เพราะเกมส์เอาแต่ละเมอและพึมพำไม่หยุด...กว่าจะหลับได้เต็มตาจึงปาไปเกือบตีสอง ทว่าถึงจะนอนดึกมากแค่ไหนฉันก็ยังเคยชินกับการตื่นเช้าอยู่ดี แม้อ่อนเพลียและเหนื่อยล้าบ้างในบางที ทว่าก็ไม่เคยเกินหกโมงครึ่งสักครั้ง
นาฬิกาชีวิตของฉันถูกกำหนดตายตัวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
คงเพราะท่ามกลางญาติพี่น้องวัยไล่เลี่ยกัน...ฉันเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวของตระกูลที่ดูจะพึ่งพาได้มากที่สุด ผู้หลักผู้ใหญ่จึงคอยปลูกฝังฉันให้เป็นกุลสตรี รู้คุณค่าของเวลา อยู่ในกฎในกรอบ ทำอาหาร เย็บปักถักร้อย เรียนดี กิจกรรมเริด โดดเด่นในทุกด้าน
การบ่มเพาะของพวกท่านตลอดระยะเวลายี่สิบสามปีที่ผ่านมา ทำให้ในสายตาใครต่อใครฉันคือเพอร์เฟกต์เกิร์ล คือแบบอย่างที่ดีของผู้ที่พบเห็น
แต่หารู้ไม่...
แม้ฉันจะถูกสั่งสอนอย่างเข้มงวด (มากเกินไป) จนทำได้แทบทุกอย่าง แต่ภาพลักษณ์ที่ดูเรียบร้อย วางตัวดี หวานใสและน่าทะนุถนอมจนผู้ชายทุกคนพร้อมปรี่เข้ามาปกป้อง ทั้งหมดเป็นแค่เปลือกนอกเท่านั้น
ฉันเองก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าตัวตนที่แท้จริงของตัวเองเป็นยังไง
แค่...ไม่ชอบกับสิ่งที่เป็น
แค่...รู้สึกว่าการยัดเยียดของครอบครัวมันกำลังกลืนกินความเป็นฉันไปทีละนิด ๆ
นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้มีปากเสียงกับพ่อและคุณย่า
จนสุดท้าย...ฉันที่เหนื่อยจะต่อล้อต่อเถียงจึงหนีมาเที่ยวเกาะพะงันพร้อมบอดี้การ์ดอีกห้าคน
ห้าคนนี้อายุไล่เลี่ยกัน สำหรับฉันแล้วพวกเขาเป็นทั้งเพื่อนและพี่ชายที่พึ่งพาได้ แต่บางครั้งก็ทำตัวน่าหงุดหงิดจนต้องทำโทษด้วยความเกรี้ยวกราดอยู่บ่อย ๆ
เอาเถอะ...
เหลือบมองนาฬิกาแล้วพบว่าตอนนี้เพิ่งหกโมงเช้าก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจให้กับความเคยชินอันน่าเบื่อ
ครึ่งนาทีให้หลังถึงค่อยลากสายตากลับมามองเด็กน้อยบนเตียงซึ่งตอนนี้กำลังหลับปุ๋ยอยู่ในท่าตะแคงซ้าย มือข้างหนึ่งพาดอยู่บนหมอนฉัน
ที่เกมส์บอกว่านอนดิ้นน่ะเป็นความจริงทุกประการ แต่ดิ้นขลุกขลักเพียงสองสามทีก็สงบลง
เกมส์อาจไม่รู้ตัวว่าหลังจากถูกกอด...มันเป็นตัวเขาเองที่ขยับเข้ามาแนบชิดฉันราวกับโหยหา
“อือ...” จ้องได้ไม่ทันไรคนตัวโตก็ส่งเสียงงึมงำ ขมวดคิ้วและเริ่มขยับตัว
ฉันไม่แม้แต่จะยื่นมือไปสัมผัสเพราะกลัวทำเขาตื่นจากการพักผ่อน ทว่าไม่ถึงหนึ่งนาที...เด็กน้อยสภาพยับเยินกลับเปิดเปลือกตาขึ้น อาการงัวเงียทำให้เขาหาวหวอด ๆ โดยไม่ปิดปาก “มองอะไรครับ...ฮ้าวว”
ถามไปหาวไป ไม่มีการรักษาภาพพจน์ใด ๆ ทั้งสิ้น
“มองเฉย ๆ ค่ะ ไม่ได้กวน” ตอบพลางดึงผ้าห่มที่ร่นต่ำขึ้นมาคลุมถึงอกเขา “นอนต่อเลย เดี๋ยวมาปลุกตอนกินข้าวนะ”
“...” เกมส์เงียบไป นัยน์ตาคมกริบเคลื่อนไหวอย่างเงียบงันตามฝ่ามือฉันที่กำลังจัดแจงผ้าห่มบนตัวเขา ทว่าก็ทำเพียงมอง...ไม่ได้พูดอะไรต่อ
เรียบร้อยแล้วฉันจึงปลีกตัวมาเข้าห้องน้ำ แต่สองนาทีหลังจากนั้นกลับได้ยินเสียงคล้ายคนโวยวาย “เฮ้ย! ทำไมผมมานอนฝั่งคุณได้เนี่ย!”
“...”
“กลิ้งมาถึงนี่เลยเหรอวะ” ประโยคต่อมาแผ่วเบาราวกับเป็นการกระซิบ เป็นจังหวะเดียวกันที่ฉันเดินคาบแปรงสีฟันมายืนตรงปลายเตียงพอดีจึงได้ยินทุกถ้อยคำ และพบว่าเขานั้นลุกขึ้นนั่งในสภาพหัวยุ่งฟู “ผมเผลอถีบคุณตกเตียงหรือเปล่า? เมื่อคืนฝันร้ายด้วย คงไม่ได้ต่อยหน้าคุณหรอกนะ”
ไม่รีรอ เจ้าลูกหมารัวเสียงถามพร้อมพิจารณาฉันตั้งแต่ศีรษะจดเท้า
"..." ฉันส่ายหน้า
ไม่มีความรุนแรง ไม่มีอะไรเลยค่ะ
แค่...
หลังจากขยับเข้าไปกอด เกมส์ที่ดูชอบอกชอบใจตอบรับการกระทำของฉันด้วยการขยับมาแนบชิด
เขาซุกหน้าลงบนอกฉัน ปลายจมูกโด่งสัมผัสโดนเนินเนื้ออ่อนนุ่มซึ่งโผล่พ้นคอเสื้ออย่างหมิ่นเหม่ ปฏิกิริยาพึงใจของเจ้าเด็กคนนั้นเกิดขึ้นพร้อมเสียงสูดดม ก่อนจะพึมพำอย่างเคลิบเคลิ้มว่า ‘หอมชะมัด’ และ ‘โคตรนิ่ม’
ยอมรับว่าแม้สถานการณ์จะชวนประดักประเดิดอยู่บ้าง แต่ฉันกลับปล่อยให้ส่วนที่อ่อนนุ่มที่สุดของร่างกายเป็นสมบัติในครอบครองของเขาตลอดทั้งคืน
อยากซุกเหรอ ได้
อยากดมเหรอ ได้
หากชอบ คืนต่อ ๆ ไปอยากทำอีกก็ไม่ว่าหรอกนะ
สำหรับเด็กคนนี้ ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องเอียงอาย
เชื่อเถอะ ถ้าไม่ติดว่าเกมส์ยังจำพี่สาวคนนี้ไม่ได้...คนไร้ยางอายอย่างฉันคงละทิ้งความยับยั้งชั่งใจและเผลอลวนลามเด็กน้อยที่เพิ่งบรรลุนิติภาวะได้ไม่นานเข้าแน่ ๆ
“แน่ใจนะ?” พิจารณาฉันอยู่ครู่หนึ่งเกมส์ก็ทวนถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ฉันจึงพยักหน้าสำทับให้เขาวางใจว่าเมื่อคืนไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นจริง ๆ “แล้วเออ...ผมไม่ได้แอบถึงเนื้อถึงตัวคุณใช่ไหม?”
เมื่อประเด็นนี้เคลียร์แล้ว ฉันคิดว่าเขาคงไม่ถามอะไรต่อ
ทว่าไม่ถึงสามวินาที...ยังไม่ทันที่ฉันจะได้เคลื่อนไหวหรือจัดการล้างหน้าแปรงฟันให้เสร็จสิ้น เด็กน้อยหัวยุ่งฟูก็เปิดประเด็นใหม่...คล้ายรับรู้ได้กราย ๆ ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น เพียงแต่ไม่มั่นใจก็เท่านั้น “คือผมรู้สึกเหมือนได้กอดใครสักคน”
แนบชิดกันขนาดนั้น...ไม่รู้สึกสิแปลก
“...”
“ใช่คุณหรือเปล่า?” คราวนี้น้ำเสียงของไอ้ลูกหมาตัวยักษ์จริงจัง แต่ก็แฝงความกังวลในระดับหนึ่ง
ก๊อก ๆ!
“คุณหนูครับ” ฉันกำลังจะตอบว่า ‘ใช่ค่ะ เมื่อคืนเรากอดกัน’ แต่ประตูห้องที่ดังขึ้นพร้อมเสียงเรียกคุ้นหูกลับแทรกได้ทันเวลา ทั้งฉันทั้งเกมส์จึงหันไปยังทิศทางของเสียง “ที่ให้ตามสืบ ตอนนี้เรียบร้อยแล้วนะครับ”
ยอมรับว่าตอนแรกรู้สึกหงุดหงิดที่หนึ่งในบอดี้การ์ดมาขัดจังหวะคุย แต่ทันทีที่ได้ยินคีย์เวิร์ดสำคัญในประโยคนั้น อาการหัวเสียที่มีก็เลือนหายไปจนหมดสิ้น ก่อนถูกความรู้สึกอื่นแทรกเข้ามาแทนที่
เรียบร้อยแล้วสินะ
ดี...
ฉันยกมุมปากขึ้นโดยที่เกมส์ไม่ทันได้สังเกตเห็น ก่อนรีบจัดการตัวเองให้เสร็จโดยเร็ว