บทที่2.2

2360 คำ
แต่เพราะเกมส์ยังมึนงงกับทุกสิ่งทุกอย่าง ซ้ำยังเคลื่อนไหวลำบาก ก่อนออกไปทำธุระสำคัญฉันจึงให้บอดี้การ์ดสองคนมาเฝ้า อยากได้อะไรจงหามาให้ อยากกินอะไรให้รีบจัดการ ดูแลเขาเสมือนเจ้านายคนหนึ่งและอย่าได้เหิมเกริม เพราะถ้าฉันรู้... เจอดีแน่ แน่นอน เกมส์น่ะมีท่าทีต่อต้านพอสมควรกับความเล่นใหญ่เกินเบอร์ของฉัน ซึ่งถึงจะน่าขัดใจและชวนอึดอัดไปสักหน่อย แต่เพราะมองเห็นประโยชน์จากการทำแบบนี้ฉันจึงไม่ได้อยู่อธิบาย ส่วนหนึ่งเพราะอยากรีบจัดการธุระสำคัญให้เสร็จด้วย และธุระที่ว่าคือ... “...จัดการมัน เอาให้หลาบจำ” สั่งสอนพวกอวดดีให้หลาบจำ จากนั้นค่อยโยนเข้าคุกในสภาพใกล้ตาย หากสงสัยว่าฉันหมายถึงใคร... คงต้องย้อนกลับไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อนหลังจากบังเอิญพบร่างไร้สติของเกมส์ลอยมาเกยชายฝั่งตามแรงโหมซัดของคลื่น สภาพเขาเรียกได้ว่ายับเยินสาหัสสากรรจ์ บอบช้ำไม่สู้ดีคล้ายคนใกล้ตาย ดีนะที่หัวใจยังคงเต้นระรัว ด้วยความที่เกมส์เป็นเด็กตัวสูงและคาดว่าน้ำหนักคงไม่ต่ำกว่าเจ็ดสิบกิโลกรัม ฉันจึงให้บอดี้การ์ดที่ติดสอยหอยตามมาด้วยจัดการแบกเขาขึ้นไปยังชั้นบนสุดของโรงแรมห้าดาว ซึ่งชั้นนั้นทั้งชั้นฉันได้ทำการเหมาล่วงหน้าก่อนเดินทางมาที่นี่...เพียงเพราะอยากได้ความเป็นส่วนตัว ตัวฉันนั้นมีคอนเนคชันที่ดีกับคนในพื้นที่ประมาณหนึ่ง เนื่องจากหนีพ่อมาเที่ยวบ่อยและมักจะขอคอนแท็กกลับติดมือไปทุกครั้ง จึงทำให้เวลาติดต่อขอความช่วยเหลือเป็นไปอย่างราบรื่นเสมอ เช่นเดียวกันกับหมอที่ฉันโทร.เรียกให้มาตรวจเช็กสภาพร่างกายเกมส์ถึงห้องพักเมื่อคืนนี้ ครั้งหนึ่งฉันเคยโดนพิษแมงกะพรุนเล่นงานและได้เขาที่กำลังเดินเล่นกับภรรยาช่วยไว้ โชคดีที่ภรรยาเขามีรสนิยมหลาย ๆ อย่างคล้ายคลึงฉันจึงคุยกันถูกคอ รู้อีกที เรากลายเป็นเพื่อนสนิทต่างวัย ต้องได้เจอหน้าทุกครั้งเมื่อมาที่นี่ หลังจากตรวจร่างกายและพบว่าไม่มีอะไรน่ากังวล ฉันได้ปลีกตัวออกมานอกห้อง ให้บอดี้การ์ดติดต่อกับทางท่าเรือและเช็กกล้องจากเฟอร์รี่เที่ยวล่าสุด แต่กลับพบว่าบางส่วนถูกทำลายไปจึงไม่สามารถเปิดดูได้ หลังจากได้คำตอบในส่วนนั้นฉันก็พอเข้าใจบ้างแล้วว่าคนทำต้องมีอิทธิพลในระดับหนึ่ง เพราะการทำลายหลักฐานด้วยวิธีที่โง่เง่าแต่กลับไม่มีใครสงสัย แถมเรื่องหนึ่งในลูกเรือที่หายไปยังเงียบจนผิดหูผิดตา เป็นไปได้ว่าอาจมีเรื่องเงินและอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้อง ฉะนั้นต่อให้มีพยานรู้เห็นก็ไม่อาจปากโป้ง แล้วก็นะ ถ้าจะให้พูดตรง ๆ สำหรับฉันแล้ว...ความกระตือรือร้นในการทำงานของตำรวจไทยนั้นเรียกได้ว่าน้อยนิดแทบติดลบ เพราะเท่าที่เคยเห็น เวลามีผู้ร้องทุกข์ก็เพียงรับเรื่องส่ง ๆ ประหนึ่งเห็นความเดือดร้อนของประชาชนเป็นเรื่องสามัญ แต่ก็โชคดีของฉันอีกแหละค่ะที่ตำรวจยศสูงนายหนึ่งของสน.นี้รู้จักพ่อฉันเป็นการส่วนตัว กอปรกับแสดงท่าทีสนอกสนใจฉันอย่างออกนอกหน้า ฉันจึงสามารถใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ได้แค่เพียงพูดจาหวาน ๆ ใส่เท่านั้น กระทั่งไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ตัวต้นเหตุซึ่งมีทั้งหมดห้าคนก็นั่งเรียงรายอยู่ด้านหน้า โลเคชันคือป่ามะพร้าวปลอดคน เรื่องนี้ตำรวจนายนั้นรับรู้ ซึ่งในทางกฎหมาย การที่ฉันให้บอดี้การ์ดลากพวกมันมาที่นี่หมายจะสั่งสอนด้วยวิธีเดียวกันกับที่ทำกับเกมส์...ถือเป็นเรื่องผิด ฉันและคนของฉันสามารถโดนข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้ แม้อีกฝ่ายจะมีคดีติดตัวก็ตาม ที่ผ่านมา อะไรสุ่มเสี่ยงฉันพร้อมเลี่ยงหลีก แต่เรื่องนี้...ฉันไม่แคร์ แลกกับการที่คนพวกนี้ได้กินเลือดแทนน้ำ แลกกับการได้สั่งสอนด้วยวิธีที่พวกนั้นมองว่าเท่ เสียค่าปรับไม่กี่แสนไม่ทำให้ขนหน้าแข้งร่วงอยู่แล้ว หนึ่งชั่วโมงครึ่งผ่านไป “เกมส์ล่ะ?” เมื่อกลับมาถึงห้องแล้วพบว่าเกมส์ไม่ได้นอนอยู่บนเตียงอย่างที่ควรจะเป็น ฉันจึงถามธนู...หนึ่งในบอดี้การ์ดที่ถูกสั่งให้อยู่ดูแลเขาระหว่างฉันออกไปทำธุระ “เข้าห้องน้ำครับ” ธนูตอบ “ทุกอย่างราบรื่นดีใช่ไหมครับคุณหนู?” ต่อมาเป็นคำถามของปืน...แฝดพี่ของธนูซึ่งยืนอยู่เคียงข้างกัน ทั้งสองยืนเยื้องประตูห้องน้ำเล็กน้อย คงอยากให้เกมส์ได้มีความเป็นส่วนตัวขณะทำธุระล่ะมั้ง “ค่ะ ธนูกับปืนกลับไปพักได้เลยนะ มีอะไรเดี๋ยวควีนเรียก” รอกระทั่งสองแฝดก้าวเท้าออกจากห้องฉันถึงค่อยหันกลับไปมองประตูห้องน้ำที่ปิดสนิท ภายในนั้นเงียบเชียบ ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา แม้กระทั่งเสียงของหยดน้ำ “เกมส์ ทำอะไรเหรอ?” ดังนั้นฉันจึงลองถาม “แป๊บนะ” รอไม่นาน เสียงปลดล็อกจากประตูก็ดังขึ้นพร้อมเปิดกว้าง ส่งผลให้เราประจันหน้ากันโดยไร้สิ่งกีดขวางทันที หากแต่เมื่อหลุบตาต่ำลงอีกนิด...ก็พบว่าข้างกายเขาไม่มีสายน้ำเกลือระโยงระยาง เข็มบริเวณหลังมือถูกดึงออกไปแล้ว “ดึงเข็มออกทำไมคะ?” ละสายตาจากจุดนั้นแล้วเปลี่ยนมามองเขา “เกรงใจ” เกมส์ยกหลังมือขึ้นดูรอยเข็ม “ลืมบอกไปว่าผมมีคนรู้จักอยู่ที่นี่ คงไม่รบกวนคุณต่อแล้ว” “...” นั่นสินะ ที่เขาเดินทางมาเกาะพะงันต้องมีเหตุผลอยู่แล้ว คงเพราะมาหาใครสักคนที่เขาอ้างว่าเป็นคนรู้จักนั่นแหละ “ขอบคุณอีกครั้งนะครับ ไว้มีโอกาสเดี๋ยวตอบแทนแน่” ว่าแล้วก็ยกยิ้มจนเห็นรอยบุ๋มข้างแก้ม “ตอบแทนตอนนี้เลยสิคะ” “หือ?” คิ้วหนาซึ่งมีรอยบากและบาดแผลจากการถูกทำร้ายเลิกขึ้นพร้อมทั้งหลุบตามองฉันที่ตัวเล็กกว่าอย่างสงสัย “อยู่ที่นี่ก่อน” ทางด้านฉันนั้นก็ไม่คิดอ้อมค้อม “อยู่จนกว่าแผลจะหายดี” สำทับจบก็พิจารณารอยช้ำตามส่วนต่าง ๆ ซึ่งโผล่พ้นออกมาจากชุดที่เขาสวม ก่อนจะพบว่าเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ยังติดกระดุมไม่เรียบร้อยดีมีของเหลวขุ่นเข้มซึมผ่านผ้าพันแผลบริเวณสีข้างด้านขวา ฉันจำได้ว่าจุดนั้นมีแผลจากการโดนของมีคมถาก ถ้าไม่ได้เข้าใจอะไรผิดไป ตรงนั้นเหมือนจะเป็นแผลเก่า คงเป็นก่อนเดินทางมาเกาะพะงัน 1-2 วัน เกมส์คงเคลื่อนไหวโดยไม่จำเป็นมากเกินไปนั่นแหละ ปากแผลเลยปริแตกจนเลือดไหลซึม เห็นดังนั้นฉันจึงเป็นฝ่ายขยับเข้าไปหาโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้ปริปากถามอะไร ไม่กี่วิฯ ต่อมาก็หยุดยืนอยู่ในตำแหน่งที่ง่ายต่อการตรวจเช็ก ทว่า... “เฮ้ยคุณ...” ยังไม่ทันได้เลิกชายเสื้อขึ้นดูที่มาของรอยเลือด เกมส์ก็รีบคว้ามือซ้ายฉันไว้ นัยน์ตาคมกริบฉายความแตกตื่นให้เห็นอย่างเบาบาง “ทำไรครับเนี่ย” “พี่จะดูแผลให้ไงคะ เลือดมันซึมเนี่ยเห็นไหม” จบคำแล้วเด็กดื้อก็หลุบตาลงต่ำ เห็นเสื้อมีคราบเลือดเลอะเป็นดวง ๆ แทนที่จะแสดงอาการออกมาบ้าง กลับกลายเป็นว่า... “พอไหวอยู่” ยักไหล่หนึ่งทีราวกับไม่ทุกข์ร้อนเสียอย่างนั้น... เมื่อเทียบกับเมื่อวานแล้ว แม้สภาพภายนอกจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แต่กลับดูมีชีวิตชีวาขึ้นจนสังเกตได้ อาจเพราะได้พักผ่อน ได้กินยาแก้ปวด กอปรกับได้รับน้ำเกลือตลอดทั้งคืนล่ะมั้ง “งั้นก็ให้พี่ดูค่ะ” เพราะรู้ว่าเกมส์คงดึงดันไม่เลิกแน่ ฉันจึงเพิ่มแรงในส่วนที่ถูกกอบกำแล้วสลัดมือหนาออก ด้วยสภาพร่างกายยังไม่เอื้ออำนวยร้อยเปอร์เซ็นต์ การเกาะกุมที่ไม่ได้แน่นหนาอะไรมากนักจึงถูกทำลายทิ้งอย่างง่ายดาย เสร็จแล้วก็ไม่รอช้า ฉันเลิกชายเสื้อของเด็กดื้อขึ้นทันที... “ต้องทำแผลใหม่แล้วนะ” เมื่อเห็นเต็มสองตาว่าแผลที่ถูกเย็บไปแล้วมีเลือดปริ่มออกมาเป็นจำนวนมาก ฉันจึงคว้าหมับเข้าที่มือหนาข้างเดียวกันกับที่ถูกสลัดทิ้งก่อนหน้านี้ ก่อนจับจูงมานั่งแหมะบนโซฟาใกล้ ๆ เตียง แต่รู้ไหม... “ใจดีกับผมจังเลยนะ” เดินไปหยิบอุปกรณ์ทำแผล จวบจนกลับมานั่งข้าง ๆ ยังไม่ทันที่ปลายนิ้วจะสัมผัสโดนส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเขา เสียงทุ้มแหบก็ดังขึ้นในเชิงกล่าวชม "ดีกับผมขนาดนี้ แล้วยังอยากให้ผมอยู่กับคุณต่อจนกว่าแผลจะหายดีอีก นี่...” “...” “เมื่อคืนคุณบอกว่าให้ได้วันละคำถาม งั้นผมจะถามคำถามที่สองละนะ” ฉันพยักหน้าแต่สองตาตรึงเพียงบาดแผลบริเวณสีข้าง “ตอนอดีต เราเคยคลุกคลีกันในลักษณะไหนเหรอ?” “...” คำถามนี้... “ทำไมเมื่อคืนและเมื่อกี้คุณถึงมองผมด้วยสายตาแบบนั้น?” “แบบไหนคะ” ฉันถามกลับ “แบบนี้ไง” ว่าแล้วปลายนิ้วแข็งกระด้างก็ยื่นมาสัมผัสปลายคางฉัน บังคับให้เงยหน้าขึ้นมองสบตาอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา ฉันที่ปล่อยให้เขาชักนำโดยไม่คิดขัดขืนจึงพบเข้ากับความลุ่มลึกอันตรายจากนัยน์ตาคมกริบของเด็กหนุ่ม ซึ่งต้องยอมรับอย่างสัตย์จริงว่า...ด้วยวัยของเขา การแสดงออกในเชิงโปรยเสน่ห์แบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่าย ๆ แต่เกมส์กลับทำมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ “พี่ไม่ได้มองเราด้วยสายตาเจ้าชู้แบบนี้นะ” หลังถูกตอกตรึงด้วยสายตาร้อนแรงนานนับนาที ในที่สุดฉันก็ระบายยิ้มจาง ส่ายหน้าน้อย ๆ พร้อมทั้งปฏิเสธ “เป็นเด็กเป็นเล็ก ไปเรียนรู้วิธีการมองแบบนี้มาจากไหน” “ผมก็ทำตามคุณไง ไม่ใช่หรอกเหรอ?” ว่าแล้วนัยน์ตาคมกริบแฝงความดื้อรั้นก็กลับมาเป็นปกติ ไม่ร้ายกาจจนน่าฉงนเช่นเมื่อกี้แล้ว “ถึงผมจะเด็กกว่าคุณ แต่ก็พอมองออกอยู่นะ” เกมส์ยังไม่ปล่อยมือไปจากปลายคางฉัน ส่งผลให้การเบือนหน้าหนีเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก “มองออกว่าอะไรล่ะ” ฉันถามต่อ ความสนใจที่มีต่อบาดแผลบริเวณสีข้างถูกพับเก็บไว้ชั่วคราว ไม่แปลกหรอกที่เกมส์จะสงสัยและอยากรู้อยากเห็นจนเก็บงำไม่อยู่ ในเมื่อเขาจำฉันไม่ได้...แถมฉันคนนี้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนแปลกหน้ายังหยิบยื่นให้ความช่วยเหลือแทบทุกอย่าง มิหนำซ้ำ...ครั้นพูดถึงเรื่องการตอบแทน ฉันยังขอให้เขาตอบแทนด้วยการอยู่ที่นี่จนกว่าแผลจะหายดีอีก ถ้าฉันเป็นเกมส์ก็คงไม่ยอมปล่อยให้เรื่องราวสุดเคลือบแคลงใจนี้คาราคาซังต่อไปเช่นกัน “คุณยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลย มาถามผมกลับได้ไง” คราวนี้เจ้าเด็กตัวใหญ่แสดงความขุ่นเคืองให้เห็นอย่างไม่ปกปิด ความดื้อดึงอันเป็นเอกลักษณ์แม้จะน่ากลัวแต่ก็ไม่ได้ทำให้ฉันตัวสั่น “เร็ว ตอบผมมาเหอะน่า” “เป็นแค่พี่น้องค่ะ” เพราะสัญญาไว้แล้วว่าจะให้วันละหนึ่งคำถาม ฉันที่ไม่อยากผิดคำพูดจึงยอมปริปาก “มีพี่แค่ฝ่ายเดียวที่คิดไม่ซื่อ” มันเริ่มต้นขึ้น ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ฉันจำได้ว่าคืนนั้นหิมะตกหนักมาก...เป็นอีกวันที่รู้สึกเหนื่อยล้าเกินกว่าจะก้าวเดิน ทว่าเกมส์ซึ่งอายุเพียง 14 ปีเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เดินผ่านมาโดยไม่ตั้งใจ เป็นคนแปลกหน้าที่ให้กำลังใจฉันได้ดีที่สุดในช่วงเวลานั้น เฟิร์ส อิมเพรสชั่นของเราจัดว่าน่าประทับใจอย่างมาก “นี่” เมื่อได้ฟังคำตอบแล้วเกมส์ก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม “ตอนนี้ผมอายุสิบแปด ถ้าคุณบอกว่าในอดีตเราเคยรู้จักกัน เคยเป็นพี่น้อง แสดงว่าตอนนั้นผมยังเด็กอยู่” “...” “คุณคิดไม่ซื่อกับเด็กมัธยมเหรอ?” มัธยมต้นด้วยค่ะน้องเกมส์... “ค่ะ” ฉันพยักหน้าอย่างไม่เอียงอาย จนถึงตอนนี้...อาจมองว่าฉันน่ากลัว ไม่ต่างอะไรไปจากพวกเปโด[1] แต่ในความเป็นจริงแล้ว ณ ช่วงเวลานั้นฉันแค่รู้สึกว่าเขาพิเศษ เป็นเด็กดื้อแพ่งแต่กลับมีความคิดและทัศนคติที่ค่อนข้างโอเค เลือกมองชีวิตในความเป็นจริงมากกว่าจะอุปโลกน์ให้งดงามสวยหรู เราคลุกคลีกันนานหลายเดือน...อาจมองว่าเป็นช่วงเวลาที่สั้นเกินกว่าจะผูกพัน แต่ก็เป็นหลายเดือนที่มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น จนในที่สุด หัวใจของฉันก็สั่นระรัวอย่างบ้าคลั่ง ทว่ายังไม่มีโอกาสได้เปิดเผยความรู้สึก...เขาก็หายไป กลับประเทศไทยโดยไม่มีแม้แต่คำล่ำลาหรือคำอธิบายใด ๆ 4 ปีมาแล้ว [1] โรครักเด็กหรือพีโดฟิเลีย-Pedophilia จัดว่าเป็นพฤติกรรมผิดปกติหรือวิตถารอีกแบบหนึ่ง กลุ่มเดียวกับซาดิสม์หรือพวกชอบแอบดู-วอยูริสม์ (voyeurism) เป็นต้น คำว่าพีโดส (pedos) หรือไพโดส (pidos) ในภาษากรีกแปลว่าเด็ก ส่วนคำว่าฟีเลีย แปลว่าชอบหรือรัก พีโดฟิเลียจึงแปลว่าชอบหรือรักเด็ก แต่รักเด็กในที่นี้แตกต่างจากรักเด็กทั่วไปตรงที่ใช้เด็กเป็นของรัก (love object) เพื่อนำไปสู่การกระทำทางเพศของตน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม