แต่เพราะเกมส์ยังมึนงงกับทุกสิ่งทุกอย่าง ซ้ำยังเคลื่อนไหวลำบาก ก่อนออกไปทำธุระสำคัญฉันจึงให้บอดี้การ์ดสองคนมาเฝ้า อยากได้อะไรจงหามาให้ อยากกินอะไรให้รีบจัดการ ดูแลเขาเสมือนเจ้านายคนหนึ่งและอย่าได้เหิมเกริม
เพราะถ้าฉันรู้...
เจอดีแน่
แน่นอน เกมส์น่ะมีท่าทีต่อต้านพอสมควรกับความเล่นใหญ่เกินเบอร์ของฉัน ซึ่งถึงจะน่าขัดใจและชวนอึดอัดไปสักหน่อย แต่เพราะมองเห็นประโยชน์จากการทำแบบนี้ฉันจึงไม่ได้อยู่อธิบาย ส่วนหนึ่งเพราะอยากรีบจัดการธุระสำคัญให้เสร็จด้วย
และธุระที่ว่าคือ...
“...จัดการมัน เอาให้หลาบจำ”
สั่งสอนพวกอวดดีให้หลาบจำ จากนั้นค่อยโยนเข้าคุกในสภาพใกล้ตาย
หากสงสัยว่าฉันหมายถึงใคร...
คงต้องย้อนกลับไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อนหลังจากบังเอิญพบร่างไร้สติของเกมส์ลอยมาเกยชายฝั่งตามแรงโหมซัดของคลื่น สภาพเขาเรียกได้ว่ายับเยินสาหัสสากรรจ์ บอบช้ำไม่สู้ดีคล้ายคนใกล้ตาย
ดีนะที่หัวใจยังคงเต้นระรัว
ด้วยความที่เกมส์เป็นเด็กตัวสูงและคาดว่าน้ำหนักคงไม่ต่ำกว่าเจ็ดสิบกิโลกรัม ฉันจึงให้บอดี้การ์ดที่ติดสอยหอยตามมาด้วยจัดการแบกเขาขึ้นไปยังชั้นบนสุดของโรงแรมห้าดาว ซึ่งชั้นนั้นทั้งชั้นฉันได้ทำการเหมาล่วงหน้าก่อนเดินทางมาที่นี่...เพียงเพราะอยากได้ความเป็นส่วนตัว
ตัวฉันนั้นมีคอนเนคชันที่ดีกับคนในพื้นที่ประมาณหนึ่ง เนื่องจากหนีพ่อมาเที่ยวบ่อยและมักจะขอคอนแท็กกลับติดมือไปทุกครั้ง จึงทำให้เวลาติดต่อขอความช่วยเหลือเป็นไปอย่างราบรื่นเสมอ
เช่นเดียวกันกับหมอที่ฉันโทร.เรียกให้มาตรวจเช็กสภาพร่างกายเกมส์ถึงห้องพักเมื่อคืนนี้
ครั้งหนึ่งฉันเคยโดนพิษแมงกะพรุนเล่นงานและได้เขาที่กำลังเดินเล่นกับภรรยาช่วยไว้ โชคดีที่ภรรยาเขามีรสนิยมหลาย ๆ อย่างคล้ายคลึงฉันจึงคุยกันถูกคอ
รู้อีกที เรากลายเป็นเพื่อนสนิทต่างวัย ต้องได้เจอหน้าทุกครั้งเมื่อมาที่นี่
หลังจากตรวจร่างกายและพบว่าไม่มีอะไรน่ากังวล ฉันได้ปลีกตัวออกมานอกห้อง ให้บอดี้การ์ดติดต่อกับทางท่าเรือและเช็กกล้องจากเฟอร์รี่เที่ยวล่าสุด แต่กลับพบว่าบางส่วนถูกทำลายไปจึงไม่สามารถเปิดดูได้
หลังจากได้คำตอบในส่วนนั้นฉันก็พอเข้าใจบ้างแล้วว่าคนทำต้องมีอิทธิพลในระดับหนึ่ง เพราะการทำลายหลักฐานด้วยวิธีที่โง่เง่าแต่กลับไม่มีใครสงสัย แถมเรื่องหนึ่งในลูกเรือที่หายไปยังเงียบจนผิดหูผิดตา เป็นไปได้ว่าอาจมีเรื่องเงินและอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้อง
ฉะนั้นต่อให้มีพยานรู้เห็นก็ไม่อาจปากโป้ง
แล้วก็นะ
ถ้าจะให้พูดตรง ๆ สำหรับฉันแล้ว...ความกระตือรือร้นในการทำงานของตำรวจไทยนั้นเรียกได้ว่าน้อยนิดแทบติดลบ เพราะเท่าที่เคยเห็น เวลามีผู้ร้องทุกข์ก็เพียงรับเรื่องส่ง ๆ ประหนึ่งเห็นความเดือดร้อนของประชาชนเป็นเรื่องสามัญ
แต่ก็โชคดีของฉันอีกแหละค่ะที่ตำรวจยศสูงนายหนึ่งของสน.นี้รู้จักพ่อฉันเป็นการส่วนตัว กอปรกับแสดงท่าทีสนอกสนใจฉันอย่างออกนอกหน้า ฉันจึงสามารถใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ได้แค่เพียงพูดจาหวาน ๆ ใส่เท่านั้น
กระทั่งไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ตัวต้นเหตุซึ่งมีทั้งหมดห้าคนก็นั่งเรียงรายอยู่ด้านหน้า โลเคชันคือป่ามะพร้าวปลอดคน
เรื่องนี้ตำรวจนายนั้นรับรู้ ซึ่งในทางกฎหมาย การที่ฉันให้บอดี้การ์ดลากพวกมันมาที่นี่หมายจะสั่งสอนด้วยวิธีเดียวกันกับที่ทำกับเกมส์...ถือเป็นเรื่องผิด ฉันและคนของฉันสามารถโดนข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้ แม้อีกฝ่ายจะมีคดีติดตัวก็ตาม
ที่ผ่านมา อะไรสุ่มเสี่ยงฉันพร้อมเลี่ยงหลีก แต่เรื่องนี้...ฉันไม่แคร์
แลกกับการที่คนพวกนี้ได้กินเลือดแทนน้ำ แลกกับการได้สั่งสอนด้วยวิธีที่พวกนั้นมองว่าเท่ เสียค่าปรับไม่กี่แสนไม่ทำให้ขนหน้าแข้งร่วงอยู่แล้ว
หนึ่งชั่วโมงครึ่งผ่านไป
“เกมส์ล่ะ?” เมื่อกลับมาถึงห้องแล้วพบว่าเกมส์ไม่ได้นอนอยู่บนเตียงอย่างที่ควรจะเป็น ฉันจึงถามธนู...หนึ่งในบอดี้การ์ดที่ถูกสั่งให้อยู่ดูแลเขาระหว่างฉันออกไปทำธุระ
“เข้าห้องน้ำครับ” ธนูตอบ
“ทุกอย่างราบรื่นดีใช่ไหมครับคุณหนู?” ต่อมาเป็นคำถามของปืน...แฝดพี่ของธนูซึ่งยืนอยู่เคียงข้างกัน ทั้งสองยืนเยื้องประตูห้องน้ำเล็กน้อย คงอยากให้เกมส์ได้มีความเป็นส่วนตัวขณะทำธุระล่ะมั้ง
“ค่ะ ธนูกับปืนกลับไปพักได้เลยนะ มีอะไรเดี๋ยวควีนเรียก”
รอกระทั่งสองแฝดก้าวเท้าออกจากห้องฉันถึงค่อยหันกลับไปมองประตูห้องน้ำที่ปิดสนิท ภายในนั้นเงียบเชียบ ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา แม้กระทั่งเสียงของหยดน้ำ “เกมส์ ทำอะไรเหรอ?” ดังนั้นฉันจึงลองถาม
“แป๊บนะ” รอไม่นาน เสียงปลดล็อกจากประตูก็ดังขึ้นพร้อมเปิดกว้าง ส่งผลให้เราประจันหน้ากันโดยไร้สิ่งกีดขวางทันที หากแต่เมื่อหลุบตาต่ำลงอีกนิด...ก็พบว่าข้างกายเขาไม่มีสายน้ำเกลือระโยงระยาง เข็มบริเวณหลังมือถูกดึงออกไปแล้ว
“ดึงเข็มออกทำไมคะ?” ละสายตาจากจุดนั้นแล้วเปลี่ยนมามองเขา
“เกรงใจ” เกมส์ยกหลังมือขึ้นดูรอยเข็ม “ลืมบอกไปว่าผมมีคนรู้จักอยู่ที่นี่ คงไม่รบกวนคุณต่อแล้ว”
“...” นั่นสินะ ที่เขาเดินทางมาเกาะพะงันต้องมีเหตุผลอยู่แล้ว คงเพราะมาหาใครสักคนที่เขาอ้างว่าเป็นคนรู้จักนั่นแหละ
“ขอบคุณอีกครั้งนะครับ ไว้มีโอกาสเดี๋ยวตอบแทนแน่” ว่าแล้วก็ยกยิ้มจนเห็นรอยบุ๋มข้างแก้ม
“ตอบแทนตอนนี้เลยสิคะ”
“หือ?” คิ้วหนาซึ่งมีรอยบากและบาดแผลจากการถูกทำร้ายเลิกขึ้นพร้อมทั้งหลุบตามองฉันที่ตัวเล็กกว่าอย่างสงสัย
“อยู่ที่นี่ก่อน” ทางด้านฉันนั้นก็ไม่คิดอ้อมค้อม “อยู่จนกว่าแผลจะหายดี”
สำทับจบก็พิจารณารอยช้ำตามส่วนต่าง ๆ ซึ่งโผล่พ้นออกมาจากชุดที่เขาสวม ก่อนจะพบว่าเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ยังติดกระดุมไม่เรียบร้อยดีมีของเหลวขุ่นเข้มซึมผ่านผ้าพันแผลบริเวณสีข้างด้านขวา ฉันจำได้ว่าจุดนั้นมีแผลจากการโดนของมีคมถาก
ถ้าไม่ได้เข้าใจอะไรผิดไป ตรงนั้นเหมือนจะเป็นแผลเก่า คงเป็นก่อนเดินทางมาเกาะพะงัน 1-2 วัน
เกมส์คงเคลื่อนไหวโดยไม่จำเป็นมากเกินไปนั่นแหละ ปากแผลเลยปริแตกจนเลือดไหลซึม
เห็นดังนั้นฉันจึงเป็นฝ่ายขยับเข้าไปหาโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้ปริปากถามอะไร ไม่กี่วิฯ ต่อมาก็หยุดยืนอยู่ในตำแหน่งที่ง่ายต่อการตรวจเช็ก ทว่า...
“เฮ้ยคุณ...” ยังไม่ทันได้เลิกชายเสื้อขึ้นดูที่มาของรอยเลือด เกมส์ก็รีบคว้ามือซ้ายฉันไว้ นัยน์ตาคมกริบฉายความแตกตื่นให้เห็นอย่างเบาบาง “ทำไรครับเนี่ย”
“พี่จะดูแผลให้ไงคะ เลือดมันซึมเนี่ยเห็นไหม” จบคำแล้วเด็กดื้อก็หลุบตาลงต่ำ
เห็นเสื้อมีคราบเลือดเลอะเป็นดวง ๆ แทนที่จะแสดงอาการออกมาบ้าง กลับกลายเป็นว่า...
“พอไหวอยู่” ยักไหล่หนึ่งทีราวกับไม่ทุกข์ร้อนเสียอย่างนั้น...
เมื่อเทียบกับเมื่อวานแล้ว แม้สภาพภายนอกจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แต่กลับดูมีชีวิตชีวาขึ้นจนสังเกตได้ อาจเพราะได้พักผ่อน ได้กินยาแก้ปวด กอปรกับได้รับน้ำเกลือตลอดทั้งคืนล่ะมั้ง
“งั้นก็ให้พี่ดูค่ะ” เพราะรู้ว่าเกมส์คงดึงดันไม่เลิกแน่ ฉันจึงเพิ่มแรงในส่วนที่ถูกกอบกำแล้วสลัดมือหนาออก
ด้วยสภาพร่างกายยังไม่เอื้ออำนวยร้อยเปอร์เซ็นต์ การเกาะกุมที่ไม่ได้แน่นหนาอะไรมากนักจึงถูกทำลายทิ้งอย่างง่ายดาย
เสร็จแล้วก็ไม่รอช้า ฉันเลิกชายเสื้อของเด็กดื้อขึ้นทันที... “ต้องทำแผลใหม่แล้วนะ”
เมื่อเห็นเต็มสองตาว่าแผลที่ถูกเย็บไปแล้วมีเลือดปริ่มออกมาเป็นจำนวนมาก ฉันจึงคว้าหมับเข้าที่มือหนาข้างเดียวกันกับที่ถูกสลัดทิ้งก่อนหน้านี้ ก่อนจับจูงมานั่งแหมะบนโซฟาใกล้ ๆ เตียง
แต่รู้ไหม...
“ใจดีกับผมจังเลยนะ”
เดินไปหยิบอุปกรณ์ทำแผล จวบจนกลับมานั่งข้าง ๆ ยังไม่ทันที่ปลายนิ้วจะสัมผัสโดนส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเขา เสียงทุ้มแหบก็ดังขึ้นในเชิงกล่าวชม "ดีกับผมขนาดนี้ แล้วยังอยากให้ผมอยู่กับคุณต่อจนกว่าแผลจะหายดีอีก นี่...”
“...”
“เมื่อคืนคุณบอกว่าให้ได้วันละคำถาม งั้นผมจะถามคำถามที่สองละนะ” ฉันพยักหน้าแต่สองตาตรึงเพียงบาดแผลบริเวณสีข้าง “ตอนอดีต เราเคยคลุกคลีกันในลักษณะไหนเหรอ?”
“...” คำถามนี้...
“ทำไมเมื่อคืนและเมื่อกี้คุณถึงมองผมด้วยสายตาแบบนั้น?”
“แบบไหนคะ” ฉันถามกลับ
“แบบนี้ไง” ว่าแล้วปลายนิ้วแข็งกระด้างก็ยื่นมาสัมผัสปลายคางฉัน บังคับให้เงยหน้าขึ้นมองสบตาอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา
ฉันที่ปล่อยให้เขาชักนำโดยไม่คิดขัดขืนจึงพบเข้ากับความลุ่มลึกอันตรายจากนัยน์ตาคมกริบของเด็กหนุ่ม ซึ่งต้องยอมรับอย่างสัตย์จริงว่า...ด้วยวัยของเขา การแสดงออกในเชิงโปรยเสน่ห์แบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่าย ๆ
แต่เกมส์กลับทำมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“พี่ไม่ได้มองเราด้วยสายตาเจ้าชู้แบบนี้นะ” หลังถูกตอกตรึงด้วยสายตาร้อนแรงนานนับนาที ในที่สุดฉันก็ระบายยิ้มจาง ส่ายหน้าน้อย ๆ พร้อมทั้งปฏิเสธ “เป็นเด็กเป็นเล็ก ไปเรียนรู้วิธีการมองแบบนี้มาจากไหน”
“ผมก็ทำตามคุณไง ไม่ใช่หรอกเหรอ?” ว่าแล้วนัยน์ตาคมกริบแฝงความดื้อรั้นก็กลับมาเป็นปกติ ไม่ร้ายกาจจนน่าฉงนเช่นเมื่อกี้แล้ว “ถึงผมจะเด็กกว่าคุณ แต่ก็พอมองออกอยู่นะ”
เกมส์ยังไม่ปล่อยมือไปจากปลายคางฉัน ส่งผลให้การเบือนหน้าหนีเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก
“มองออกว่าอะไรล่ะ” ฉันถามต่อ ความสนใจที่มีต่อบาดแผลบริเวณสีข้างถูกพับเก็บไว้ชั่วคราว
ไม่แปลกหรอกที่เกมส์จะสงสัยและอยากรู้อยากเห็นจนเก็บงำไม่อยู่
ในเมื่อเขาจำฉันไม่ได้...แถมฉันคนนี้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนแปลกหน้ายังหยิบยื่นให้ความช่วยเหลือแทบทุกอย่าง มิหนำซ้ำ...ครั้นพูดถึงเรื่องการตอบแทน ฉันยังขอให้เขาตอบแทนด้วยการอยู่ที่นี่จนกว่าแผลจะหายดีอีก
ถ้าฉันเป็นเกมส์ก็คงไม่ยอมปล่อยให้เรื่องราวสุดเคลือบแคลงใจนี้คาราคาซังต่อไปเช่นกัน
“คุณยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลย มาถามผมกลับได้ไง” คราวนี้เจ้าเด็กตัวใหญ่แสดงความขุ่นเคืองให้เห็นอย่างไม่ปกปิด ความดื้อดึงอันเป็นเอกลักษณ์แม้จะน่ากลัวแต่ก็ไม่ได้ทำให้ฉันตัวสั่น “เร็ว ตอบผมมาเหอะน่า”
“เป็นแค่พี่น้องค่ะ” เพราะสัญญาไว้แล้วว่าจะให้วันละหนึ่งคำถาม ฉันที่ไม่อยากผิดคำพูดจึงยอมปริปาก “มีพี่แค่ฝ่ายเดียวที่คิดไม่ซื่อ”
มันเริ่มต้นขึ้น ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ฉันจำได้ว่าคืนนั้นหิมะตกหนักมาก...เป็นอีกวันที่รู้สึกเหนื่อยล้าเกินกว่าจะก้าวเดิน
ทว่าเกมส์ซึ่งอายุเพียง 14 ปีเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เดินผ่านมาโดยไม่ตั้งใจ เป็นคนแปลกหน้าที่ให้กำลังใจฉันได้ดีที่สุดในช่วงเวลานั้น
เฟิร์ส อิมเพรสชั่นของเราจัดว่าน่าประทับใจอย่างมาก
“นี่” เมื่อได้ฟังคำตอบแล้วเกมส์ก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม “ตอนนี้ผมอายุสิบแปด ถ้าคุณบอกว่าในอดีตเราเคยรู้จักกัน เคยเป็นพี่น้อง แสดงว่าตอนนั้นผมยังเด็กอยู่”
“...”
“คุณคิดไม่ซื่อกับเด็กมัธยมเหรอ?”
มัธยมต้นด้วยค่ะน้องเกมส์...
“ค่ะ” ฉันพยักหน้าอย่างไม่เอียงอาย
จนถึงตอนนี้...อาจมองว่าฉันน่ากลัว ไม่ต่างอะไรไปจากพวกเปโด[1]
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ณ ช่วงเวลานั้นฉันแค่รู้สึกว่าเขาพิเศษ เป็นเด็กดื้อแพ่งแต่กลับมีความคิดและทัศนคติที่ค่อนข้างโอเค เลือกมองชีวิตในความเป็นจริงมากกว่าจะอุปโลกน์ให้งดงามสวยหรู
เราคลุกคลีกันนานหลายเดือน...อาจมองว่าเป็นช่วงเวลาที่สั้นเกินกว่าจะผูกพัน แต่ก็เป็นหลายเดือนที่มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น
จนในที่สุด หัวใจของฉันก็สั่นระรัวอย่างบ้าคลั่ง
ทว่ายังไม่มีโอกาสได้เปิดเผยความรู้สึก...เขาก็หายไป กลับประเทศไทยโดยไม่มีแม้แต่คำล่ำลาหรือคำอธิบายใด ๆ
4 ปีมาแล้ว
[1] โรครักเด็กหรือพีโดฟิเลีย-Pedophilia จัดว่าเป็นพฤติกรรมผิดปกติหรือวิตถารอีกแบบหนึ่ง กลุ่มเดียวกับซาดิสม์หรือพวกชอบแอบดู-วอยูริสม์ (voyeurism) เป็นต้น
คำว่าพีโดส (pedos) หรือไพโดส (pidos) ในภาษากรีกแปลว่าเด็ก ส่วนคำว่าฟีเลีย แปลว่าชอบหรือรัก พีโดฟิเลียจึงแปลว่าชอบหรือรักเด็ก แต่รักเด็กในที่นี้แตกต่างจากรักเด็กทั่วไปตรงที่ใช้เด็กเป็นของรัก (love object) เพื่อนำไปสู่การกระทำทางเพศของตน