บทที่2.3

2114 คำ
ยอมรับเลยว่าการเจอหน้าในรอบสี่ปีของเรา...การพบว่าเขาผู้เป็นรักแรกและรักเดียวเติบโตเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ ความใสซื่อบริสุทธิ์ในวันวานก็แทบจะเลือนหายไป มีความรู้สึกแปลกใหม่หลากหลายชนิดแทรกซึมเข้ามา และตอนนี้ฉันได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองว่า 'ต้องทำยังไงถึงจะได้เขามาไว้ในครอบครอง?' อย่างน้อย ๆ เกมส์ที่บรรลุนิติภาวะแล้วก็ทำให้ฉันรู้สึกบาปน้อยลง... อย่างน้อย ๆ การมองเกมส์เป็นผู้ชายคนหนึ่ง...ก็ไม่มีอุปสรรคทางด้านศีลธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว เมื่อเกมส์เงียบไปคล้ายนึกคำพูดไม่ออก ฉันจึงถือโอกาสดึงมือหนาออกจากปลายคางแล้วจัดการกับบาดแผลอย่างระมัดระวัง ระหว่างนั้นก็พูด “พี่ต้องพักที่พะงันอีกสองอาทิตย์ ช่วงใกล้กลับมี Full Moon Party พอดี อยู่จนกว่าจะถึงตอนนั้นเถอะนะคะ” “ดีแน่เหรอ” เกมส์นั่งนิ่ง “ถึงจะเด็กกว่าคุณ แต่ผมเป็นผู้ชาย” “...” “และผมก็โตแล้ว” คำบอกกล่าวนั้นฉุดสายตาฉันขึ้นมองกล้ามเนื้อหนั่นแน่นบนเรือนกายที่แทบทุกตารางนิ้วมีรองร่อยจากการถูกทำร้าย ซึ่งถึงแม้ว่าบาดแผลเหล่านั้นจะชวนหัวเสียไปบ้างเมื่อได้มอง แต่ก็นะ... ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าสัดส่วนของเกมส์ไปไกลกว่าคำว่าเด็กน้อยหลายขุม มีเพียงปีเกิดกับใบหน้าอ่อนเยาว์เท่านั้นที่เป็นเครื่องยืนยันว่าเขาเพิ่งจบม.ปลายมาได้ไม่กี่เดือน เด็กสมัยนี้เขากินเวย์โปรตีนแทนข้าวหรือยังไงนะ? “อื้อ พี่เห็นแล้วว่าเราโตขึ้นมาก” ฉันตอบและเห็นว่าเขาเผลอเกร็งกล้ามเนื้อ คงเพราะกะน้ำหนักมือผิดพลาดนั่นแหละ บาดแผลที่นับว่ายังสดใหม่จึงทำให้เจ้าตัวเจ็บจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ “แล้วทำไมยังอยากให้ผมอยู่กับคุณต่อ?” หลุดสูดปากด้วยความเจ็บปวดเพียงเล็กน้อยก็ถามต่อ “ไม่กลัวผมทำอะไรคุณเหรอ?” “ไม่นะ” เมื่อคืนก็นอนร่วมเตียงกัน กอดกัน แนบชิดกัน มีอะไรให้กลัวอีกเหรอคะ... “ผมชอบนอนละเมอด้วยนะ เมื่อคืนคุณก็น่าจะเห็น ถ้าเผลอกอด เผลอแตะเนื้อต้องตัว เผลอทำอันตรายโดยไม่ตั้งใจ จะไม่เป็นไรแน่?” เกมส์ยังคงรัวคำถามไม่หยุด ยิ่งถามมากเท่าไหร่ น้ำเสียงแหบห้วนยิ่งเจือความงุนงงมากยิ่งขึ้น คลับคล้ายคลับคลาว่า...จะมีความหวั่นกลัวแฝงอยู่ด้วย “...” ฉันส่ายหน้า พอดีกับที่จัดการบาดแผลเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนพบว่าเกมส์กำลังหรี่ตาพิจารณาฉันอย่างถี่ถ้วน เมื่อกี้...เกมส์ถามเรื่องความสัมพันธ์ของเรา ซึ่งฉันก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาจนเขาหายข้องใจแล้ว น่าจะพอรู้สิว่าทำไมถึงยังอยากให้เขาอยู่ที่นี่ต่อ “ตอนนี้ผมไม่มีเงินสักแดงเดียว โคตรจนเลย มั่นใจเหรอว่าของมีค่าของคุณจะไม่ถูกผมขโมยไปขาย?” เฮ้อ ถามเยอะจริงเชียว ไป ๆ มา ๆ เหมือนเราสองคนกำลังสลับบทบาทกันเลยนะ “เราอยากได้เท่าไหร่ล่ะคะ เดี๋ยวพี่จัดการให้” เพราะเหนื่อยจะตอบแล้ว บวกกับเอ็นดูปนสงสารที่เขาไม่มีเงินใช้สักบาทฉันจึงถามกลับพร้อมทั้งล้วงโทรศัพท์ขึ้นมา เตรียมไลน์บอกดีนให้จัดการเรื่องนี้โดยด่วน ทว่า...หมับ... “คุณแม่ง...โคตรพิลึก” เกมส์น่ะใช้มือซ้ายเบรกปลายนิ้วที่กำลังกดเข้าแอปฯ ไลน์ไว้ ขณะนั้นริมฝีปากหยักบางติดคล้ำก็พึมพำหยาบคาย ทว่ากลับไม่รู้สึกเหมือนกำลังถูกด่าแต่อย่างใด “เอาเหอะ...” ถอนหายใจคล้ายคร้านจะถามแล้วก็ละมือออกจากปลายนิ้วฉันในที่สุด ก่อนหยัดตัวขึ้นยืน...บิดขี้เกียจอย่างระมัดระวัง ที่จริงไม่มีอะไรให้ต้องคิดเยอะเลย ในเมื่อเขามีแต่ได้กับได้ อยู่ฟรี กินฟรี มีคนดูแลอย่างใกล้ชิด ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำเลยนะ “...” ฉันเงยหน้ามองเกมส์ที่ยืนขึ้นเต็มความสูง รอดูว่าเขาจะพูดอะไรต่อ ซึ่งไม่นานนักเขาก็หันกลับมาประจันหน้าฉันอีกรอบในระยะห่างไม่มากไม่น้อย สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด “ระหว่างอยู่ที่นี่ ผมจะค่อย ๆ นึกและพยายามจำคุณให้ได้ละกัน” “...” “แต่ถ้าพยายามแล้วยังจำไม่ได้...” เว้นช่วงแล้วกล่าวต่อ “จบสองอาทิตย์...แยกย้ายนะครับ” เพื่อไม่ให้เกมส์รู้สึกว่าฉันดูพยายามผูกมัดอย่างโจ่งแจ้งจนเกินไป และเพื่อเว้นช่องว่างให้เขาได้ตัดสินใจบ้าง ฉันจึงไม่ปฏิเสธและยอมรับข้อเสนอนั้นโดยไม่อิดออด แม้ฉันอยากให้เขาอยู่นานกว่านั้น แต่ก็จะไม่มีการข่มขู่ ไม่มีบีบบังคับใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยยันจบออกมา ด้วยประสบการณ์ที่ผู้ชายมากหน้าหลายตาเข้ามาข้องแวะและสานสัมพันธ์ในเชิงชู้สาว...แม้ไม่พัฒนาไปไกลถึงขั้นเลื่อนสถานะหรือเปลื้องผ้าขึ้นเตียง ทว่าจากการพูดคุย ทำความรู้จักและเฝ้าสังเกตพฤติกรรมอย่างใกล้ชิดก็เพียงพอให้ฉันได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่เพศตรงข้ามชอบประมาณหนึ่ง ก็ไม่ใช่ทุกคนหรอก... แต่ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็คงเกินครึ่ง ส่วนเกมส์ เขาไม่ใช่เด็กซื่อบื้อหรืออินโนเซ้นส์จนขาวสะอาด ออกจะเถรตรงจนเดาทิศทางของการกระทำและอารมณ์ได้ง่าย แต่...ที่กล่าวมาทั้งหมดคือตัวตนในอดีตของเขานะ มนุษย์ทุกคนเมื่อเติบโตขึ้น ลักษณะนิสัยบางส่วนล้วนต้องเปลี่ยนไป ซึ่งจากระยะเวลาหลายชั่วโมงที่เขาอยู่ที่นี่ นอกจากด้านกายภาพและเสียงแตกหนุ่มแล้ว ฉันยังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงทางนิสัยมากนัก ฉะนั้นสองอาทิตย์นับจากนี้คงต้องดูกันต่อไปว่ามีอะไรในตัวเกมส์ที่ฉันยังไม่รู้อีกบ้าง แล้ว...หลังจากนั้นล่ะ? ฉันจะทำอะไรต่อ? ขอยังไม่บอกนะคะ รู้แค่ว่าฉันจะไม่ทำให้มันเสียเปล่า หนึ่งวันต่อมานับตั้งแต่เกมส์ขอเวลาสองอาทิตย์ในการรื้อฟื้นความทรงจำที่ขาดหายไป ฉันตั้งใจว่าจะออกไปซื้อเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นสำหรับผู้ชาย เพราะชุดที่เขาสวมอยู่ตอนนี้เป็นของบอดี้การ์ดที่ฉันยืมมาชั่วคราว ความจริงฉันสามารถให้คนจัดการข้าวของเครื่องใช้ได้ตั้งแต่วันแรก แต่ที่ไม่ทำเพราะชายฉกรรจ์พวกนั้นไม่ละเอียดอ่อนในเรื่องพวกนี้มากพอน่ะสิ สักแต่จะหยิบมาลูกเดียว อีกนัยหนึ่งคือฉันอยากออกไปเลือกด้วยตัวเองน่ะ หลังแต่งองทรงเครื่องเรียบร้อยแล้วก็เตรียมออกจากห้อง แต่มีเรื่องให้ต้องหยุดฝีเท้าตั้งแต่ยังไม่ทันพ้นรัศมีโต๊ะเครื่องแป้ง เหตุเพราะอยู่ดี ๆ เกมส์ก็ขอไปด้วย... “ยังไม่หายดีเลยค่ะ” ด้วยสภาพร่างกายที่ยังไม่เหมาะแก่การเคลื่อนไหว ฉันจึงห้ามปรามเขาไป แต่... “คุณบอกว่าจะไปคนเดียว ไม่ให้บอดี้การ์ดไปด้วย” เกมส์ที่อยู่ในเสื้อเชิ้ตสีดำปลดกระดุมสองเม็ดกับกางเกงผ้าสี่ส่วน เดินเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงมาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ ฉันพร้อมหาวหวอด ๆ “แต่งตัวแบบนี้อีก ไปคนเดียวไม่ดีแน่” ว่าพลางหลุบมองการแต่งกายของฉันด้วยสายตาค่อนไปทางหน่าย แต่เพราะไม่มีสิทธิ์อะไรในฐานะคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันเพียงหนึ่งวันกว่า ๆ เขาจึงไม่กล้าพูดมาก “ไม่ดียังไงคะ?” ฉันถาม อันที่จริงฉันเป็นคนชอบแต่งตัวและไม่มีสไตล์ที่แน่นอน บางวันอยากเว่อร์วัง บางวันอยากเบาสบาย บางวันก็โชว์ไหล่โชว์หลัง ฉันมองว่าเป็นเรื่องของแฟชั่น...จึงไม่ได้คิดว่าเป็นปัญหาอะไร อีกอย่างช่วงกลางวันของที่นี่ก็ร้อนมาก ชาวต่างชาติใส่บิกินี่เดินว่อนไปทั่วยังไม่เห็นจะเป็นอะไร My body is my choice ค่ะ “นี่” เกมส์ขมวดคิ้ว “คุณอายุเท่าไหร่แล้ว? ยังต้องให้เด็กอย่างผมบอกอีกเหรอว่ามันโคตรโป๊?” “...” ฉันยืนนิ่ง ขณะนั้นมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา ทำไมตอนเขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวด...มันถึงได้กร๊าวใจขนาดนี้นะ? “เป็นผู้หญิงก็หัดระวัง ๆ ตัวหน่อยดิคุณ” “วันนี้พี่ตั้งใจจะใส่ชุดนี้อยู่แล้วค่ะ คงไม่เปลี่ยนแล้ว” ถึงแม้การแสดงออกทางสีหน้าและน้ำเสียงกดต่ำของเกมส์จะชี้ชัดว่ากำลังตำหนิติเตียน และถึงแม้ว่าแววตาของเขาจะมีไอคุกรุ่นให้เห็นอย่างเจือจางจนรู้สึกขนลุกอยู่บ้าง แต่ก็อย่างที่บอกไป... “งั้นก็แล้วแต่คุณ” เป็นอีกครั้งที่เกมส์ชำเลืองมองการแต่งกายของฉันซึ่งตัวเขาออกปากว่าโป๊จนอาจเป็นอันตราย ก่อนจะย้ายสายตาไปด้านหน้า ก้าวเท้าเดินตรงไปเปิดประตูแล้วยืนรออยู่ตรงนั้น ดูเหมือนว่าสี่ปีที่ผ่านมานิสัยขี้บ่นของเด็กน้อยคนนี้จะยังคงอยู่ ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสินะ ฉันเก็บความรู้สึกบางชนิดไว้ภายในใจอย่างเงียบงัน ก่อนย่างเท้าออกไปด้านนอกโดยมีเจ้าลูกหมาตัวยักษ์เดินตามหลังมาโดยไร้ปากเสียง แต่ไม่นานนักฉันก็เป็นฝ่ายชะลอฝีเท้าลงเพื่อให้เขาที่เดินอย่างระมัดระวังเพราะบาดแผลยังคงสร้างความลำบากต่อการเคลื่อนไหวขยับมาอยู่ในระดับเดียวกันจนได้ คล้ายว่าเกมส์ก็เพิ่งจะรู้ตัวหลังพบว่าการเดินตามหลังต้อย ๆ เมื่อครู่...ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นการเดินเคียงข้างกันอย่างแนบเนียนซะแล้ว เห็นดังนั้นเกมส์ที่อมพะนำมาตั้งแต่เมื่อกี้จึงเปิดปาก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เราทั้งสองหยุดยืนอยู่หน้าประตูลิฟต์พอดี “อะไร ๆ มันช้าไปหมดส่วนหนึ่งก็ต้องโทษคุณนะ เพราะแต่งตัวแบบนี้ออกไปข้างนอก ผมเลยต้องมาด้วยเนี่ย” เด็กดื้อโบ้ยความผิดมาให้ฉันหน้าตาเฉย “พี่ก็ห้ามเราแล้วไม่ใช่เหรอคะว่าไม่ต้องมา เกมส์อยากมาเองนะ” “ก็มาเฝ้าคุณไง” เกมส์ย้ายสายตาที่ก่อนหน้านี้มองประตูลิฟต์มายังฉันอีกหน “ผมรอดตายก็เพราะคุณ จะปล่อยให้ผู้มีพระคุณออกไปข้างนอกในสภาพนี้ได้ไง” กล่าวจบก็ใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มเหมือนหงุดหงิดที่ต้องทำแบบนี้แต่ก็ไม่มีทางเลือกมากนัก จริง ๆ เลยนะเด็กคนนี้... “อื้อ ขอบคุณค่ะ” ฉันกล่าวได้เพียงเท่านั้นประตูลิฟต์ก็เปิดออก ตอนแรกเกมส์ตั้งใจเขยิบทางให้ฉันเข้าไปด้านในก่อน แต่ทันทีที่เห็นว่าในนั้นมีคนอยู่จำนวนหนึ่งซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชาย เขาจึงเปลี่ยนมาคว้าข้อมือฉันทันควันโดยไม่มีการไถ่ถามหรือส่งสัญญาณใด ๆ ต่อมาก็พบว่าเกมส์จับจูงฉันเข้ามายืนตรงมุมสุดของลิฟต์ ซึ่งเป็นจุดที่ระยะห่างระหว่างตัวฉันและคนอื่น ๆ มีมากกว่าบริเวณอื่น ส่วนเกมส์นั้นหลังพบว่าเลขชั้นที่ต้องการมีคนกดแล้วก็ขยับมายืนอยู่ด้านหน้า หันมามองฉัน และหันหลังให้ทุกคน ภายในพื้นที่จำกัดและระยะห่างชนิดที่ลมหายใจรดกัน ฉันและเขาแอบสบตากันเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไร วูบหนึ่ง...นัยน์ตาคมกริบหลุบต่ำ มองเห็นสิ่งรบกวนใจจนคิ้วเข้มขมวดมุ่น ทว่าฉันยังไม่ทันได้มองตาม...มือหนาก็ยื่นมาขยับคอเสื้อฉันให้เข้าที่เข้าทาง ชัดแล้วว่าคอเสื้อที่กว้างจนเปิดไหล่และโชว์ร่องอกนั้นเป็นปัญหาใหญ่ เขาจึงทนต่อไปไม่ไหว “เสื้อบางมาก ไม่หนาวไง?” “ไม่นะ พี่ทนหนาวเก่งค่ะ” “...” “อีกอย่างเสื้อตัวนี้พี่เพิ่งซื้อมาใหม่ สวยไหม...” พรึ่บ “เอาเสื้อเกมส์ไปใส่ทับซะ” “...” “อากาศแบบนี้ไม่มีใครเค้าโชว์กันหรอก ปัญญาอ่อนฉิบ” เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้ฉันหวนนึกถึงอดีต ซึ่งมันทำให้ฉันรู้ว่า...ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เกมส์ก็ยังเป็นเกมส์คนเดิม แม้ว่าฉันในตอนนั้น กับฉันในตอนนี้...จะเป็นคนละคนกันก็ตาม End Describe.
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม