บทที่1.1

1744 คำ
Game Describe. ย้อนกลับไปก่อนวันเกิดเหตุ เวลา 20.51 นาฬิกา ผมแหงนหน้าขึ้นฟ้า… มองเมฆครึ้มทะมึนจับตัวเป็นกลุ่มก้อนด้วยดวงตาอันว่างเปล่า เปรี้ยง! โครม! ชั่วขณะนั้นเสียงคำรามเปรี้ยงใหญ่ที่มาพร้อมกับการหักโค่นของต้นไม้ในละแวกใกล้เคียงก็ฉุดให้ผมเคลื่อนสายตาไปยังทิศทางของจุดเกิดเหตุซึ่งอยู่ต่ำลงไปราว ๆ สิบสองเมตร หรือก็คือตึกสี่ชั้น แม้ภาพที่รถยนต์คันหนึ่งถูกกิ่งไม้ขนาดใหญ่ทับจนยุบไปครึ่งซีกจะชวนอกสั่นขวัญแขวนอยู่บ้าง แต่ผมกลับแน่นิ่งไม่ไหวติง ยังคงนั่งสูบบุหรี่ ห้อยขาต่องแต่งอยู่บนขอบชั้นดาดฟ้าของโรงพยาบาลเอกชนขนาดเล็กแถบชานเมืองคล้ายไม่ทุกข์ร้อนใด ๆ ขณะนี้เป็นเวลาเกือบสามทุ่ม ผมควรกลับบ้าน กินข้าว อาบน้ำ เข้านอนเหมือนเด็กวัยรุ่นวัยไล่เลี่ยกัน ทว่าน่าเสียดาย… หลังจากพลั้งมือทำเรื่องเลวร้ายกับผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อจนต้องหลบหนีเพื่อตั้งหลัก ถึงตอนนี้…ผมได้คำตอบแล้วว่าไม่ควรกลับไปเหยียบที่นั่นอีก นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป บ้านซึ่งเคยเป็นเซฟโซนที่สวยงามที่สุด ขณะเดียวกันก็เจ็บปวดและขมขื่นที่สุดได้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ต้องห้ามของผมโดยสมบูรณ์ คิดมาถึงตรงนี้ผมก็เผยอปากออกเล็กน้อย ปล่อยม่านควันสีขาวขุ่นจากมวนบุหรี่ที่คาบไว้จนมันลอยล่องไปตามกระแสลม ท้ายที่สุดเมื่อเปลวไฟสีแดงฉานกลืนกินมวนกระดาษจนเหลือเพียงน้อยนิด ผมก็จัดการขยำมันด้วยมือเปล่าจนยับยู่ แทบไม่สนใจความร้อนระอุที่กำลังแผดเผาผิวเนื้อส่วนนั้นแม้แต่นิด ก็นะ ไม่คณาหรอก แค่นี้จิ๊บจ๊อย “เอาล่ะ” หลังจากนั่งเอ้อระเหยอยู่นานสองนาน ในที่สุดผมก็สลัดเรื่องราวสุดยุ่งเหยิงออกจากหัว หยัดตัวขึ้นยืนบิดขี้เกียจสองสามที ฝนลงเม็ดแล้ว สายลมอ้อยอิ่งเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นรุนแรง ผมเพิ่งได้รับการทำแผลจากหมอคนหนึ่งเมื่อหลายนาทีก่อน แผลจากการถูกกรรไกรถากบริเวณสีข้าง…หมอเน้นย้ำว่าจนกว่าจะถึงเวลาเปลี่ยนผ้าทำความสะอาดรอบต่อไป ทางที่ดีอย่าเพิ่งให้ส่วนนี้โดนน้ำ ที่สำคัญ ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องออกแรงหรือเกร็งกล้ามเนื้อ เพราะอาจทำให้แผลที่เพิ่งเย็บไปเกิดปริแตกได้ “เฮ้ย...พ่อหนุ่ม! อย่านะลูก อย่าทำแบบนั้น! ใจเย็น ๆ คุยกันก่อน…” จากจุดที่ผมยืนนั้นอยู่ชิดขอบดาดฟ้าและค่อนข้างหมิ่นเหม่เสี่ยงต่อการพลัดตก เป็นไปได้ว่าใครสักคนที่เพิ่งขึ้นมาเห็นจึงตีความเองเสร็จสรรพว่าผมพยายามจะฆ่าตัวตายถึงส่งเสียงดังด้วยความตกอกตกใจ น้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความตื่นตระหนกสุดขีดทำเอาผมต้องหันกลับไปมองอย่างเสียไม่ได้ สองเท้ายังไม่เคลื่อนไหว ต่อมาผมจึงได้คำตอบว่าเป็นผู้หญิงร่างท้วมวัยกลางคน ดูจากการแต่งตัวแล้วคงเป็นแม่บ้านของที่นี่มั้ง ยังไงก็เถอะ... “ครับ?” ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย “อย่าคิดสั้นเลยนะลูก โลกนี้ยังมีอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะนะ” ป้าแม่บ้านเสียงสั่นเครือ ค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้อย่างระแวดระวัง “ทำแบบนี้เดี๋ยวคนที่รักเราจะเสียใจนะ” “ผมดูเหมือนคนคิดสั้นเหรอป้า?” ครั้นเห็นปฏิกิริยาของป้าคนนั้น ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะแผ่วเบา แต่ก็แอบสะดุ้งโหยงเพราะบาดแผลได้รับการกระทบกระเทือนจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อช่วงท้อง ท้ายที่สุดผมจึงเขยิบมายืนในจุดที่ปลอดภัย อย่างน้อยก็ให้ผู้ประสงค์ดีได้วางใจ เชื่อเหอะ ผมผ่านจุดต่ำสุดของชีวิตมาแล้วหลายครั้ง เจ็บทางกายและทางใจมาก็นับไม่ถ้วน วินาทีที่รู้สึกทุกอย่างมันหนักหนาเกินกว่าจะรับไหว ความตายไม่เคยแวบเข้ามาในหัวเลยสักหน ผมคนนี้น่ะ นอกจากอยากมีชีวิตเพื่อญาติพี่น้องและเพื่อนที่ยังรัก ผมยังอยากนั่งจิบไวน์กระดิกเท้าอยู่ดูคนที่ตัวเองเกลียดค่อย ๆ พังพินาศไปทีละคน อยากใช้ชีวิตให้สุดขั้วในทุก ๆ ทางโดยไม่แคร์ว่าใครจะมองยังไง และนอกจากเหตุผลร้อยแปดพันเก้าที่ร่ายออกมาสามวันยังไม่จบนั้น… “ผมยังไม่มีแฟนเลยครับป้า ยังตายไม่ได้หรอก” อยากมีใจแทบขาด สาบานว่าถ้ามี...จะรักจน 'เธอคนนั้น' ต้องร้องขอชีวิตเลย “อ้าว…” หลังจากความจริงที่ว่าผมนั้นไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าตัวตายตั้งแต่แรกปรากฏชัด ป้าแม่บ้านผู้หวังดีถึงกับงุนงงจนนิ่งค้างไป ทบทวนอะไรสักอย่างราวครึ่งนาทีถึงปริปากต่อ “แล้วทำไมไปยืนตรงนั้นล่ะลูก ฝนตกลมแรง เกิดลื่นตกลงไปแล้วจะแย่นะ อันตรายมากเลย” “ผมแค่เบื่อ ๆ เลยมาตากลมนิดหน่อยครับป้า” หยิบยื่นคำตอบพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเดินตรงไปยังจุดที่หญิงร่างท้วมยืนอยู่ “ขอบคุณนะครับ” “…?” แม้นัยน์ตาอ่อนโยนคู่นั้นจะฉายชัดถึงความคลางแคลงในคำขอบคุณจากปากผม ทว่าผมก็ไม่ได้อยู่เพื่ออธิบายให้เธอเข้าใจว่าทำไม ก็แค่อยากขอบคุณ อย่างน้อยในวันที่ผมรู้สึกเคว้ง ก็ยังมีคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อปรากฏตัวพร้อมคำพูดสุดเรียบง่ายแต่ทรงพลัง อย่างน้อย…ก็มีคนเป็นห่วงผมในฐานะเพื่อนมนุษย์เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน ผมเกิดมาในตระกูลมหาเศรษฐีมีชื่อ มีกินมีใช้ยันชาติหน้าโดยไม่ต้องดิ้นรนให้เหงื่อออกแม้เพียงสักหยด ซึ่งเพราะความร่ำรวยนี่เอง ผมจึงฟุ่มเฟือยและสุรุ่ยสุร่ายชนิดที่ว่าหากต้องเปรียบเทียบให้เห็นภาพคงคล้ายกับการเอาเงินมาโปรยเล่นเป็นกระดาษ ค่าใช้จ่ายต่อวันหลักหมื่น ต่อเดือนก็หลักล้าน เคยคิดว่าตัวเองคงไม่มีวันลำบากถึงขั้นต้องกัดก้อนเกลือกินประทังหิว กระทั่งวันนี้เดินทางมาถึง… ทั้งเนื้อทั้งตัวผมเหลือเงินสดอยู่ห้าหมื่นบาท เพราะหลังจากมีปากเสียงกันใหญ่โตจนต้องหนีออกมา บัญชีส่วนตัวที่พ่อเป็นคนเปิดให้ก็ถูกอายัดอย่างรวดเร็ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรามีปากเสียงกัน ทุกครั้งที่ผมทนพฤติกรรมของพ่อไม่ไหวจนต้องหิ้วกระเป๋าเดินออกมาจากบ้าน พ่อมักจะตัดช่องทางการเอาตัวรอดของผมอย่างเลือดเย็นเสมอ อายัดบัตร โทร.ไปบอกญาติพี่น้องว่าอย่ายื่นมือช่วยเหลือ แม้แต่เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ผมมียังถูกกำชับให้เพิกเฉย จะแปลกอะไรหากในท้ายที่สุดแล้วผมต้องโซซัดโซเซกลับไปที่นั่นอย่างไร้ทางเลือก พ่อคิดว่ารอบนี้ก็คงมีจุดจบเช่นเดิม ผมต้องคลานเข่ากลับไปกราบตีน แบมือขอเงินอย่างไร้ศักดิ์ศรีอีกแน่ ฝันเฟื่อง ความอดทนที่ผมมีต่อพ่อได้หมดลงแล้ว พ่อทำให้ฟางเส้นสุดท้ายของผมขาดผึงอย่างไร้ทางแก้ ก็จริงที่ว่าเงินห้าหมื่นนั้นไม่ใช่น้อย ๆ บริหารจัดการให้รอบคอบก็สามารถใช้ชีวิตได้สบายไปหลายเดือน แต่...โชคไม่ได้เข้าข้างผมขนาดนั้นไง ผมกำลังขึ้นเรือเฟอร์รี่ไปเกาะพะงันเนื่องจากมีคนรู้จักทำงานอยู่ที่นั่น ซึ่งอาจเป็นเพราะพายุเข้าและคลื่นที่สูงกว่าปกติ ทำให้ลูกเรือคนอื่น ๆ ต่างพากันเข้าไปนั่งด้านในจนหมด มีผมเพียงคนเดียวที่ปลีกวิเวกอยู่ตรงชั้นดาดฟ้าของเรือ ส่วนหนึ่งบริเวณนี้เอื้อต่อการสูบบุหรี่ด้วย แล้วที่บอกว่า 'โชคไม่เข้าข้าง' มันหมายความว่าไง? ก็… “เฮีย ไอ้ไข่นี่แหละ เอิดจ้านแล้ว” (เฮีย ไอ้นี่แหละ อวดเก่งฉิบหาย) …เพราะผมดันไปเหยียบเท้าใครบางคนในจังหวะพลิกตัวเตรียมเข้าห้องน้ำ ก่อนจะพบว่าคนคนนั้นเป็นหนึ่งในลูกน้องของอันธพาลประจำถิ่น ในเมื่อขอโทษแล้วไม่ยอมจบ ในเมื่ออีกฝ่ายมันห้าวอยากปะทะ ในเมื่อหน้าตาผมมันชวนทะเลาะขนาดนั้น ผมกับพวกมันอีกหลายคนจึงตะลุมบอนกันอย่างไม่มีใครยอมใคร แน่นอน ด้วยจำนวนคนต่างกัน ต่อให้ผมแข็งแรงและเชี่ยวชาญเรื่องการต่อยตีแค่ไหนก็แพ้จนหมดรูปอยู่วันยัยค่ำ "แฮ่ก..." ยังพอจำได้ วินาทีที่นอนหมดเรี่ยวแรงอยู่ใต้ตีนพวกมัน สติผมพร่าเบลอจนประมวลผลอะไรได้ไม่มากเท่าที่ควร รู้เพียงแค่ว่า…เงินสดถูกฉกชิงไปทั้งหมด ก่อนที่ร่างของผมจะถูกโยนลงทะเลซึ่งลึกเกินกว่าจะเอาตัวรอดได้ในสภาพนี้ ผมตะเกียกตะกายแข่งกับความลึกของระดับน้ำและคลื่นทะเลเย็นเฉียบ จนสุดท้ายสติที่หลงเหลือเพียงกระผีกลิ้นก็ดับวูบ ไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีก คิดว่าคงไม่รอด คิดว่ายมบาลในนรกคงเตรียมโยนผมลงกระทะทองแดงแล้ว กระทั่งลืมตาขึ้นมา...แล้วพบว่าตัวเองนั้นอยู่ในห้องห้องหนึ่งกับผู้หญิงแปลกหน้าที่สวยจนลมหายใจขาดห้วงเพียงสองต่อสอง… 'นี่เราจำพี่ไม่ได้จริง ๆ เหรอ?' ก่อนหน้านี้เธอถามผมแบบนั้น ปฏิกิริยาที่ผู้หญิงปริศนาแสดงออกยามอยู่ต่อหน้าผม ทั้งแววตาที่ทอดมอง ทั้งน้ำเสียงและการพูดการจา มันพอจะพิสูจน์ได้ในระดับหนึ่งว่าเธอรู้จักผมจริง ๆ ในขณะที่ผมนั้น…แม้จะใช้เวลาเนิ่นนานหลายนาทีพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว แต่คำถาม 'เราจำพี่ไม่ได้จริง ๆ เหรอ?' ก็ยังไร้คำตอบอยู่วันยันค่ำ “…” สุดท้าย เมื่อการรอคอยนั้นสิ้นสุดลงตรงที่ผมไม่สามารถให้คำตอบเธอได้ ผู้หญิงที่แทนตัวเองว่าพี่ตั้งแต่แรกเจอก็พรูลมหายใจออกมาหนึ่งครั้ง ก่อนเปลี่ยนมาระบายยิ้มคล้ายไม่ถือสา อีกนัยหนึ่ง มันเหมือนเธอเองรู้ดีอยู่แล้วจึงไม่ซักไซ้ต่อ “พักผ่อนไปนะ เดี๋ยวพี่มา” เธอกล่าวด้วยโทนเสียงสุภาพ หยัดตัวขึ้นจากเตียงแล้วเดินออกจากห้องไป
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม