บทที่1.2

1925 คำ
ไม่กี่นาทีให้หลังก็กลับมาพร้อมชายร่างสูงในชุดกาวน์สีขาวสะอาดกับพยาบาลท่าทางใจดีอีกหนึ่งคน แม้จะมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้จะแปลกใจจนรู้สึกไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง แต่ด้วยสังขารไม่เอื้ออำนวย ผมจึงยอมปิดปากเงียบและให้หมอทำหน้าที่ของตัวเองไป ระหว่างนั้น ผมทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างฝั่งซ้ายมือซึ่งอยู่ติดกับเตียง ผ้าม่านสีขาวขุ่นถูกแหวกออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นวิวยามค่ำคืนจากท้องทะเลกว้างผ่านกระจกใส ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยนั้นพายุเข้าบ่อยจนเป็นเรื่องปกติ จึงไม่แปลกเมื่อหากมองออกไปแล้วจะเห็นต้นไม้น้อยใหญ่เอนไปเอนมาตามแรงลมอยู่เสมอ คิดมาถึงตรงนี้จึงกวาดสายตาไปรอบห้องอีกครั้ง ก่อนพบว่าเหนือบานประตูห้องด้านขวามีนาฬิกาทรงไม้เรือนใหญ่แขวนอยู่ เข็มสั้นชี้เลขสิบเอ็ด เข็มยาวชี้เลขสิบ ห้าทุ่มสี่สิบห้านาที ผมขึ้นเรือเฟอร์รี่รอบหกโมงเย็น ถ้านี่ยังเป็นวันเดียวกัน แสดงว่าจากตอนนั้นถึงตอนนี้ก็หลายชั่วโมงแล้ว “อยากกินอะไรไหมคะ? เดี๋ยวพี่จะสั่งให้” ผมหลุดออกจากภวังค์ทันควันเมื่อคำพูดหวังดีนั้นถูกหยิบยื่นมาพร้อมกับแรงสะกิดสุดนิ่มนวลบริเวณหัวไหล่ หันกลับไปถึงได้รู้ว่า ณ ตอนนี้หมอและพยาบาลไม่อยู่แล้ว ออกไปตอนไหนวะ? นี่ผมเหม่อลอยขนาดนั้นเลยเหรอ? “ไม่หิวครับ” ความอึดอัดทำให้ผมตอบเสร็จแล้วเงียบไป แต่ไม่ถึงหนึ่งนาทีก็ปริปากเนื่องจากยังมีเรื่องค้างคาใจ “ลืมถาม คุณ…ชื่อไร?” “ควีนค่ะ” ผู้หญิงที่ดูนุ่มนิ่มน่าทะนุถนอมทว่ามีกลิ่นอายของความเป็นผู้ใหญ่ตอบผมอย่างไม่ลังเล “อย่าใช้คำว่าคุณเลย เรียกพี่เฉย ๆ ก็ได้” กล่าวอย่างไม่คิดมากขณะหยิบยาชนิดเม็ดที่คาดว่าหมอเพิ่งจ่ายให้เมื่อไม่กี่นาทีก่อนขึ้นมาเช็ก “ถึงจะไม่หิวแต่ก็ต้องกินข้าวนะ เพราะยาพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นแบบหลังอาหาร คืนนี้กินดึกหน่อยคงไม่เป็นไร เดี๋ยวพรุ่งนี้ปรับเวลาเอา” “…” “เดี๋ยวพี่สั่งต้มยำกุ้งแล้วกัน ที่นี่ร้านอาหารปิดดึกมาก ไม่ต้องห่วงค่ะ” เออออเองเสร็จสรรพก็วางยางไว้บนถาดหัวเตียง ก่อนจะล้วงเอาสมาร์ตโฟนออกมาจากเสื้อคลุมเพื่อโทร.สั่งอาหารให้ “…” ผมนิ่งไป ค้างสายตาไว้ที่ใบหน้าสวยหวานอย่างเงียบเชียบ ควีน ไม่สิ พี่ควีน…เธอรู้ด้วยเหรอว่าผมชอบกินอะไร แม้แต่เมนูโปรดปรานอันดับหนึ่งอย่างต้มยำกุ้งก็… หญิงปริศนาคนนี้เป็นใครกันแน่? “ค่ะ พิเศษเพิ่มกุ้งนะคะ ค่ะ ๆ” สั่งเสร็จก็กดวาง เธอหันมาทางผมอีกครั้ง ทำท่าจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ผมคงใช้สายตาที่ทำให้อีกฝ่ายข้องใจ จึงปริปากถามกลับมาว่า “มองแบบนั้น มีอะไรหรือเปล่า” เธอสบตาผมกลับแทบทันที มันเลยกลายว่าเป็นว่าเรากำลังจ้องตากันโดยมีระยะห่างราว ๆ หนึ่งเอื้อมแขนขวางกั้น “ก็ไม่เชิง” ผมกล่าวสั้นกระชับ “คุณ…ทำเหมือนเราเคยเจอกันมาก่อน ทำเหมือนรู้จักผม” “…” “เราเคยเจอกันจริง ๆ เหรอ?” คิ้วขมวดมุ่น “แล้วทำไมผมถึงจำอะไรไม่ได้?” “จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ” พี่ควีนส่ายหน้าน้อย ๆ ค้อมตัวลงแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงอกผม กลิ่นหอมสะอาดโชยปะทะปลายจมูกกันอย่างหมิ่นเหม่อีกครั้งจากความใกล้ชิด “พี่ไม่ซี” “แปลก ๆ” ผมพึมพำ ทำให้เธอเอียงหน้ามาทางนี้ “ถ้าให้พูดตรง ๆ คือสวย ๆ อย่างคุณ ถ้าเคยเจอหน้าหรือรู้จักกันมาก่อน...ใครจะลืมลง” “ก็มีคนหนึ่งนะที่ลืม” คำชมที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบฟัง สำหรับพี่ควีนแล้วคงธรรมดามาก…ถึงได้มองข้ามและโฟกัสเพียงประเด็นที่ผมจำเธอไม่ได้ “แต่ทำไงได้ล่ะเนอะ” ว่าเพียงเท่านั้นเธอก็ผละตัวออก แต่… หมับ “เราเคยเจอกันตอนไหนครับ” ยังไม่ทันที่เธอจะได้ลงไปยืนบนพื้นห้องดี ๆ ผมที่ยังไม่กระจ่างในประเด็นนี้ก็เป็นฝ่ายรั้งชายกระโปรงที่มีความยาวระดับหัวเข่าไว้ แม้ไม่รุนแรงจนถึงขั้นต้องถลากลับเข้ามา แต่ก็มากพอให้พี่สาวแสนสวยหยุดนิ่งแล้วลากสายตากลับมาตรึงไว้ที่ผมอีกครั้ง “ถ้าคุณเล่าให้ฟัง ผมอาจจะพอนึกอะไรออกบ้างไง” แม้เพิ่งเรียนจบม.ปลายและกำลังจะกลายเป็นนักศึกษาปีหนึ่งในอีกไม่นานนี้ แต่เพราะผมเติบโตมาในตระกูลที่มีหัวหน้าครอบครัวเป็นคนนับหน้าถือตา ชอบคบค้าสมาคมกับผู้คน กอปรกับที่ผมนั้นมีนิสัยนอกคอกกว่าญาติพี่น้องคนอื่น ๆ พ่อจึงมักบังคับให้ผมติดสอยหอยตามไปงานสำคัญด้วยเมื่อมีโอกาส หวังให้ซึมซับสังคมในแบบที่ผมสุดแสนจะรำคาญ ด้วยเหตุผลนั้นเอง ผมจึงเจอผู้คนมากหน้าหลายตา เป็นไปได้ว่าหนึ่งในผู้คนเหล่านั้นอาจมีเธออยู่ด้วย “พี่อยากให้เราจำได้ด้วยตัวเองค่ะ” เธอกล่าว “ตอนนี้พักก่อน คิดมากเดี๋ยวปวดหัว” “แล้ว…” กำลังจะถามว่า 'แล้วคุณอายุเท่าไหร่?' แต่เสียงริงโทนจากสมาร์ตโฟนในเสื้อคลุมของเธอก็ดังขึ้นมาอย่างรู้จังหวะ เห็นดังนั้นผมจึงยอมปล่อยชายกระโปรงนุ่มลื่นให้เป็นอิสระจนเจ้าของชุดลงไปยืนตำแหน่งเดิมได้สำเร็จ เพราะยังไม่ละสายตาไปจากพี่ควีน ดังนั้นวินาทีที่เธอล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่าใครโทร.หาเวลานี้…ผมจึงเห็นปฏิกิริยาแปลกประหลาดจากเธอชั่ววูบหนึ่ง เหมือนไม่อยากรับสาย อะไรทำนองนั้น “เดี๋ยวมานะคะ” แสดงท่าทีหงุดหงิดใส่โทรศัพท์เพียงแป๊บเดียวก็หันมากล่าวกับผมก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งผมไว้กับปริศนาเพียงลำพัง “เหี้ยไรวะ” พอความเงียบกลับมามีบทบาท ผมที่เจ็บตัวเพราะถูกทำร้าย เจ็บใจที่โดนจุ๊บเงินไปหลายหมื่น ซ้ำยังต้องมานั่งงงเรื่องผู้หญิงแปลกหน้าโดยไม่ได้รับคำตอบใด ๆ…จึงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการพึมพำอย่างโง่งม สวบ แต่บ่นพึมพำกับตัวเองได้ไม่นาน ผมก็จำเป็นต้องขยับตัวและฝืนความเจ็บปวดของร่างกายอย่างไม่มีทางเลือก เหตุผลเพราะอยู่ดี ๆ ก็อยากเข้าห้องน้ำ แม้จะทุลักจะทุเลไปสักหน่อย แต่ด้วยไม่อยากให้ใครมาช่วย ผมจึงกัดฟันพยุงสังขารเน่า ๆ กับสายน้ำเกลือสุดรุ่มร่ามนี่มาถึงห้องน้ำโอ่อ่าอลังการจนได้ เสร็จสิ้นแล้วตั้งใจจะกลับไปนอนเปื่อยดังเดิม แต่...ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเลี้ยวฝีเท้าไปยังประตูห้อง ค่อย ๆ เปิดแล้วชะโงกคอออกไป…ซึ่งสิ่งที่เห็นก็คือโถงทางเดินซึ่งถูกขนาบด้วยบานประตูห้องนับสิบ ห้องพี่ควีนเป็นหนึ่งในห้องพักของโรงแรมจริง ๆ แต่ว่า…แปลกมาก ตามปกติแล้ว หากเปิดบริการและมีลูกค้าเข้าพัก โรงแรมต้องเปิดไฟสว่าง ๆ ตามโถงทางเดิน หรือบางที่…เมื่อถึงช่วงเวลาเข้านอนจะมีการหรี่ไฟลงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้แสงสว่างสาดเข้าไปในห้องพักของลูกค้า ทว่าที่นี่…แสงไฟสลัวมาก สลัวจนเกือบจะดับได้อยู่รอมร่อ อีกหน่อยคงมืดจนมองไม่เห็นทางเดินแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นบรรยากาศยังเงียบสงัด เหมือนว่าชั้นนี้ทั้งชั้นมีผมเพียงคนเดียว เหมือนว่าห้องอื่น ๆ ไม่มีใครเข้าพักอาศัย ซีนหนังผีชัด ๆ ผมมันเป็นพวกกล้าพุ่งชนและไม่กลัวอะไรง่าย ๆ อยู่แล้ว ดังนั้นจึงตัดสินใจก้าวเท้าออกมาจากห้อง ตั้งสติแล้วมุ่งหน้าไปยังลิฟต์ซึ่งอยู่ไกลออกไปราว ๆ ห้าเมตร แต่เคลื่อนไหวได้ไม่ถึงไหน… “จะไปไหน?” คำถามเย็นยะเยือกนั่นดังขึ้นจากเบื้องหลังในระยะเผาขน…พร้อมกับวัตถุแปลกประหลาดที่กำลังจ่อบริเวณหลังคอ ผมหยุดนิ่ง สัญชาตญาณกระซิบบอกว่าสิ่งนั้นคือปืน แกรก เสียงคล้ายไกปืนดังขึ้นอีกครั้ง รอบนี้ความเย็นเยียบของปากกระบอกเคลื่อนมาจ่อขมับขวา ตามด้วยน้ำเสียงกดต่ำชวนขนลุก “ถ้าไม่อยากตายก็กลับไปรอคุณหนูในห้อง” พรึ่บ แม้คำขู่นั้นจะน่าเกรงขาม แต่ผมซึ่งดื้อด้านมาตั้งแต่เกิดกลับเลือกที่จะหันไปเผชิญหน้า จนได้พบว่าเจ้าของน้ำเสียงเย็นเยียบนั้นเป็นของผู้ชายตัวสูงในชุด All Black นัยน์ตาเย็นชา ทว่าแฝงความดุดันแข็งกร้าวในแบบที่ใครเห็นเป็นต้องอกสั่นขวัญแขวน และใช่ แม้การยืนของผมจะเปลี่ยนไปแล้ว แต่ปืนสีดำด้านในมือหนาอันเต็มไปด้วยรอยสักยังคงไม่ละห่าง ตอนนี้มันเปลี่ยนตำแหน่งมาเล็งบริเวณหน้าผากผม พร้อมทั้งส่งสายตาดุดันเป็นการย้ำเตือนถึงคำขู่ก่อนหน้านี้ “เก็บปืนหน่อย...เป็นไงครับ?” ผมรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะต่อกรกับใคร สภาพอย่างนี้แค่ทะเลาะกับหมาขี้เรื้อนยังไม่ไหว นับประสาอะไรกับชายตัวสูงใหญ่ที่มีอาวุธอันตรายอยู่ในมือ แต่...จะให้หงอแล้วยอมทำตามคำสั่งของคนที่เอาปืนจ่อหัวผมตั้งแต่แรกเจอ...ก็เห็นจะผิดวิสัยไปหน่อย "..." อีกฝ่ายสงบนิ่งไร้คำพูดใด เพียงปรับตำแหน่งปลายนิ้วมายังจุดที่พร้อมยิง หมับ! เพราะดูท่าแล้วคงคุยกันไม่รู้เรื่องแน่ ผมจึงเค้นเรี่ยวแรงที่หลงเหลือเพียงน้อยนิดในการแย่งอาวุธจากมือหนา เคยมั่นใจว่าตัวเองมีทักษะเพียงพอ...แต่สุดท้าย... ตุ๊บ ชายชุดดำที่มีพละกำลังเหนือกว่าหลายเท่าไม่เพียงไหวตัวทัน ยังใช้หน้าแข้งเตะเข้าบริเวณข้อพับจนผมล้มฟุบลงกับพื้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะที่ผมหน้ามืดเพราะร่างกายยังไม่แข็งแรงดี สุ้มเสียงอันตรายก็ดังขึ้นอีกครั้ง "ผมไม่อยากใช้ไอ้นี่เจาะกะโหลกคุณ...เพราะฉะนั้นกลับเข้าห้องไปซะ" จบคำแล้วคอเสื้อผมก็ถูกกระชาก... "ดีน" หากทว่า ก่อนบุรุษชุดดำจะลากผมกลับเข้าห้อง เสียงหวานซึ่งดังมาจากประตูลิฟต์ที่เพิ่งเปิดออกก็ฉุดให้การเคลื่อนไหวยุติลง ทั้งผมทั้งมันต่างหันไปมอง เป็นพี่ควีนนั่นเอง...เธอกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ ฝีเท้าของเธอเนิบนาบไม่เร่งรีบก็จริงอยู่ แต่รังสีแปลกประหลาดจากแววตาคู่นั้นยามมองชายชุดดำกลับบ่งบอกได้ถึงระดับความโกรธกรุ่น ผมว่า...สายตาของเธอน่ากลัวกว่าปืนซะอีก ทั้งที่ภาพลักษณ์ดูนุ่มนิ่มขนาดนั้นแท้ ๆ "คุณหนู..." เมื่อพี่ควีนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเราสองคน คอเสื้อผมก็ถูกปล่อยให้เป็นอิสระทันที โดยไอ้คนที่ชื่อดีน...ได้ปรับเปลี่ยนท่ายืนให้สำรวม ค้อมศีรษะลงเล็กน้อย คุณหนู...ก็คือพี่ควีนสินะ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม