ยอมรับเลยว่าการเจอหน้าในรอบสี่ปีของเรา...การพบว่าเขาผู้เป็นรักแรกและรักเดียวเติบโตเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ ความใสซื่อบริสุทธิ์ในวันวานก็แทบจะเลือนหายไป มีความรู้สึกแปลกใหม่หลากหลายชนิดแทรกซึมเข้ามา
และตอนนี้ฉันได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองว่า 'ต้องทำยังไงถึงจะได้เขามาไว้ในครอบครอง?'
อย่างน้อย ๆ เกมส์ที่บรรลุนิติภาวะแล้วก็ทำให้ฉันรู้สึกบาปน้อยลง...
อย่างน้อย ๆ การมองเกมส์เป็นผู้ชายคนหนึ่ง...ก็ไม่มีอุปสรรคทางด้านศีลธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว
เมื่อเกมส์เงียบไปคล้ายนึกคำพูดไม่ออก ฉันจึงถือโอกาสดึงมือหนาออกจากปลายคางแล้วจัดการกับบาดแผลอย่างระมัดระวัง ระหว่างนั้นก็พูด “พี่ต้องพักที่พะงันอีกสองอาทิตย์ ช่วงใกล้กลับมี Full Moon Party พอดี อยู่จนกว่าจะถึงตอนนั้นเถอะนะคะ”
“ดีแน่เหรอ” เกมส์นั่งนิ่ง “ถึงจะเด็กกว่าคุณ แต่ผมเป็นผู้ชาย”
“...”
“และผมก็โตแล้ว” คำบอกกล่าวนั้นฉุดสายตาฉันขึ้นมองกล้ามเนื้อหนั่นแน่นบนเรือนกายที่แทบทุกตารางนิ้วมีรองร่อยจากการถูกทำร้าย
ซึ่งถึงแม้ว่าบาดแผลเหล่านั้นจะชวนหัวเสียไปบ้างเมื่อได้มอง แต่ก็นะ...
ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าสัดส่วนของเกมส์ไปไกลกว่าคำว่าเด็กน้อยหลายขุม
มีเพียงปีเกิดกับใบหน้าอ่อนเยาว์เท่านั้นที่เป็นเครื่องยืนยันว่าเขาเพิ่งจบม.ปลายมาได้ไม่กี่เดือน
เด็กสมัยนี้เขากินเวย์โปรตีนแทนข้าวหรือยังไงนะ?
“อื้อ พี่เห็นแล้วว่าเราโตขึ้นมาก” ฉันตอบและเห็นว่าเขาเผลอเกร็งกล้ามเนื้อ
คงเพราะกะน้ำหนักมือผิดพลาดนั่นแหละ บาดแผลที่นับว่ายังสดใหม่จึงทำให้เจ้าตัวเจ็บจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่
“แล้วทำไมยังอยากให้ผมอยู่กับคุณต่อ?” หลุดสูดปากด้วยความเจ็บปวดเพียงเล็กน้อยก็ถามต่อ “ไม่กลัวผมทำอะไรคุณเหรอ?”
“ไม่นะ”
เมื่อคืนก็นอนร่วมเตียงกัน กอดกัน แนบชิดกัน มีอะไรให้กลัวอีกเหรอคะ...
“ผมชอบนอนละเมอด้วยนะ เมื่อคืนคุณก็น่าจะเห็น ถ้าเผลอกอด เผลอแตะเนื้อต้องตัว เผลอทำอันตรายโดยไม่ตั้งใจ จะไม่เป็นไรแน่?” เกมส์ยังคงรัวคำถามไม่หยุด
ยิ่งถามมากเท่าไหร่ น้ำเสียงแหบห้วนยิ่งเจือความงุนงงมากยิ่งขึ้น
คลับคล้ายคลับคลาว่า...จะมีความหวั่นกลัวแฝงอยู่ด้วย
“...” ฉันส่ายหน้า พอดีกับที่จัดการบาดแผลเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนพบว่าเกมส์กำลังหรี่ตาพิจารณาฉันอย่างถี่ถ้วน
เมื่อกี้...เกมส์ถามเรื่องความสัมพันธ์ของเรา ซึ่งฉันก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาจนเขาหายข้องใจแล้ว น่าจะพอรู้สิว่าทำไมถึงยังอยากให้เขาอยู่ที่นี่ต่อ
“ตอนนี้ผมไม่มีเงินสักแดงเดียว โคตรจนเลย มั่นใจเหรอว่าของมีค่าของคุณจะไม่ถูกผมขโมยไปขาย?”
เฮ้อ ถามเยอะจริงเชียว
ไป ๆ มา ๆ เหมือนเราสองคนกำลังสลับบทบาทกันเลยนะ
“เราอยากได้เท่าไหร่ล่ะคะ เดี๋ยวพี่จัดการให้” เพราะเหนื่อยจะตอบแล้ว บวกกับเอ็นดูปนสงสารที่เขาไม่มีเงินใช้สักบาทฉันจึงถามกลับพร้อมทั้งล้วงโทรศัพท์ขึ้นมา เตรียมไลน์บอกดีนให้จัดการเรื่องนี้โดยด่วน
ทว่า...หมับ...
“คุณแม่ง...โคตรพิลึก” เกมส์น่ะใช้มือซ้ายเบรกปลายนิ้วที่กำลังกดเข้าแอปฯ ไลน์ไว้ ขณะนั้นริมฝีปากหยักบางติดคล้ำก็พึมพำหยาบคาย ทว่ากลับไม่รู้สึกเหมือนกำลังถูกด่าแต่อย่างใด “เอาเหอะ...”
ถอนหายใจคล้ายคร้านจะถามแล้วก็ละมือออกจากปลายนิ้วฉันในที่สุด ก่อนหยัดตัวขึ้นยืน...บิดขี้เกียจอย่างระมัดระวัง
ที่จริงไม่มีอะไรให้ต้องคิดเยอะเลย ในเมื่อเขามีแต่ได้กับได้
อยู่ฟรี กินฟรี มีคนดูแลอย่างใกล้ชิด
ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำเลยนะ
“...” ฉันเงยหน้ามองเกมส์ที่ยืนขึ้นเต็มความสูง รอดูว่าเขาจะพูดอะไรต่อ
ซึ่งไม่นานนักเขาก็หันกลับมาประจันหน้าฉันอีกรอบในระยะห่างไม่มากไม่น้อย สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด “ระหว่างอยู่ที่นี่ ผมจะค่อย ๆ นึกและพยายามจำคุณให้ได้ละกัน”
“...”
“แต่ถ้าพยายามแล้วยังจำไม่ได้...” เว้นช่วงแล้วกล่าวต่อ “จบสองอาทิตย์...แยกย้ายนะครับ”
เพื่อไม่ให้เกมส์รู้สึกว่าฉันดูพยายามผูกมัดอย่างโจ่งแจ้งจนเกินไป และเพื่อเว้นช่องว่างให้เขาได้ตัดสินใจบ้าง ฉันจึงไม่ปฏิเสธและยอมรับข้อเสนอนั้นโดยไม่อิดออด
แม้ฉันอยากให้เขาอยู่นานกว่านั้น แต่ก็จะไม่มีการข่มขู่ ไม่มีบีบบังคับใด ๆ ทั้งสิ้น
เพราะตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยยันจบออกมา ด้วยประสบการณ์ที่ผู้ชายมากหน้าหลายตาเข้ามาข้องแวะและสานสัมพันธ์ในเชิงชู้สาว...แม้ไม่พัฒนาไปไกลถึงขั้นเลื่อนสถานะหรือเปลื้องผ้าขึ้นเตียง ทว่าจากการพูดคุย ทำความรู้จักและเฝ้าสังเกตพฤติกรรมอย่างใกล้ชิดก็เพียงพอให้ฉันได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่เพศตรงข้ามชอบประมาณหนึ่ง
ก็ไม่ใช่ทุกคนหรอก...
แต่ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็คงเกินครึ่ง
ส่วนเกมส์ เขาไม่ใช่เด็กซื่อบื้อหรืออินโนเซ้นส์จนขาวสะอาด ออกจะเถรตรงจนเดาทิศทางของการกระทำและอารมณ์ได้ง่าย
แต่...ที่กล่าวมาทั้งหมดคือตัวตนในอดีตของเขานะ
มนุษย์ทุกคนเมื่อเติบโตขึ้น ลักษณะนิสัยบางส่วนล้วนต้องเปลี่ยนไป
ซึ่งจากระยะเวลาหลายชั่วโมงที่เขาอยู่ที่นี่ นอกจากด้านกายภาพและเสียงแตกหนุ่มแล้ว ฉันยังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงทางนิสัยมากนัก ฉะนั้นสองอาทิตย์นับจากนี้คงต้องดูกันต่อไปว่ามีอะไรในตัวเกมส์ที่ฉันยังไม่รู้อีกบ้าง
แล้ว...หลังจากนั้นล่ะ?
ฉันจะทำอะไรต่อ?
ขอยังไม่บอกนะคะ รู้แค่ว่าฉันจะไม่ทำให้มันเสียเปล่า
หนึ่งวันต่อมานับตั้งแต่เกมส์ขอเวลาสองอาทิตย์ในการรื้อฟื้นความทรงจำที่ขาดหายไป ฉันตั้งใจว่าจะออกไปซื้อเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นสำหรับผู้ชาย เพราะชุดที่เขาสวมอยู่ตอนนี้เป็นของบอดี้การ์ดที่ฉันยืมมาชั่วคราว
ความจริงฉันสามารถให้คนจัดการข้าวของเครื่องใช้ได้ตั้งแต่วันแรก แต่ที่ไม่ทำเพราะชายฉกรรจ์พวกนั้นไม่ละเอียดอ่อนในเรื่องพวกนี้มากพอน่ะสิ สักแต่จะหยิบมาลูกเดียว
อีกนัยหนึ่งคือฉันอยากออกไปเลือกด้วยตัวเองน่ะ
หลังแต่งองทรงเครื่องเรียบร้อยแล้วก็เตรียมออกจากห้อง แต่มีเรื่องให้ต้องหยุดฝีเท้าตั้งแต่ยังไม่ทันพ้นรัศมีโต๊ะเครื่องแป้ง เหตุเพราะอยู่ดี ๆ เกมส์ก็ขอไปด้วย...
“ยังไม่หายดีเลยค่ะ”
ด้วยสภาพร่างกายที่ยังไม่เหมาะแก่การเคลื่อนไหว ฉันจึงห้ามปรามเขาไป แต่...
“คุณบอกว่าจะไปคนเดียว ไม่ให้บอดี้การ์ดไปด้วย” เกมส์ที่อยู่ในเสื้อเชิ้ตสีดำปลดกระดุมสองเม็ดกับกางเกงผ้าสี่ส่วน เดินเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงมาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ ฉันพร้อมหาวหวอด ๆ “แต่งตัวแบบนี้อีก ไปคนเดียวไม่ดีแน่”
ว่าพลางหลุบมองการแต่งกายของฉันด้วยสายตาค่อนไปทางหน่าย แต่เพราะไม่มีสิทธิ์อะไรในฐานะคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันเพียงหนึ่งวันกว่า ๆ เขาจึงไม่กล้าพูดมาก
“ไม่ดียังไงคะ?” ฉันถาม
อันที่จริงฉันเป็นคนชอบแต่งตัวและไม่มีสไตล์ที่แน่นอน บางวันอยากเว่อร์วัง บางวันอยากเบาสบาย บางวันก็โชว์ไหล่โชว์หลัง ฉันมองว่าเป็นเรื่องของแฟชั่น...จึงไม่ได้คิดว่าเป็นปัญหาอะไร
อีกอย่างช่วงกลางวันของที่นี่ก็ร้อนมาก ชาวต่างชาติใส่บิกินี่เดินว่อนไปทั่วยังไม่เห็นจะเป็นอะไร My body is my choice ค่ะ
“นี่” เกมส์ขมวดคิ้ว “คุณอายุเท่าไหร่แล้ว? ยังต้องให้เด็กอย่างผมบอกอีกเหรอว่ามันโคตรโป๊?”
“...”
ฉันยืนนิ่ง ขณะนั้นมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา
ทำไมตอนเขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวด...มันถึงได้กร๊าวใจขนาดนี้นะ?
“เป็นผู้หญิงก็หัดระวัง ๆ ตัวหน่อยดิคุณ”
“วันนี้พี่ตั้งใจจะใส่ชุดนี้อยู่แล้วค่ะ คงไม่เปลี่ยนแล้ว” ถึงแม้การแสดงออกทางสีหน้าและน้ำเสียงกดต่ำของเกมส์จะชี้ชัดว่ากำลังตำหนิติเตียน และถึงแม้ว่าแววตาของเขาจะมีไอคุกรุ่นให้เห็นอย่างเจือจางจนรู้สึกขนลุกอยู่บ้าง
แต่ก็อย่างที่บอกไป...
“งั้นก็แล้วแต่คุณ”
เป็นอีกครั้งที่เกมส์ชำเลืองมองการแต่งกายของฉันซึ่งตัวเขาออกปากว่าโป๊จนอาจเป็นอันตราย ก่อนจะย้ายสายตาไปด้านหน้า ก้าวเท้าเดินตรงไปเปิดประตูแล้วยืนรออยู่ตรงนั้น
ดูเหมือนว่าสี่ปีที่ผ่านมานิสัยขี้บ่นของเด็กน้อยคนนี้จะยังคงอยู่ ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสินะ
ฉันเก็บความรู้สึกบางชนิดไว้ภายในใจอย่างเงียบงัน ก่อนย่างเท้าออกไปด้านนอกโดยมีเจ้าลูกหมาตัวยักษ์เดินตามหลังมาโดยไร้ปากเสียง
แต่ไม่นานนักฉันก็เป็นฝ่ายชะลอฝีเท้าลงเพื่อให้เขาที่เดินอย่างระมัดระวังเพราะบาดแผลยังคงสร้างความลำบากต่อการเคลื่อนไหวขยับมาอยู่ในระดับเดียวกันจนได้
คล้ายว่าเกมส์ก็เพิ่งจะรู้ตัวหลังพบว่าการเดินตามหลังต้อย ๆ เมื่อครู่...ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นการเดินเคียงข้างกันอย่างแนบเนียนซะแล้ว
เห็นดังนั้นเกมส์ที่อมพะนำมาตั้งแต่เมื่อกี้จึงเปิดปาก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เราทั้งสองหยุดยืนอยู่หน้าประตูลิฟต์พอดี “อะไร ๆ มันช้าไปหมดส่วนหนึ่งก็ต้องโทษคุณนะ เพราะแต่งตัวแบบนี้ออกไปข้างนอก ผมเลยต้องมาด้วยเนี่ย”
เด็กดื้อโบ้ยความผิดมาให้ฉันหน้าตาเฉย
“พี่ก็ห้ามเราแล้วไม่ใช่เหรอคะว่าไม่ต้องมา เกมส์อยากมาเองนะ”
“ก็มาเฝ้าคุณไง” เกมส์ย้ายสายตาที่ก่อนหน้านี้มองประตูลิฟต์มายังฉันอีกหน “ผมรอดตายก็เพราะคุณ จะปล่อยให้ผู้มีพระคุณออกไปข้างนอกในสภาพนี้ได้ไง”
กล่าวจบก็ใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มเหมือนหงุดหงิดที่ต้องทำแบบนี้แต่ก็ไม่มีทางเลือกมากนัก
จริง ๆ เลยนะเด็กคนนี้...
“อื้อ ขอบคุณค่ะ” ฉันกล่าวได้เพียงเท่านั้นประตูลิฟต์ก็เปิดออก
ตอนแรกเกมส์ตั้งใจเขยิบทางให้ฉันเข้าไปด้านในก่อน แต่ทันทีที่เห็นว่าในนั้นมีคนอยู่จำนวนหนึ่งซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชาย เขาจึงเปลี่ยนมาคว้าข้อมือฉันทันควันโดยไม่มีการไถ่ถามหรือส่งสัญญาณใด ๆ
ต่อมาก็พบว่าเกมส์จับจูงฉันเข้ามายืนตรงมุมสุดของลิฟต์ ซึ่งเป็นจุดที่ระยะห่างระหว่างตัวฉันและคนอื่น ๆ มีมากกว่าบริเวณอื่น ส่วนเกมส์นั้นหลังพบว่าเลขชั้นที่ต้องการมีคนกดแล้วก็ขยับมายืนอยู่ด้านหน้า หันมามองฉัน และหันหลังให้ทุกคน
ภายในพื้นที่จำกัดและระยะห่างชนิดที่ลมหายใจรดกัน ฉันและเขาแอบสบตากันเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไร
วูบหนึ่ง...นัยน์ตาคมกริบหลุบต่ำ มองเห็นสิ่งรบกวนใจจนคิ้วเข้มขมวดมุ่น ทว่าฉันยังไม่ทันได้มองตาม...มือหนาก็ยื่นมาขยับคอเสื้อฉันให้เข้าที่เข้าทาง ชัดแล้วว่าคอเสื้อที่กว้างจนเปิดไหล่และโชว์ร่องอกนั้นเป็นปัญหาใหญ่ เขาจึงทนต่อไปไม่ไหว
“เสื้อบางมาก ไม่หนาวไง?”
“ไม่นะ พี่ทนหนาวเก่งค่ะ”
“...”
“อีกอย่างเสื้อตัวนี้พี่เพิ่งซื้อมาใหม่ สวยไหม...”
พรึ่บ
“เอาเสื้อเกมส์ไปใส่ทับซะ”
“...”
“อากาศแบบนี้ไม่มีใครเค้าโชว์กันหรอก ปัญญาอ่อนฉิบ”
เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้ฉันหวนนึกถึงอดีต
ซึ่งมันทำให้ฉันรู้ว่า...ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เกมส์ก็ยังเป็นเกมส์คนเดิม
แม้ว่าฉันในตอนนั้น กับฉันในตอนนี้...จะเป็นคนละคนกันก็ตาม
End Describe.