ยามนี้สงครามระหว่างแคว้นฟงหลิงและแคว้นต้าฉีมาถึงบทสรุปแล้ว ท้ายที่สุดฮ่องเต้แคว้นต้าฉีเจรจาของสงบศึกชั่วคราว เนื่องจากสูญเสียกำลังทหารไปร่วมหลายหมื่นนายแล้ว หากว่ายังคงดึงดันที่จะต่อสู้อีก ย่อมไม่ส่งผลดีต่อแคว้นต้าฉีเป็นแน่
ผู้นำศึกในครั้งนี้คือแม่ทัพใหญ่จางและรองแม่ทัพเซียวจิ้ง หลานชายของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ซึ่งมีฝีมือเก่งกาจเป็นอย่างยิ่ง
"ซื่อจื่อ ยามนี้แคว้นต้าฉียอมสงบศึกแล้ว ข้าจะส่งคนไปรายงานเรื่องนี้กับฝ่าบาทโดยด่วน"
“เป็นเพราะครั้งนี้ มีท่านแม่ทัพใหญ่ร่วมออกศึก เราจึงสามารถมีชัยอีกครั้ง" เซียวซื่อจื่อตอบรับคำอย่างอารมณ์ดี
แม่ทัพใหญ่จางที่ได้ยินเช่นนั้นก็แย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นมา
"จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ท่านเองมีฝีมือยอดเยี่ยม แคว้นฟงหลิงมีท่านอยู่ วันใดข้าตายไปย่อมหมดห่วงแล้ว"
"อย่าได้เอ่ยวาจาเช่นนี้ ท่านแม่ทัพจะต้องมีอายุยืนยาว"
สองคนพูดคุยสนทนากันอย่างสนุกสนาน ก่อนจะอนุญาตให้เหล่าทหารดื่มสุราเฉลิมฉลองให้กับชัยชนะในครั้งนี้ แม้จะยังไม่สามารถยึดแคว้นต้าฉีมาได้ แต่ฮ่องเต้แค้นต้าฉีย่อมไม่อาจจะก่อคลื่นลมได้ในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้เป็นแน่
เซียวจิ้งมองดูเหล่าทหารที่ร่วมดื่มสุราและเฉลิมฉลองกันอย่างมีความสุขก็อดยิ้มออกมิได้ ทุกคนตรากตรำกรำศึกมาหลายเดือน อีกทั้งยังต้องสูญเสียสหายรักในสนามรบที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาหลายต่อหลายคน แม้ทุกคนจะดูมีความสุขที่ได้รับการเฉลิมฉลองชัยชนะ แต่ก็มีทหารบางคนยังไม่ลืมที่จะเทสุราลงพื้นและเรียกเหล่าทหารผู้วายชนม์มาร่วมดื่มสุราด้วยกัน
เซียวจิ้งถอนหายใจยาวๆ ออกมาก่อนจะมองไปรอบๆ บริเวณ
เขาคือเซียวจิ้ง ซื่อจื่อแห่งตำหนักชินอ๋อง ปีนี้อายุยี่สิบสองปี บิดาของเขาเป็นน้องชายของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน มารดาเป็นบุตรสาวของแม่ทัพรักษาชายแดน ในยามนั้นเสด็จพ่อรักและดูแลเสด็จแม่เป็นอย่างดี
จนกระทั่งในปีที่เขามีอายุสิบขวบ เสด็จพ่อได้แต่งสตรีนางหนึ่งและรับนางเข้ามาเป็นพระชายารอง นางเข้าตำหนักมาพร้อมกับบุตรชายอายุ6-7ปี เสด็จแม่ตื่นตระหนกทั้งสะเทือนใจไม่น้อย ไม่คาดคิดว่าสามีที่ตนรักและเทิดทูนมานานจะทรยศหักหลัง ลอบมีภรรยาอีกคนจนมีลูกชายด้วยกัน ทั้งที่บอกว่ารักนางเพียงคนเดียวแต่ลับหลังกลับซ่อนสตรีอีกคนเอาไว้
ไม่นานต่อมา เสด็จแม่ของเขาก็เกิดล้มป่วยสิ้นใจจากโลกนี้ไป เขาจำได้ว่าตั้งแต่เสด็จพ่อแต่งสตรีนางนั้นเข้ามา ก็ดุด่าทุบตีทำร้ายเสด็จแม่ ยิ่งท่านตาเสียชีวิต เสด็จแม่ไร้ที่พักพิง เสด็จพ่อก็ทำราวกับเสด็จแม่ไม่ใช่คน ยกย่องภรรยารองข่มเหงภรรยาเอก
เมื่อเสด็จแม่สิ้นชีพแล้ว เสด็จพ่อก็แต่งตั้งสตรีนางนั้นขึ้นเป็นพระชายาเอกชินอ๋องคนใหม่ มีศักดิ์เป็นแม่เลี้ยงของเขา
เซียวจิ้งเพิ่งเข้าใจเมื่อเติบโตขึ้นมา แท้ที่จริงเสด็จพ่อและสตรีนางนั้นก็ลักลอบมีสัมพันธ์กันมานานมากแล้ว จนกระทั่งนางตั้งครรภ์และคลอดบุตร อดทนเลี้ยงบุตรนอกสมรสอยู่นอกตำหนักอ๋องมานานถึงเกือบสิบปีจนได้เข้ามาในตำหนักอ๋อง สตรีผู้นี้ช่างมีความอดทนมากเสียจริงๆ
เมื่อนางเข้ามาพร้อมบุตรชาย ตัวเขาเองก็ราวกับเป็นส่วนเกิน บางคราเสด็จพ่อไม่อยู่สตรีนางนั้นก็ลอบกลั่นแกล้งเขาสารพัด
จวบจนเขาอายุสิบห้าปีจึงแอบหนีออกจากตำหนักอ๋องไปเข้าร่วมกองทัพ เสด็จพ่อมาตามเขากลับไป แต่เสด็จลุงฮ่องเต้กลับห้ามปรามและบอกว่ายินดีสนับสนุนเขาให้เข้ามาอยู่ในกองทัพภายใต้การดูแลของแม่ทัพใหญ่จาง เสด็จพ่อจึงหมดคำพูดและไม่สนใจเขาอีก
เซียวจิ้งไม่เคยใช้อำนาจถือดีว่าตนเป็นเชื้อพระวงศ์ ได้มาซึ่งตำแหน่งในทางมิชอบ ในทางกลับกันเขาอดทนทุกอย่างฝึกอย่างหนักจนกระทั่งได้เป็นรองแม่ทัพผู้มากความสามารถ
เขากับบิดาแทบจะไม่สนิทสนมกันเลย เซียวจิ้งมักมีท่าทีเฉยชาต่อผู้เป็นบิดา ทว่ากลับสนิทสนมกับเสด็จลุงผู้เป็นฮ่องเต้เสียมากกว่า
เซียวจิ้งใช้ชีวิตอยู่ในสมภูมิรบมาตั้งแต่เยาว์วัย กลิ่นอายโลหิตและไอสังหารล้วนแผ่กำจายออกมาจึงดูน่าเกรงขาม
เขาเองมีคู่หมั้นแล้ว นามว่าจางเหมี่ยวลี่ ซึ่งเป็นบุตรีแม่ทัพใหญ่จาง แม่ทัพใหญ่จางเป็นสหายรักกับเสด็จลุงของเขา อีกทั้งยังสอนวรยุทธ์เขามาหลายปี และตัวเขาเองก็เคารพแม่ทัพใหญ่จางเฉกเช่นอาจารย์ท่านหนึ่ง
เสด็จลุงฮ่องเต้ได้มอบสมรสพระราชทานให้เขาและจางเหมี่ยวลี่ เซียวจิ้งเองไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร แม่ทัพใหญ่จางนับว่ามีบุญคุณที่ดูแลสั่งสอนเขา ส่วนเสด็จลุงนั้นก็ดีต่อเขามาก คอยปกป้องดูแลเขาในหลายๆ เรื่อง เซียวจิ้งจึงมิอาจจะปฏิเสธได้
จางเหมี่ยวลี่นั้นนับว่าเป็นสาวงามแห่งแคว้นฟงหลิง ความงามของนางนับเป็นหนึ่งไม่มีสอง แต่นางกลับมีนิสัยอำมหิต จิตใจบิดเบี้ยว หลงใหลในมนต์ดำ มีครั้งหนึ่งเซียวจิ้งสืบรู้ว่า นางถึงกับเอารกเด็กมาต้มเป็นน้ำแกงดื่มให้ตนเองงดงามเหนือผู้อื่น อีกทั้งในเรือนของนางล้วนมีแต่กลิ่นไออัปมงคล ยันต์สาปแช่งและขอพรล้วนแปะอยู่เต็มห้องนอนของนางเต็มไปหมด
แน่นอนว่าเซียวจิ้งเคยแอบไปดูนาง การจะแต่งงานกับหญิงสาวสักคน ย่อมต้องรู้จักนิสัยใจคอของนางมิใช่หรือ
ไม่รู้ว่าเสด็จลุงฮ่องเต้คิดอันใด ต้องการให้เขาแต่งกับนาง สตรีเช่นนี้หากรับเข้ามาเป็นภรรยาแต่งเข้าบ้าน ชีวิตจะต้องหาความสงบสุขไม่ได้เป็นแน่
เซียวจิ้งถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ครุ่นคิดหวนรำลึกถึงสหายผู้หนึ่งที่ไม่ได้พบเจอกันมาชั่วระยะหนึ่งแล้ว
นางเป็นสตรีที่องอาจกล้าหาญ มักแต่งกายเยี่ยงบุรุษอยู่ในสนามรบ ครั้งแรกที่พบกัน ย้อนไปเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นเขาได้รับบาดเจ็บเพราะถูกลอบสังหาร จึงหลบหนีพลัดหลงข้ามเขตแดนเข้าเขตแคว้นซ่ง เดิมทีเขาพอจะคาดเดาได้ว่านักฆ่าจงใจให้เป็นเช่นนี้ ต้องการให้เขาหนีตายไปในแคว้นศัตรู เพื่อจะได้ถูกศัตรูสังหารจะได้กลบเกลื่อนตัวผู้บงการนั่นก็คือมารดาเลี้ยงที่จ้างวานนักฆ่ามาปลิดชีพเขา
ยามนั้นนางเดินทางมาล่าสัตว์ จึงช่วยเขาเอาไว้ พวกเขาในขณะนั้น ไม่รู้ว่าต่างฝ่ายต่างมีสถานะที่ไม่อาจจะเกี่ยวพันกันได้ คนทั้งสองนัดพบเจอกันบ่อยครั้งในฐานะสหายที่ป่าแห่งนั้น
จนกระทั่งเกิดความสนิทสนม เซียวจิ้งคิดว่านางเป็นบุตรชายของชาวบ้านแถบชายแดน เพราะยามที่พบเจอกันนางมักแต่งกายเป็นบุรุษ แต่แท้จริงแล้วนางเป็นสตรี นางบอกว่าที่พักของนางอยู่ในป่า บิดามารดาตายจากไปจึงใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง
โชคดีมีวรยุทธ์จึงปลอมเป็นชายเอาตัวรอดอาศัยในป่าแห่งนี้ คนทั้งสองนัดพบกันนานวันเข้าเซียวจิ้งก็หลงรักนาง แต่เขาเองดูออกว่าในใจของนาง เหมือนจะไม่ได้คิดเช่นเดียวกับเขา แต่เขาก็มิเคยกล่าวโทษนางเพราะตัวเขาก็มีพันธะสมรสพระราชทานเช่นเดียวกัน
ถึงแม้เซียวจิ้งมีใจให้นางและหากได้แต่งงานกับนางจริงๆ นางย่อมต้องเป็นภรรยารอง จางเหมี่ยวลี่ใจดำอำมหิตเยี่ยงนั้น ย่อมไม่มีทางยอมให้นางอยู่อย่างสงบสุข เขายอมไม่ได้ที่จะต้องเห็นคนที่ตนรักต้องได้รับความไม่เป็นธรรม เมื่อคิดได้เช่นนี้ เซียวจิ้งจึงเลือกที่จะไม่บอกความรู้สึกของตนกับนางไป
แต่โชคชะตากลับเล่นตลก แท้จริงแล้วนางเป็นบุตรสาวแม่ทัพใหญ่ของแคว้นซ่ง แคว้นศัตรูของเขา อีกทั้งยังเป็นคนรักของฉู๋อี้เฉิน องค์ชายรองซึ่งยามนี้ก็คือฮ่องเต้แคว้นซ่งองค์ใหม่
มีครั้งหนึ่งสองแคว้นทำสงครามใหญ่ เขาและนางจำต้องประมือกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในสงครามครั้งนั้นนางยิงธนูมุ่งตรงมาที่เขา ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาจึงไม่ยอมหลบ นางขมวดคิ้วก่อนจะเขวี้ยงมีดสั้นเข้าใส่ลูกธนู จนมันเปลี่ยนทิศทางไม่พุ่งเข้าหาจุดตายของเขา แต่กลับพุ่งเข้าใส่หัวไหล่ซ้ายแทน
เซียวจิ้งได้รับบาดเจ็บจนต้องถอยทัพ นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาพ่ายแพ้
เป็นความพ่ายแพ้ที่เขาไม่เคยคิดจะโกรธเคืองเลยเสียด้วยซ้ำ
เซียวจิ้งส่งเสียงหัวเราะเบาๆ คล้ายเยาะหยันตนเอง เขาส่งคนตามดูความเป็นไปของนางจนพบความผิดปกติของฉู่อี้เฉิน เขาถึงกับนัดนางออกมาพบและเตือนนางว่าให้นางระวังตัว เขาโง่เขลาหรือไรกันที่ทำเช่นนั้น นั่นมิเท่ากับเปิดทางให้ศัตรูล่วงรู้จุดอ่อนหรอกหรือ
คนเราต่อให้เก่งกาจเพียงใด แต่หากเป็นเรื่องของความรัก ย่อมพ่ายแพ้อย่างราบคาบ
ผู้ใดจะรู้ว่ารองแม่ทัพผู้เก่งกาจแคว้นฟงหลินจะหลงรักสตรีผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นศัตรูของตน
น่าตลกสิ้นดี!
"ซื่อจื่อ ไม่ดื่มหน่อยหรือ"
เสียงของแม่ทัพใหญ่จางทำให้เซียวจิ้งหลุดพ้นจากภวังค์ ก่อนจะหันมายิ้มน้อยๆ
"ไม่ล่ะ ข้าต้องเฝ้าดูสถานการณ์ อีกอย่างข้าไม่ค่อยอยากดื่มเท่าไหร่"
แม่ทัพใหญ่จางพยักหน้า พลางกล่าวขึ้นมา
"ซื่อจื่อ หากท่านกลับไปเมืองหลวงครั้งนี้ คงต้องแต่งงานกับเหมี่ยวเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าท่านไม่เต็มใจ แต่สมรสพระราชทานย่อมมิอาจยกเลิกได้ หากท่านไม่รักนาง ก็ช่วยดีต่อนางได้หรือไม่ ข้ามีบุตรสาวเพียงคนเดียวเท่านั้น"
เซียวจิ้งมองแม่ทัพใหญ่จางก่อนจะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง และตอบรับคำ
"ข้ารับปาก ข้าจะพยายาม"
แม่ทัพใหญ่จางที่ได้ยินก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย
"เวลานี้เฉวียนเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บเพิ่งจะฟื้นตัว กลับไปเมืองหลวงข้าจะหาหมอเก่งๆ มารักษาเขา"
"ข้าจะให้เสด็จลุงส่งหมอหลวงไปรักษาเขา อย่างไรเขาก็เป็นสหายของข้า"
"ขอบคุณซื่อจื่อยิ่งนัก"
เซียวจิ้งพยักหน้าและขอตัวจากมา จางเฉวียนเป็นบุตรชายคนโตของแม่ทัพใหญ่จาง อีกทั้งยังเป็นสหายร่วมเรียนกับเขาตั้งแต่วัยเยาว์จึงสนิทสนมกันเป็นอย่างยิ่ง
ชะตาสวรรค์กำหนดมาเช่นนี้แล้ว เขาเองก็ไม่อยากฝืนลิขิตสวรรค์
เขาและสหายแดนไกลผู้นั้นคงมีวาสนาเพียงได้พบแต่ไม่ได้ครองคู่กัน
สวรรค์ช่างใจร้ายนัก หากไร้วาสนาได้เคียงคู่เหตุใดจะต้องสร้างวาสนาให้ได้พบเจอกันด้วยเล่า
ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่ในภวังค์ สวีเฉิน องค์รักษ์คนสนิทก็เข้ามา เซียวจิ้งหันมามองสวีเฉิน เอ่ยปากขึ้นมา
"ได้ความว่าอย่างไรบ้าง"
สวีเฉินที่ได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าไม่สู้ดี ก่อนจะตอบ
"ยามนี้ฉู่อี้เฉินขึ้นเป็นฮ่องเต้แคว้นซ่งแล้ว และ เอ่อ นางตายแล้วขอรับ คนของเรารายงานว่านางฆ่าตัวตาย คนตระกูลเจี่ยงถูกสังหารทิ้งทั้งหมด คาดว่าคงหมดประโยชน์แล้ว ศพของคนตระกูลเจี่ยงถูกโยนออกมานอกเมืองหลวงแคว้นซ่งอย่างไร้ค่า คนของเราแอบนำร่างของนางกลับมาได้เพียงคนเดียว ที่เหลือจำต้องหาที่ฝังอย่างเร่งด่วนไปก่อน ไม่ทราบว่าซื่อจื่อ..."
"พาข้าไปเดี๋ยวนี้"
เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหว สวีเฉินรีบนำทางเจ้านายตนไปทันที
เซียวจิ้งออกมานอกค่ายทหาร ที่บริเวณนี้อยู่ไม่ห่างจากชายแดนแคว้นฟงหลิงเท่าใดนัก เมื่อเขามาถึงก็พบกับร่างไร้วิญญาณของเจี่ยงหร่านที่นอนอยู่ที่พื้น บนลำคอของนางมีปิ่นเล่มหนึ่งปักอยู่ ใบหน้าขาวซีดราวกับกระดาษ
เซียวจิ้งมองนางอย่างไม่ละสายตา ก้าวเท้าเดินตรงเข้าไปที่ศพของหญิงสาวแล้วจึงทรุดตัวลงนั่ง แล้วยื่นมือเข้าไปประคองร่างไร้วิญญาณของนางขึ้นมากอดเอาไว้ ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นน้อยๆ
"ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วมิใช่หรือ แต่เจ้ากลับดื้อรั้นไม่เชื่อข้า เจี่ยงหร่าน เจ้ามันดื้อนัก"
เอ่ยจบเขาก็ร้องไห้ออกมา สวีเฉินมองดูเจ้านายของตนก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ เจ้านายของเขารักสตรีผู้นี้อย่างสุดหัวใจ ทั้งที่รู้ว่านางเป็นศัตรู ทั้งที่นางยิงธนูใส่ ทั้งที่นางเป็นของผู้อื่น จนกระทั่งวันที่นางตาย เจ้านายก็ปล่อยวางไม่ลง ทั้งที่นางก็ไม่ใช่สตรีที่งดงาม นิสัยแข็งกระด้าง หากเทียบกันแล้วคุณหนูจางเหมี่ยวลี่ยังงดงามยิ่งกว่านางเสียอีก
แต่เจ้านายของเขากลับหลงรักสตรีที่มิได้เพียบพร้อมเช่นเจียงหร่านจนหมดหัวใจไปเสียได้
เซียวจิ้งยื่นมือไปดึงปิ่นปักผมออกมาจากลำคอของนาง แล้วบอกกับสวีเฉินว่า
"ฝังนางไว้ใกล้แม่น้ำ นางชื่นชอบแม่น้ำเป็นที่สุด ไม่ไกลจากตรงนี้มีแม่น้ำสายหนึ่ง ริมแม่น้ำมีต้นไม้ใหญ่ที่ร่มรื่นเย็นสบาย ข้าจะพานางไปที่นั่น"
สวีเฉินพยักหน้า ก่อนจะมองดูเซียวจิ้งอุ้มร่างไร้วิญญาณของเจียงหร่านเดินจากไป
เซียวจิ้งจัดการฝังศพของเจี่ยงหร่านเอาไว้ใต้ต้นไม่ใหญ่ริมแม่น้ำ ที่นี่มีสายลมพัดผ่านเป็นสถานที่สวยงามที่สุดในชายแดน ก่อนจากเขายังตัดเส้นผมของนางออกมาเล็กน้อยและล้างเก็บปิ่นเล่มที่นางใช้สังหารตนเองติดกายกลับมาด้วย
หลายวันต่อมา ภายในกองทัพกำลังจัดการเตรียมพร้อมเดินทางกลับเมืองหลวง ทว่าในขณะที่ทุกคนกำลังเดินทางมาได้ไม่กี่ร้อยลี้ ก็มีม้าเร็วที่วิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า เป็นคนของเมืองหลวง เซียวจิ้งจ้องมองทหารผู้นั้น ก่อนจะถามขึ้น
"มีเรื่องใดหรือ เหตุใดจึงมาขวางทางเดินทัพ"
คนผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีเท่าใดนัก
"เรียนเซียวซื่อจื่อ ท่านแม่ทัพใหญ่จาง คือว่าที่จวนตระกูลจางให้ข้าน้อยมาแจ้งท่านแม่ทัพใหญ่ว่า ยามนี้คุณหนูจางเกิดล้มป่วยใกล้จะประคองชีวิตไม่ไหวแล้ว จางฮูหยินต้องการให้ท่านแม่ทัพและเซียวซื่อจื่อรีบกลับเมืองหลวงโดยด่วนขอรับ"
เซียวจิ้งที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจไม่น้อย ก่อนจะหันไปมองแม่ทัพใหญ่จางที่ตอนนี้นิ่งเงียบราวกับคนตายไปแล้ว ส่วนจางเฉวียนที่นอนเจ็บอยู่ในรถม้าเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกจนหน้าซีดเผือด
"ท่านแม่ทัพใหญ่ขอรับ"
ทหารผู้นั้นเอ่ยเรียกแม่ทัพใหญ่จางด้วยน้ำเสียงที่หวาดหวั่น แม่ทัพใหญ่จางราวได้สติกลับคืนมา เขาไม่เอ่ยสิ่งใดก็ควบม้ามุ่งหน้าออกไปทันที เซียวจิ้งที่เห็นเช่นนั้นก็สั่งให้คนเร่งเดินทางติดตามไปโดยด่วน
การเดินทางครั้งนี้ได้หยุดพักเท่าที่จำเป็น และเป็นการเดินทางที่เร่งรีบมาก จวบจนผ่านมาร่วมสิบวันก็เดินทางถึงเมืองหลวง
ด้านจางฮูหยิน ในยามนี้กำลังให้ท่านหมอช่วยดูอาการของจางเหมี่ยวลี่ เมื่อหลายวันก่อนชีพจรของนางอ่อนแรงยิ่งนัก ลมหายใจแผ่วเบาราวกับคนแม้ยังไม่ตายแต่กลับไม่ฟื้นขึ้นมา ราวกับว่านางกำลังหลับใหลไม่ยอมตื่น
"ฮูหยิน ท่านแม่ทัพมาถึงแล้วขอรับ"
เมื่อได้ทราบว่าสามีได้กลับมาแล้ว จางฮูหยินก็โล่งอกเจือยินดียิ่งนัก แม่ทัพใหญ่รีบสั่งให้คนพาจางเฉวียนไปพักผ่อนและให้ท่านหมอมาดูอาการ ส่วนตนก็รีบมาดูบุตรสาว เมื่อเห็นว่าจางเหมี่ยวลี่ใบหน้าซีดเผือด อีกทั้งยังอาการไม่สู้ดี เขาก็ยิ่งร้อนใจหันมากล่าวตำหนิกับภรรยา
"เราไม่น่าตามใจให้นางดื่ม เอ่อ ดื่มของเสียพวกนั้นเลย"
จางฮูหยินไม่รู้จะกล่าววาจาใด ในขณะที่สองสามีภรรยากำลังคิดไม่ตก ก็ได้ยินหมอหลวงแจ้งว่า จางเหมี่ยวลี่สิ้นใจแล้ว
แม่ทัพใหญ่และจางฮูหยินถึงกับทรุดลงไปกองที่พื้นก่อนจะร้องไห้โฮออกมา ด้านจางเฉวียนที่ได้ยินว่าน้องสาวตายแล้ว ก็ไม่ยอมดื่มยาเอาแต่ร้องไห้ต่อการจากไปอย่างกะทันหันของน้องสาว
งานศพของจางเหมี่ยวลี่ถูกจัดขึ้นในช่วงค่ำของวันนั้น ทั่วทั้งจวนตระกูลจางต่างประดับประดาไปด้วยผ้าสีขาวดำทุกคนในจวนล้วนแต่โศกเศร้า
เซียวจิ้งเองในฐานะคู่หมั้นของนางย่อมต้องมาเแสดงความเสียใจ เขามองโลงศพของนางแวบหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมา
ชีวิตเขานี่มันบัดซบไม่น้อยเลย สตรีที่รักเพิ่งตายจากไป สตรีที่จะต้องแต่งเป็นภรรยาก็ยังมาสิ้นใจไปอีกคน
หรือว่าชะตาชีวิตของเขาจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย
เซียวจิ้งเดินเข้ามาทักทายแม่ทัพใหญ่และจางฮูหยิน ก่อนจะเข้าไปเยี่ยมจางเฉวียนและเดินออกมาไหว้ศพของจางเหมี่ยวลี่ ในขณะที่ทุกคนกำลังโศกเศร้าอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงแปลกประหลาดดังมากจากโลงศพที่วางอยู่เบื้องหน้า
"นั่นมันเสียงอะไร"
จางฮูหยินอุทานขึ้นมาพร้อมกับหันมามองสามี แม่ทัพใหญ่จางเองก็ได้ยินเช่นกัน เซียวจิ้งมองไปโดยรอบก่อนที่สายตาจะหยุดอยู่ที่โลงศพของจางเหมี่ยวลี่ แล้วกล่าวขึ้นว่า
"เสียงเหมือนดังมาจากโลงศพของเหมี่ยวลี่"
ตึงตึงตึง
เจี่ยงหร่านลืมตาโพลง เดิมทีนางคิดว่าตนเองตายไปแล้ว แต่เมื่อฟื้นขึ้นมากลับพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่ในโลงศพ
อันใดกันนี่ ฉู่อี้เฉินเอานางมาฝังหรือ เป็นไปไม่ได้ คนสารเลวเช่นนั้นหรือจะมีเมตตา มอบโลงศพให้เป็นบ้านหลังสุดท้ายให้นาง
เจี่ยงหร่านรู้สึกหายใจไม่ออก นางยกมือขึ้นทุบๆตีๆไปทั่วทั้งโลงศพ จนกระทั่งพยายามใช้แรงที่มีทั้งหมดกระแทกแรงๆ โลงศพก็พลันเอียงกระเร่เท่ก่อนจะพลิกคว่ำลงมาที่พื้น ฝาโลงเปิดออกร่างของนางกระเด็นกลิ้งออกมาด้านนอกโลงศพ ดวงตาคู่สวยจ้องมองผู้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความมึนงงสงสัย
บรรดาคนทั้งหมดมองนางด้วยความแตกตื่นตกใจ มีคนไม่น้อยที่วิ่งหนีกลับบ้านไปแล้ว
มารดามันเถอะ นางเล่นมนต์ดำเสียจนกลายเป็นวิญญาณร้ายไปเสียแล้ว!
เสียงผู้คนเอะอะกันเซ็งแซ่พร้อมกับมองมาที่นางด้วยแววตาประหวั่นพรั่นพรึง เจี่ยงหร่านขมวดคิ้วนางก้มมองดูเสื้อผ้าที่ตนสวมใส่ ดูงดงามราคาแพงซึ่งนางไม่ชอบสวมอาภรณ์เช่นนี้เท่าใดนัก ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
‘ให้ตายเถอะผู้ใดเปลี่ยนชุดงดงามเช่นนี้ให้นางกันนะ
‘อ้าว อะไรกันนี่ วิ่งหนีข้าทำไมกัน กลับมาช่วยประคองข้าก่อน ให้ตายเถิดปวดหลังจะตายอยู่แล้ว!’
ในขณะที่นางกำลังเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวดนั้น ก็มีชายหญิงวัยกลางคนวิ่งเข้ามาหานาง
"เหมี่ยวลี่ลูกพ่อ เจ้าฟื้นแล้ว!"
"ลูกแม่ เจ้ายังไม่ตาย ฮือ"
เจี่ยงหร่านงุนงงไปหมด มองไปโดยรอบรู้สึกว่าไม่คุ้นตาเอาเสียเลย นางกวาดสายตาไปทั่วทุกแห่ง ก่อนจะหยุดอยู่ที่ใบหน้าของบุรุษใบหน้าหล่อเหล่าที่แสนคุ้นตาผู้หนึ่งซึ่งกำลังมองมาที่นางด้วยความสงสัย
นั่นมัน!
สหายแดนไกลผู้นั้นของนางใช่หรือไม่
‘เซียวจิ้ง’