขั้นกินรกเด็กต้มน้ำแกงเข้าไป!
คุณหนูใหญ่ของพวกนางมีนามว่า จางเหมี่ยวลี่ เป็นบุตรสาวจวนแม่ทัพตระกูลจาง งดงามเหนือสตรีใดอีกทั้งมีความสามารถไม่น้อย บิดาของนางคือแม่ทัพใหญ่ เป็นบุรุษรูปงามองอาจแห่งยุค ส่วนมารดาของนาง ในกาลก่อนก็เป็นถึงสาวงามอันดับหนึ่งของแคว้นฟงหลิง ความงามของนางได้รับการถ่ายทอดจากบิดามารดาจนเป็นที่เลื่องลือ แม้จะมีข่าวลือแพร่สะพัดว่านางหลงใหลคุณไสยมนต์ดำ แต่ด้วยเพราะบิดานางทำความดีความชอบ ทำให้ราษฎรทั่วทั้งฟงหลิงไม่กล้านินทานางต่อหน้า แต่ลับหลังเรื่องของนางกลายเป็นเรื่องเล่าที่สนุกปากไปเสียแล้ว
จางเหมี่ยวลี่เริ่มเรียนรู้มนต์ดำผ่านไต้ซือผู้หนึ่ง เขามอบตำราให้นางเอาไว้ศึกษาหนึ่งเล่ม ในตำราเล่มนั้นมีทั้งวิธีการสาปแช่ง ศาสตร์ลับเรื่องความงาม ในคราแรกจางเหมี่ยวลี่ยังรู้สึกหวาดหวั่น แต่นานวันเข้านางกลับหลงใหลจนถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว
จุดมุ่งหมายเริ่มแรกเพียงอยากทำให้ตนเองงดงาม นางจึงสั่งให้สาวใช้ไปหาซื้อรกเด็กจากหญิงชาวบ้านที่คลอดบุตรและกำลังจะนำรกไปทิ้ง นานวันเข้าก็ติดต่อซื้อขายกันอย่างลับๆ หญิงผู้นั้นเห็นว่างานนี้ได้เงินดีจึงไม่สนถูกผิดอันใดอีก เมื่อได้รกเหล่านั้นมาแล้วจางเหมี่ยวลี่จึงให้สาวใช้เอามาตุ๋นเป็นยาเสริมความงามดื่มกินทุกวันเพื่อให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์งดงามอยู่เสมอ
เช้าวันต่อมา จางเหมี่ยวลี่ตื่นนอนแต่เช้าเพื่อมารับลมยามเช้า อากาศในฤดูใบไม้ผลิค่อนข้างที่จะดีไม่น้อยเลย นางจึงยืนรับลมต่ออีกครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินกลับเข้ามากินอาหารเช้าที่เรือนของตน ก่อนจะปรายตามองเหล่าสาวใช้แวบหนึ่ง
"เอาน้ำแกงตุ๋นมาให้ข้า"
สาวใช้นามว่าเยว่ซินหันขวับมามองเจ้านายของตน แล้วพูดด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ
"เอ่อ คุณหนู เมื่อคืนเพิ่งจะดื่มไปนะเจ้าคะ"
จางเหมี่ยวลี่เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงจ้องมองสาวใช้เยว่ซินด้วยแววตาเกรี้ยวกราด ก่อนจะเอ่ย
"ข้าสั่งให้เจ้าไปเอามา ไม่ได้ยินหรือ หรือต้องให้ข้าตบสั่งสอน!"
"คุณหนู ตอนนี้ เอ่อ รกพวกนั้นจะหมดแล้วนะเจ้าคะ ยามนี้บ้านเมืองอยู่ในช่วงภาวะสงคราม ทางการจึงสั่งเกณฑ์ไพร่พล สามีภรรยาแยกจากกัน ทำให้หาหญิงท้องแก่ลำบากยากยิ่งนัก แทบไม่มีเด็กเกิดใหม่เลยเจ้าค่ะ"
จางเหมี่ยวลี่หลับตาลง พยายามระงับโทสะ แต่เวลานี้นางโมโหแล้ว น้ำแกงตุ๋นรกเด็กของข้า!
ทันทีทันใดนั้นนางจึงคว่ำโต๊ะอาหารจนถ้วยชามแตกกระจายเกลื่อนพื้น
"ไปหามาให้ข้า!"
เยว่ซินที่เห็นว่าเจ้านายตนบันดาลโทสะถึงขั้นฆ่านางได้จึงไม่กล้ารั้งรออะไรอีก รีบไปที่ห้องครัวเพื่อที่จะนำน้ำแกงมามอบให้คุณหนู จางเหมี่ยวลี่ทิ้งกายลงนั่งที่เก้าอี้ริมหน้าต่าง ก่อนจะพนมมือขึ้นและพึมพำบางอย่างอยู่เงียบๆ
สวรรค์! ข้าจะไม่ผิดต่อบัญชาสวรรค์ ข้าจะต้องนำรกเหล่านั้นมาดื่มทุกวันให้จงได้ ท่านอย่าได้โกรธเคืองเลยนะเจ้าคะ
เสียงเอะอะโวยวายดังลั่นไปถึงเรือนใหญ่ของจวนตระกูลจาง จางฮูหยินร้อนใจจึงรีบเร่งมาดูบุตรสาวของตนทันที เมื่อเห็นว่าเครื่องเรือนถูกทุบทำลายจนแตกกระจัดกระจาย นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างเอือมระอา นางและสามีมีบุตรชายหญิงคู่หนึ่ง บุตรชายคนโตนามว่าจางเฉวียนอายุยี่สิบสองปี และจางเหมี่ยวลี่บุตรสาวอายุสิบเจ็ดปี โดยเฉพาะบุตรสาวนั้นนางรักดั่งแก้วตาดวงใจ จางเหมี่ยวลี่ต้องการสิ่งใดนางและสามีย่อมหามาให้ทุกอย่าง รู้ทั้งรู้ว่านางหลงงมงายในศาสตร์มนต์ดำพวกเขาก็ยังไม่สามารถคัดค้านนางได้
"เหมี่ยวเอ๋อร์ลูกแม่ เจ้าโมโหอันใดอีกเล่า ผู้ใดกล้าขัดใจบุตรสาวข้า!"
เหล่าสาวใช้ต่างนิ่งเงียบไม่กล้าปริปากพูดอะไร จางเหมี่ยวลี่เห็นว่ามารดามาหา ก็ระงับโทสะสงบสติอารมณ์ลงได้ พูดคุยสนทนาไม่กี่ประโยคเท่านั้น ไม่นานนักเยว่ซินก็ยกน้ำแกงเข้ามาให้จางเหมี่ยวลี่ นางรีบยกขึ้นดื่มครั้งเดียวจนหมดถ้วย จางฮูหยินลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างหวาดผวา นางรู้ดีว่ามันคือน้ำแกงทำมาจากอะไร แม้จะอยากอาเจียนแต่ก็ไม่กล้ากล่าววาจาใดเพราะเกรงว่าจะทำร้ายจิตใจบุตรสาว
เมื่อได้ดื่มน้ำแกงแล้ว จางเหมี่ยวลี่ก็อารมณ์ดีขึ้นมาอย่างฉับพลัน พูดจาสนทนากับมารดาของตนปกติ
"ท่านแม่เจ้าคะ อีกไม่นานท่านพี่เซียวจิ้งก็จะยกทัพกลับมาพร้อมกับท่านพ่อแล้ว ข้าอยากจะเตรียมของต้อนรับเขาเจ้าค่ะ ท่านแม่ท่านช่วยข้าด้วยเถิด ท่านรู้จักร้านค้ามากมายย่อมหาของดีมาให้ข้าได้เป็นแน่"
จางฮูหยินที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยกมือขึ้นลูบศีรษะบุตรสาวด้วยความรักใคร่ ก่อนจะรับปากนาง
"เหมี่ยวเอ๋อร์ ไว้แม่จะจัดการเรื่องนี้ให้เจ้าเอง"
"ท่านแม่รักข้าที่สุดเลย"
"แน่นอนอยู่แล้ว"
จางฮูหยินยิ้มให้บุตรสาวอย่างอ่อนโยน ตั้งแต่แต่งงานเข้าจวนตระกูลจางนางก็ทำหน้าที่ภรรยาที่ดีมาโดยตลอด สามีนางเองเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แคว้นฟงหลิง อีกทั้งจางเฉวียนบุตรชายคนโตของนางก็เข้าสู่กองทัพเป็นทหารหนุ่มที่มากความสามารถ อีกไม่นานย่อมได้รับพระราชทานตำแหน่งในกองทัพตามรอยบิดาเป็นแน่
บุตรชายนั้นมีความสามารถตามรอยบิดา น่าเสียดายที่จางเหมี่ยวลี่แม้จะมีทักษะเรื่องการต่อสู้มาตั้งแต่วัยเยาว์แต่กลับละเลยไม่สนใจ วันๆ เอาแต่สนใจศาสตร์มนต์ดำเช่นนี้
จางเหมี่ยวลี่แย้มยิ้มให้มารดาอย่างอ่อนหวาน ก่อนจะนึกถึงใบหน้าอันหล่อเหลาคมคายของเซียวจิ้งบุรุษที่ตนเฝ้าคะนึงหา
โดยที่ไม่รู้เลยว่าวันหนึ่งชะตาชีวิตของนางจะพลิกผันไปอย่างไม่หวนคืน
วังหลวงแห่งแคว้นซ่ง
"นางตายหรือยัง?"
"ยังพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท"
เสียงพูดคุยสนทนาที่อยู่ด้านนอกไม่ไกลนัก ทำให้หญิงสาวที่ถูกขังอยู่ในคุกหลวงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ นางรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย หญิงสาวค่อยๆหยัดกายลุกขึ้นนั่งพิงกำแพง ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เมื่อนางเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบคนผู้หนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่หน้าคุกคุมขังและมองนางด้วยแววตาเรียบเฉย
"ฉู่อี้เฉิน เหตุใดท่านจึงทำกับข้าเช่นนี้"
"เพราะเจ้าหมดประโยชน์แล้วอย่างไรเล่า"
ฉู่อี้เฉินตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา เดิมทีเขาและนางเคยสัญญาว่าจะแต่งงานกัน
หญิงสาวที่ถูกคุมขัง มีนามว่าเจี่ยงหร่าน เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของแม่ทัพใหญ่แคว้นซ่ง มีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊เพราะแคว้นซ่งเปิดกว้างเรื่องสตรีอยู่ไม่น้อย เจี่ยงหร่านจึงได้เข้าค่ายทหารตามบิดา ไม่นานก็รั้งตำแหน่งรองแม่ทัพแห่งกองทัพหวังหย่ง เป็นสตรีคนแรกที่มีตำแหน่งสูงสุดในกองทัพ
การที่เขาเข้าหานาง เดิมทีก็เพื่อผลประโยชน์ ก่อนหน้านี้คนตระกูลเจี่ยงไม่เห็นด้วยที่เจี่ยงหร่านใกล้ชิดสนิทสนมกับเขา เนื่องจากคนในตระกูลเจี่ยงขึ้นตรงต่อฮ่องเต้แคว้นซ่งบิดาของเขา ไม่ขึ้นตรงต่อองค์ชายคนใดทั้งสิ้น การที่เจี่ยงหร่านมอบใจให้กับเขา อาจส่งผลทำให้ฮ่องเต้ไม่ไว้วางใจคนในตระกูลเจี่ยง แต่เจี่ยงหร่านกลับไม่คิดเช่นเดียวกับบิดาตน นางปักใจรักหลงใหลในตัวเขาอย่างสุดซึ้ง มองว่าเรื่องความรักเป็นเรื่องส่วนตัว นางแยกแยะได้ทั้งสิ้น นางจึงดื้อรั้นไม่รับฟังคำทัดทาน ต้องการคบหากับเขาให้จงได้ จนถึงขั้นยอมมอบกายและใจให้เขาจนหมดสิ้น
ฉู่อี้เฉินใช้คำลวงหลอกล่อเจี่ยงหร่าน สัญญาว่าหากเขาได้เป็นองค์รัชทายาทและขึ้นครองราชย์เมื่อใด เขาจะแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮา ชั่วชีวิตนี้เขาจะมีเพียงนางผู้เดียวเท่านั้น แรกเริ่มเจี่ยงหร่านยังมีท่าทีเป็นกังวล แต่เพราะเขาใช้สารพัดวิธีมาหลอกล่อนางให้เชื่อมั่น
เจี่ยงหร่านที่ไร้เดียงสา วันๆใช้ชีวิตอยู่แต่ในสนามรบไม่ประสีประสาเรื่องความรัก จึงหลงเชื่อเขาจนหมดใจ นางไม่สนใจคำเตือนของแม่ทัพใหญ่เจี่ยงเลยแม้แต่น้อย
เจี่ยงหร่านเป็นคนมีฝีมือ เป็นหมากตัวสำคัญที่ทำให้ฉู่อี้เฉินลอบสังหารรัชทายาทและพี่น้องคนอื่นๆได้สำเร็จ วันหนึ่งแม่ทัพใหญ่เจี่ยงล้มป่วยจนแทบเอาชีวิตไม่รอด นางจึงลอบขโมยตราพยัคฆ์สั่งการทหารของบิดามามอบให้ฉู่อี้เฉิน นำกองทัพทหารหวังหย่งร่วมหลายแสนนายสวามิภักดิ์ต่อเขา และช่วยเปิดทางให้เขาเข้าบุกเมืองหลวงแคว้นซ่งสังหารฮ่องเต้และขุนนางที่ภักดีจนตายหมดสิ้น นางช่วยเขาจนสามารถก้าวขึ้นเป็นฮ่องเต้แคว้นซ่งได้สำเร็จ
ท้ายที่สุดเมื่อฮ่องเต้และเหล่าองค์ชายทั้งหลายล้วนล้มหายตายจาก ฉู่อี้เฉินก็ครองบัลลังก์ขึ้นเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ และสั่งประหารคนตระกูลเจี่ยงทั้งตระกูล เพื่อยึดอำนาจทางทหารร่วมหลายแสนนายของตระกูลเจี่ยงมาไว้ในมืออย่างสมบูรณ์ เขาไม่มีทางยอมให้ตระกูลที่เขาไม่มีความไว้วางใจ มีโอกาสมาเชิดคออยู่ข้างกายเป็นอันขาด อย่างไรล้วนต้องหวาดระแวงและไม่ไว้ใจกัน
อีกทั้งฉู่อี้เฉินมีสตรีที่รักมากอยู่แล้วคนหนึ่ง นางคือบุตรสาวของท่านรองท่านราชครูแคว้นซ่งนามว่าฟ่านเหยา นางสนับสนุนเขาอย่างจริงใจ เขาและนางมีความรักต่อกันอย่างลึกซึ้ง นางยอมกล้ำกลืนมองดูเขามีความสัมพันธ์กับเจี่ยงหร่าน นางยอมทุกอย่างเพื่อให้เขาทำการใหญ่ได้สำเร็จ ทั้งยังอ่อนหวานเอาอกเอาใจ ใบหน้าของนางงดงามเป็นหนึ่งในแคว้นซ่ง
แตกต่างจากเจี่ยงหร่านที่แข็งกระด้างไม่มีความเป็นสตรีเพราะอยู่แต่ในกองทัพมาตั้งแต่เด็ก ที่สำคัญนางไม่งดงามเท่าฟ่านเหยา อีกทั้งบิดาของฟ่านเหยายังนำพาบรรดาบัณฑิตในแคว้นซ่งมาสวามิภักดิ์ต่อเขาทำให้เขาขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้อย่างราบรื่น
ฉู่อี้เฉินจึงแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮา สุดท้ายเจี่ยงหร่านก็ไม่มีค่าใดๆ ในสายตาของเขา เขาสั่งขังนางเอาไว้ในคุกใต้ดิน นางเป็นคนตระกูลเจี่ยงเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ในขณะนี้
คราแรกเจี่ยงหร่านคิดหลบหนี แต่กลับถูกฉู่อี้เฉินจับตัวกลับมาได้ อย่างไรเสียก็อยู่ด้วยกันมานานปีแม้จะไม่มีความรัก แต่ก็ย่อมมีเศษเสี้ยวความผูกพันเพียงน้อยนิดหลงเหลืออยู่บ้าง
ฉู่อี้เฉินจึงขังเจียงหร่านเอาไว้ ให้นางอดข้าวอดน้ำ หากว่านางยอมกราบกรานของความเห็นใจจากเขา ไม่แน่เขาก็อาจมอบฐานะให้นางเป็นนางบำเรอ แต่นางกลับใจแข็งยิ่งนัก ทั้งยังหยิ่งทรนงอยู่ไม่น้อย ไม่แม้แต่จะมองหน้าเขาเลยเสียด้วยซ้ำ
เดิมทีทั่วทั้งสี่แคว้นมีเพียงแคว้นฟงหลิงและแคว้นซ่งเท่านั้น ที่มีอำนาจทางการทหารไม่ด้อยไปกว่ากัน ทั้งสองแคว้นต่างทำสงครามประลองกำลังกันไปมาเพื่อแย่งชิงอำนาจการขึ้นเป็นเจ้าแห่งใต้หล้านี้
ฉู่อี้เฉินให้คนเปิดประตูคุก ก่อนจะก้าวเดินเข้ามาหาเจี่ยงหร่านที่นั่งอยู่ ยามนี้นางดูอ่อนแรงเป็นอย่างมาก ริมฝีปากมีมีโลหิตสีแดงไหลซึมออกมา
แน่นอนว่าฟ่านเหยาย่อมไม่มีทางยอมให้เจี่ยงหร่านอยู่อย่างเป็นสุข เพราะเจี่ยงหร่านมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับฉู่อี้เฉิน จึงสั่งให้คนทรมานนางสารพัดวิธี เมื่อรู้ว่านางตั้งครรภ์บุตรของฉู่อี้เฉิน เพราะฟ่านเหยาเกรงว่าฉู่อี้เฉินจะใจอ่อน จึงจัดการกรอกยาแท้งบุตรใส่ปากเจี่ยงหร่าน อย่างไร้ความปรานีจนสุดท้ายนางก็สูญเสียบุตรในครรภ์ไป
เจี่ยงหร่านรู้สึกเย้ยหยันตนเองยิ่งนัก ท่านพ่อและคนในตระกูลเตือนนางตั้งเท่าใด แต่นางกลับดื้อรั้นดันทุรังไม่ฟัง ทั้งที่ใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพมาตั้งแต่วัยเยาว์ เป็นถึงรองแม่ทัพผู้เก่งกาจ ชำนาญการรบ เชี่ยวชาญการศึก แต่เรื่องหัวใจนางกลับโง่เขลาไร้เดียงสาจนน่าขบขัน กลายเป็นหินรองเท้าให้คนเหยียบย่ำขึ้นไปสู่ที่สูง หากว่านางตายไปคนเดียวก็ช่างเถิด แต่นี่กลับลากคนทั้งตระกูลเจี่ยงลงนรกไปพร้อมกับนางด้วย
เจียงหร่านอยากร้องไห้แต่นางร้องจนไร้น้ำตาแล้ว ตั้งแต่รู้ว่าฉู่อี้เฉินสั่งประหารคนตระกูลเจี่ยงทั้งตระกูล นางร่ำไห้ราวกับคนบ้า นางร้องจนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด แต่นางก็ไม่อาจกลับไปแก้ไขสิ่งใดได้อีกแล้ว
นางโง่เองจะโทษผู้ใดได้เล่า!
ฉู่อี้เฉินจ้องมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาคมกริบ นางมิใช่สตรีที่งดงามเท่าฟ่านเหยา ไม่อ่อนหวานเอาใจเก่งเช่นสตรีที่เขาเคยพบเห็น แต่นางกลับมีความเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวเหนือกว่าสตรีอื่นใด
น่าเสียดายที่โง่งมเพราะความรัก
"หร่านเอ๋อร์ หากเจ้ายอมร้องขอข้า ข้าอาจจะพาเจ้าออกไปที่นี่ได้ ถ้าข้าเอ่ยปาก เหยาเหยาย่อมต้องละเว้นเจ้า ข้าจะให้เจ้าเป็นนางบำเรอ อย่างน้อยสถานะของเจ้าก็อาจจะดีกว่าอยู่ในคุกแห่งนี้เป็นไหนๆ เจ้าว่าไหมล่ะ"
เจี่ยงหร่านที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันออกมา ก่อนจะถ่มน้ำลายใส่หน้าของฉู่อี้เฉินอย่างดูแคลน ฉู่อี้เฉินแค่นส่งเสียงหึออกมา กำลังจะง้างมือขึ้นตบนางสักฉาดแต่เมื่อสบเข้ากับดวงตาที่มองมาอย่างไม่หวาดกลัว เขาก็ชะงักไปในทันที
"ข้าเคยโง่มาครั้งหนึ่งแล้ว ย่อมไม่โง่ซ้ำสอง ข้าไม่มีวันยอมรับใช้คนชั่วเช่นท่าน ท่านให้นางคนชั้นต่ำนั่นมาสังหารลูกของข้า ฉู่อี้เฉิน ท่านยังมีความเป็นคนอยู่หรือไม่ นั่นคือบุตรของท่านนะ!"
ฉู่อี้เฉินที่ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา ก่อนกล่าวถ้อยคำเหยียดหยัน
“แน่ใจหรือว่าใช่บุตรของข้า เจ้าอยู่ในค่ายทหารตลอดเวลา อาจจะเป็นบุตรของทหารสักคนก็ได้ เจ้านอนกับข้าได้ง่ายดาย ข้าไม่เชื่อหรอกว่า เจ้าจะนอนกับบุรุษอื่นไม่ได้น่ะ”
เพียะ!
“สารเลว”
เจี่ยงหร่านยกมือขึ้นตบหน้าของฉู๋อี้เฉินจนเต็มแรง ฉู่อี้เฉินหันกลับมามองเจี่ยงหร่านด้วยแววตาที่เย็นเยียบ ก่อนจะยื่นมือมาบีบปลายคางของนางอย่างไม่ปรานี
"ให้ดื่มสุราคาราวะเจ้าไม่ดื่ม แต่กลับจะเลือกดื่มสุราลงทัณฑ์ เจ้าอย่าคิดว่าข้าจะใจดีกับเจ้า เจ้ามันก็แค่สุนัขรับใช้ตัวหนึ่งที่ข้าเลี้ยงเอาไว้เท่านั้น ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า แต่จะให้เจ้าทรมานเช่นนี้ อยากตายก็ตายไม่ได้ นี่คือบทลงโทษที่เจ้าไม่เชื่อฟังข้า เจี่ยงหร่าน เจ้าเคยเป็นเด็กดีว่าง่ายของข้า หากเจ้ายอม..."
"ถุย ไสหัวไป!"
"เหอะ ต่อให้เจ้าเกลียดข้า แล้วจะเปลี่ยนแปลงอันใดได้เล่า เจ้าดื้อรั้นเองไม่ใช่หรือ เป็นเจ้าเองที่พาคนตระกูลเจี่ยงไปตาย"
"ไม่ ข้าไม่อยากฟัง หุบปากเดี๋ยวนี้ ฮือ…"
"ฟังข้า เจ้านั่นแหละที่ทำให้คนในตระกูลของเจ้าต้องตาย เจ้ามันโง่เอง"
"ไม่ ฮือ ฆ่าข้าเถอะ ฆ่าข้าเสียที"
เจี่ยงหร่านกรีดร้องราวกับคนคลุ้มคลั่ง ในความทรงจำผุดภาพหนึ่งขึ้นมา
สหายแดนไกลผู้นั้นเคยเอ่ยกับนางประโยคหนึ่ง
อย่าเชื่อในวาจาของบุรุษ เจ้ายังไร้เดียงสาเรื่องนี้เกินไป หากไม่ระวังเจ้าจะกลายเป็นหมากตัวสำคัญที่ลากทุกคนลงนรกไปด้วย และสุดท้ายเจ้าจะไม่เหลือสิ่งใดแม้กระทั่งชีวิต!
เจี่ยงหร่านยิ้มอย่างอ่อนระโหยโรยแรง ยามนั้นที่ได้ยินประโยคนี้นางยังนึกดูแคลน นางมั่นใจว่าฉู่อี้เฉินย่อมไม่มีวันทรยศนาง
แต่คำเตือนของเขากลับเป็นจริงแล้ว
สหายแดนไกลผู้นั้นยามนี้คงจะมีชีวิตที่สุขสบายดีกระมัง ต่างจากนางยิ่งนัก น่าเสียดายที่นางกับสหายแดนไกลผู้นั้นคงไม่มีวันได้พบกันอีกแล้ว
หากมีโอกาสอีกครั้ง ข้าจะทวงทุกอย่างของคนตระกูลเจี่ยงคืน ลูกอกตัญญูผู้นี้ จะทวงความเป็นธรรมแทนท่านพ่อท่านแม่ ข้าจะทำให้ฉู่อี้เฉินและฟ่านเหยาทุกข์ทรมานโดดเดี่ยวเสียยิ่งกว่า ข้าขอสาบาน จะให้คนทั้งสองหลั่งเลือดชโลมดิน ชดเชยให้บุตรของข้าที่ไม่มีโอกาสแม้กระทั่งได้ลืมตาดูโลก!
ฉู่อี้เฉินมองนางด้วยความสมเพชเวทนาก่อนจะเดินออกไป ยังไม่ทันที่เขาจะก้าวออกไปก็ได้ยินเสียงของเจี่ยงหร่านเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
"ในเมื่อท่านไม่ยอมสังหารข้า เช่นนั้นข้าก็จะปลิดชีพตนเองเสีย!"
ฉู่อี้เฉินที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบร้อนหันกลับไปมอง ก่อนจะพบว่า เจี่ยงหร่านใช้ปิ่นปักผมที่เขาเคยมอบให้นางแทงลำคอของตนเองจนเลือดไหลทะลักออกมา เขาไม่คิดว่านางจะยังเก็บปิ่นปักผมอันนี้เอาไว้ ฉับพลันแววตาของเขาก็โกรธเกรี้ยว ก่นด่าทหารที่เฝ้าเวรยาม
"ข้าสั่งให้พวกเจ้าจับตาดูนางให้ดี เหตุใดพวกเจ้าจึงให้นางเก็บของมีคมไว้กับตัว!"
"เอ่อ อย่างไรนางก็เป็นสตรีของฝ่าบาท พวกกระหม่อมจึงไม่กล้าตรวจค้นร่างกายของนางพ่ะย่ะค่ะ"
เหล่าทหารเฝ้าเวรยามต่างรีบร้อนอธิบายด้วยน้ำเสียงที่หวาดกลัว ฉู่อี้เฉินจ้องมองเจี่ยงหร่านที่สิ้นใจไปแล้ว ดวงตาของนางยังคงเบิกกว้างราวกับมีเรื่องติดค้างอยู่ในจิตใจ เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดในใจจึงมีความรู้สึกโศกเศร้าสายหนึ่งเคลื่อนผ่าน แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น ก็กลับมาเป็นปกติราวกับไม่เคยมีความสึกใดๆ ต่อนางทั้งสิ้น
"นำศพนางไปโยนทิ้งนอกเมืองหลวง ไม่ต้องทำพิธีศพ เพราะโทษของนางคือกบฏ!"
สั่งความจบเขาก็สะบัดชายอาภรณ์เดินจากไปทันที เหล่าทหารต่างนำร่างของนางห่อใส่ผ้า ก่อนจะนำมาที่ที่ป่าด้านนอกเมืองหลวง ราวกับศพนางเป็นสิ่งไร้ค่าอย่างไรอย่างนั้น
ทั้งชีวิตของเจี่ยงหร่านมีแค่ฉู่อี้เฉินที่เป็นชายคนเดียวที่นางรักและหวังพึ่งพิง แต่สิ่งที่นางได้รับตอบแทนจากเขาก็คือความตาย
ในขณะเดียวกัน ที่เมืองหลวงแคว้นฟงหลินจวนตระกูลจางก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว เมื่อจางเหมี่ยวลี่เกิดล้มป่วยขึ้นมาอย่างฉับพลัน ท่านหมอที่มาตรวจร่างกายบอกว่านางดื่มของสกปรกเน่าเหม็นเข้าไปเป็นเวลานาน จึงทำให้ล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน เกรงว่าจะอดทนมีชีวิตรอดได้ไม่ถึงหนึ่งเดือนนี้แล้ว
จางฮูหยินเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ร่ำไห้เสียใจจนน้ำตาแทบกลายเป็นสายเลือด นางกอดบุตรสาวเอาไว้แน่นก่อนจะให้คนไปส่งข่าวไปยังสามีที่ชายแดนในทันที!