"ทำอะไร?" คำถามของพี่ควีนนั้นดู ๆ แล้วแสนจะธรรมดา แต่ไม่รู้ดิ...
"ผู้ชายคนนี้พยายามจะหนีครับคุณหนู ผมเลย..." ไอ้ดีนอธิบาย
"บอกแล้วใช่ไหมว่าห้ามแตะต้องเด็กคนนี้"
"..."
"...อยากโดนทำโทษเหรอคะ?"
End Describe.
Queen Describe
กล่าวจบก็เป็นฉันเองที่ประคองให้เกมส์ลุกขึ้นยืน ก่อนพาเขากลับเข้าห้องโดยไม่เหลียวหลังมองดีน ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในบอดี้การ์ดคนสนิทที่รู้จักกันมาตั้งแต่วัยเยาว์
เขาละเมิดกฎและทำให้เด็กคนนี้บาดเจ็บ ไม่สั่งให้เอาปากกระบอกปืนยัดปากตัวเองก็บุญโขแล้ว
“นี่คุณ” ครั้นเมื่อกลับเข้ามาในห้องพัก เกมส์ที่เพิ่งทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงก็ส่งเสียง ตั้งแต่วินาทีแรกที่ฟื้นขึ้นมาจากความตาย นัยน์ตาคมกริบคู่นั้นปรากฏคำถามตลอดเวลา โดยเฉพาะเรื่องของฉัน...ที่เขาดูจะสงสัยใคร่รู้และอยากได้รับคำตอบเป็นพิเศษ
เป็นความจริงที่ว่าเราเคยเจอกันมาก่อน แต่ก็นานมาแล้ว นานมาก...
ก็ไม่แปลกหรอก มันมีหลายปัจจัยที่ทำให้ฉันเลือนหายไปจากความทรงจำของเขา
“คะ?” ฉันตรวจเช็กสายน้ำเกลือและขานรับโดยไม่ได้หันหน้ากลับไปมองเจ้าของเสียงแหบทุ้ม...ซึ่งถ้าหากคนอื่นได้ยินเพียงเสียงแต่ไม่เห็นหน้า คงคิดว่าต้องเป็นผู้ชายที่โตแล้ว ทว่าในความเป็นจริงนี่เป็นเสียงของเด็กที่เพิ่งจบม.หกเท่านั้น
“ผมมีเรื่องสงสัยโคตรเยอะ เล่าให้ฟังเหอะ” ฉันจำต้องเคลื่อนสายตากลับไปมองเพราะรับรู้ได้ถึงความหัวเสียเล็ก ๆ จากน้ำเสียงที่ค่อนข้างห้วนสั้นเป็นเอกลักษณ์นั่น “...ได้ไหม?”
ประโยคต่อมาที่ถึงแม้จะแข็งทื่อไปสักหน่อย ทว่าเจือความออดอ้อนในถ้อยคำทำเอาฉันต้องพรูลมหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้
“เพราะเรายังเจ็บอยู่และจำเป็นต้องพักผ่อน ฉะนั้นพี่ให้ได้วันละคำถามเท่านั้นนะ” ว่าแล้วก็ทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ เขา...โดยมีระยะห่างแค่ไม่กี่เซนติเมตรคั่นกลาง
“พูดเหมือนผมต้องอยู่กับคุณไปอีกหลายวัน” เกมส์ขมวดคิ้ว
“...” นั่นสินะ เกมส์จะรู้ไหมว่าฉันรอมานานแค่ไหน
ในเมื่อความบังเอิญครั้งนี้พาเขากลับเข้ามาในชีวิตฉันอีกครั้ง เหตุผลที่ต้องปล่อยมือจึงถูกปัดทิ้งไป
และเป็นตายร้ายดียังไงฉันก็จะไม่ยอมเสียเขาไปอีก
“เอาเหอะ ก็ถ้าให้ได้แค่อย่างเดียว...” เมื่อเห็นว่าฉันเงียบไปเกมส์จึงยักไหล่หนึ่งที ห้าวินาทีให้หลังก็ปริปาก “วันนี้ไม่ถามอะไรละกัน ผมขอเปลี่ยนมายืมมือถือคุณดีกว่า ได้ไหม?”
“...”
“คือตอนนี้ไม่มีเงินสักบาทอะ โทรศัพท์ก็น่าจะหายตอนตกน้ำ ผมเลยอยากขอยืมของคุณติดต่อเพื่อนหน่อย”
“ได้ค่ะ” ฉันล้วงมันออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุม จัดการปลดล็อกเสร็จสรรพแล้วยื่นให้เด็กน้อยอย่างไม่อิดออด
“ขอบคุณครับ” กล่าวขอบคุณจบก็รับไปถือไว้ กดเบอร์ยิก ๆ อยู่สองสามรอบเพราะไม่มั่นใจว่าถูกหรือเปล่า กระทั่งครั้งที่สี่...เสียงสัญญาณจากปลายสายดังขึ้น ทว่ารอแล้วรอเล่า... “ไอ้สัดปกร สัดหมา ไม่รับโทรศัพท์กู”
“...”
สัดปกร? นั่นชื่อคนเหรอ?
“แม่ง” ในขณะที่ฉันงุนงงกับชื่อสุดแสนจะแปลกประหลาด เกมส์ที่หัวเสียเพราะเพื่อนไม่รับสายก็สบถหยาบคายออกมาอีกคำ มือข้างที่ว่างยกขึ้นยีเรือนผมสีดำสนิทจนยุ่งฟู
“ดึกขนาดนี้ เพื่อนอาจจะเข้านอนแล้วก็ได้” ฉันสันนิษฐานไปตามความน่าจะเป็น ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันที่เกมส์ยอมส่งโทรศัพท์คืนโดยที่ใบหน้ายังยับยุ่งเหมือนเด็กน้อยถูกขัดใจ
นอกจากน้ำเสียงแหบทุ้ม นอกจากรูปร่างสูงใหญ่และกล้ามเนื้อหนั่นแน่นเกินวัย ก็มีเพียงใบหน้าเท่านั้นแหละที่ดูอ่อนเยาว์สมอายุ ดังนั้นตอนที่เจ้าตัวขมวดคิ้วมุ่น ปากเบ้คว่ำ สำหรับฉันจึงดูไม่มีความน่าเกรงขามเลย
“ปกติมันนอกดึกจะตายชัก” เกมส์แก้ต่าง
“อาจเพราะเป็นเบอร์แปลกไงคะ” ส่วนฉันนั้นยังหาเหตุผลมารองรับ คนหัวเสียจึงชะงักแล้วพึมพำ 'เออว่ะ เป็นไปได้' แผ่ว ๆ คล้ายเห็นด้วยกับเหตุผลข้อนี้ “พรุ่งนี้ค่อยติดต่อไปใหม่นะ”
“อือ...ครับ”
หลังจากนั้นไม่นานอาหารที่สั่งไว้ก็มาส่ง ตอนแรกฉันตั้งใจจะป้อนเพราะเห็นว่าฝ่ามือเขามีบาดแผลและรอยถลอกปอกเปิกมากมาย แต่เกมส์ที่แสดงท่าทีอึดอัดเล็กน้อยออกตัวว่าจะจัดการเองฉันจึงไม่เซ้าซี้
ถึงแม้ว่าเกมส์จะยังคงความเป็นธรรมชาติ ไม่แสดงท่าทีต่อต้านหรือหวาดระแวงจนเกินเหตุ แต่เขาก็ไม่ได้ตายใจกับผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนแปลกหน้า ดังนั้นทุก ๆ สองถึงสามนาที ฉันจึงสังเกตเห็นการเฝ้าระวังผ่านการแอบมอง
ไม่แปลกหรอก หากเป็นคนอื่นคงตื่นตระหนกและทำตัวไม่ถูก แต่สำหรับเกมส์ซึ่งเป็นเพียงเด็กอายุ 18 ถูกทำร้ายจนปางตาย ตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองอยู่ในห้องใครก็ไม่รู้ ดีหรือเลว ไว้ใจได้หรือไม่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ซ้ำยังโดนบอดี้การ์ดตัวใหญ่ยักษ์ข่มขู่ด้วยปืนสั้นระยะเผาขน...ต่อให้สภาพร่างกายตอนนี้อ่อนแอเกินกว่าจะประมือกับใครได้ เขากลับไม่มีท่าทีหวั่นเกรง ติดจะใจเย็นซะด้วยซ้ำ
...ทั้งที่จริง ๆ แล้วเกมส์หัวแข็ง ดื้อรั้น และมีความเลือดร้อนประมาณหนึ่งแท้ ๆ
เอาเถอะ
“ขอบคุณที่ช่วยผมไว้นะ แต่เดี๋ยวคืนนี้ผมจะนอนที่โซฟา คุณนอนในที่ของคุณละกัน”
หลังจากกินข้าวกินยาเสร็จ เด็กน้อยพยุงร่างกายอันบอบช้ำพร้อมสายน้ำเกลือไปยังจุดที่มีโซฟาขนาดกลาง ซึ่งถ้าเทียบกับขนาดตัวและความสูงเกินวัยของเขาแล้ว บอกตามตรงว่าโซฟาน่ะดูกะทัดรัดไปเลย
“ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันกล่าวอย่างไม่ถือสา เตียงเป็นขนาดคิงไซซ์ พื้นที่เหลือเฟือ “นอนบนนี้สบายกว่า พี่ไม่ว่า”
“แล้วคุณจะนอนไหน?”
“บนเตียงค่ะ”
ถึงจะเหมาชั้นนี้ทั้งชั้นเพราะต้องการความเป็นส่วนตัว บางส่วนเป็นของบอดี้การ์ด และถึงแม้ว่าบางส่วน...ฉันจงใจปล่อยว่าง แต่ก็ไม่มีห้องไหนโดนใจฉันเท่าห้องนี้
“คุณนี่แปลกฉิบ”
จากที่สองเท้ากำลังมุ่งตรงไปยังโซฟา ได้หยุดเคลื่อนไหวแล้วหันกลับมามองฉัน เขาไม่ได้เดินเข้ามา เพียงขมวดคิ้ว มองด้วยสายตาหลากหลายชนิด “นอกจากชื่อของคุณ...ผมไม่รู้อะไรอีกเลย”
“...”
“จะให้ผมนอนเตียงเดียวกับคุณได้ไง”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย” ฉันที่ยืนอยู่ชิดขอบเตียงเอี้ยวหน้ากลับไปสำรวจความกว้างขวางซึ่งเพียงพอให้คนสองคนนอนโดยไม่รู้สึกอึดอัด เว้นเสียแต่ว่าเกมส์จะนอนดิ้นและกลิ้งมาทับฉันเข้า แบบนั้นไม่ใช่แค่อึดอัด แต่คงหนักด้วย
“ผมเป็นผู้ชาย ส่วนคุณเป็นผู้หญิงนะ” เกมส์ยังหาเหตุผลมาโต้แย้ง
คำพูดคำจาและการแสดงออกทางกายภาพของเกมส์แม้จะมีส่วนที่ดูแข็งกระด้างไปบ้าง แต่ลึก ๆ แล้วก็ไม่ใช่คนเลวร้าย อย่างน้อยก็ยังรู้จักให้เกียรติคนอื่น
ฉันรู้ เด็กคนนี้เป็นประเภทแข็งนอกอ่อนใน
“ถ้าพี่ไม่ถือ เราก็ไม่ต้องคิดเยอะค่ะ มานอนได้แล้ว”
ไม่พูดปากเปล่า ยังเดินเข้าไปหาเจ้าเด็กตัวโตที่ตอนนี้แทบไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแล้ว ขนาดฉันที่ตัวเล็กกว่าเป็นเท่าตัว...ออกแรงดึงเพียงนิดเดียวเขายังยื้อตัวเองไว้ไม่ไหว
ฉะนั้น...เด็กน้อย
เลิกดื้อได้แล้วค่ะ
“ผมนอนดิ้นนะคุณ” เพราะทัดทานไม่ได้ เกมส์ที่ถูกดึงมาถึงเตียงก็โพล่งบอกคล้ายว่าอยากเตือน “ถ้าผมถีบคุณตกเตียงขึ้นมา...จะมาโทษกันไม่ได้นะ”
“ค่ะ ไม่เป็นไร” ฉันตอบรับอย่างไม่คิดมาก ส่งผลให้เกมส์ที่พยายามปฏิเสธด้วยการหาเหตุผลร้อยแปดพันเก้ามารองรับยอมปิดปากเงียบในที่สุด “ดึกแล้ว”
ฉันจัดแจงให้เกมส์นอนฝั่งขวา ส่วนตัวเองนอนด้านซ้าย
และ...แอบแบ่งพื้นที่ให้เขามากกว่าที่ควรจะเป็น
“คุณ” หลังจากปล่อยให้ความมืดโรยตัวปกคลุมห้องได้ไม่นาน เกมส์ที่เหมือนมีเรื่องอยากคุยก็หลุดปากเรียกฉันด้วยสรรพนามสุภาพ
“คะ?”
“คือผมยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรหรอกนะ ไม่รู้ด้วยว่าคุณไว้ใจได้มากแค่ไหน มาดีหรือมาร้าย มีจุดประสงค์อะไรหรือเปล่า แต่ยอมให้ที่ซุกหัวนอนชั่วคราว ให้หมอมาทำแผล ให้ข้าวให้น้ำ ยังไงก็ต้องขอบคุณ ที่จริงผมควรจะตายไปแล้วด้วยซ้ำ”
จบประโยคยาวเหยียดนั่น ฉันถึงกับต้องเอียงหน้าไปมองเงาสูงใหญ่ที่นอนอยู่เคียงข้าง อาจเพราะสามารถปรับสายตากับความมืดได้แล้ว ฉันจึงเห็นราง ๆ ว่าเกมส์นั้นกำลังมองเพดานห้อง
ไม่เลย นี่เป็นสิ่งที่ฉันควรทำ เพราะในครั้งอดีต...เขาเองก็เคยทำเพื่อฉันเหมือนกัน
จำไม่ได้ไม่เป็นไร ลืมกันอย่างสมบูรณ์แล้วก็ไม่เป็นไร เริ่มใหม่ได้
ตอนนี้...ฉันขอเป็นฝ่ายเริ่มเอง เขาไม่ต้องพยายามอะไรอีกแล้ว
“เปลี่ยนจากคำขอบคุณมาพักผ่อนให้เพียงพอ กินข้าวเยอะ ๆ ดูแลตัวเองดี ๆ ก็พอค่ะ” ฉันกล่าว
"..." ส่วนอีกฝ่ายที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่เลือกปิดปากคล้ายอยากใคร่ครวญบางสิ่งบางอย่างเพียงลำพัง ในที่สุดเราต่างก็เงียบให้กัน ปล่อยให้ความง่วงงุนเข้าเล่นงานอย่างเป็นธรรมชาติ
ทว่าครึ่งชั่วโมงผ่านไป...มีเพียงเกมส์เท่านั้นที่วิ่งเข้าสู้ห้วงนิทรารมย์ก่อนใคร
การที่เขาพลิกตัวมาทางนี้และเริ่มใช้เท้าถีบฉัน การที่เขาเริ่มกระฟัดกระเฟียดประหนึ่งกำลังสู้รบกับใครอยู่ในความฝัน และการที่เขาพึมพำอย่างเจ็บปวดว่า ‘ถ้าพ่อรักผม พ่อจะไม่ทำกับผมแบบนี้’ พิสูจน์ได้ว่าเรื่องสุดท้ายที่เขาคิดก่อนหลับไป...คือเรื่องของบุพการี
สวบ...หมับ...
เห็นดังนั้นฉันจึงเป็นฝ่ายขยับเข้าไปกอดเขา ให้ร่างกายที่กำลังแสดงอาการต่อต้านเพราะความหงุดหงิดและร้าวรานนั้นสงบลงในอ้อมแขนทั้งสองข้างของตัวเอง
“ไม่เป็นไรนะเด็กดี”