บทที่ 2.1
แม่ที่น่าโมโห
ทันทีที่เปิดประตูบ้านหลี่หมิงและหลี่ชุนก็ตกใจจนตาโต ข้าวของที่กระจัดกระจายไม่เป็นที่เป็นทางถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ เศษอาหาร และข้าวของที่เน่าเสียถูกจัดการออกไปแล้ว ภายในบ้านยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายดอกไม้อีกด้วย เมื่อเลื่อนสายตาไปที่โต๊ะอาหารและชั้นวางของที่มุมบ้านก็พบว่ามีดอกกุหลาบพื้นบ้านหลายดอกถูกนำมาจัดใส่แจกัน บ้านที่เคยให้ความรู้สึกอึดอัดและอยากหลีกหนีไปให้ไกล วันนี้กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างแปลกประหลาด หลี่หมิงลอบมองแม่ที่ไม่สวยงามเหมือนทุกวัน แต่กลับทำให้เขาอยากมองเธอมากกว่าทุกวัน
“ในห้องของลูกแม่ไม่กล้าเอาอะไรทิ้ง แต่แม่จัดการเก็บกวาดให้แล้ว ของในกล่องลังมุมห้อง ลูกๆ ลองเลือกดูว่ามีอะไรอยากเก็บอยากทิ้งบ้าง”
ในห้องของพวกเขาแม่ก็เข้าไปทำความสะอาดให้หรือ ที่แท้คนเป็นแม่หายหน้าไปร่วมค่อนวันก็เพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้านนี่เอง แต่เรื่องเหนื่อยยากเช่นนี้แม่เขาจะยอมลงมือทำจริงๆ หรือ หลี่หมิงที่ยืนนิ่งด้วยอาการสงบ ลอบมองอีกฝ่ายอย่างจับผิด ตั้งแต่เขาจำความได้จนถึงตอนนี้แม่ของพวกเขาไม่เคยแม้แต่จะซักผ้า เมื่อก่อนพวกเขายังเด็กแม่ก็จะส่งให้ป้าอวี้ซักให้ เมื่อพวกเขาสองพี่น้องโตพอใช้งานได้งานซักผ้านี้ก็ตกมาเป็นของพวกเขา เช่นนี้แล้วเธอจะทำความสะอาดบ้านได้อย่างไร
ทว่ายังไม่ทันได้คิดหาเหตุผลที่แม่เปลี่ยนไป เสียงของหลี่ชุนก็ดังออกมาจากในห้องของพวกเขา
“โอ้โห! พี่ชายรีบเข้ามาดูเร็ว มีผ้าปูที่นอนผืนใหม่ด้วย ผ้าห่ม ปลอกหมอนก็ใหม่”
ไม่เพียงร้องตะโกนบอกหลี่ชุนยังวิ่งมาดึงแขนพี่ชายเข้าไปในห้องด้วย เฉินซิ่วลี่ยิ้มบาง ของใหม่อะไรกัน ล้วนเป็นของที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าเจ้าของร่างเดิมทั้งนั้น
เฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาวเมื่อนึกถึงตอนที่เปิดตู้เสื้อผ้าเจ้าของร่างเดิมแล้วพบว่ามีเสื้อผ้าเนื้อดีหลายตัวที่มองดูก็รู้ว่าเพิ่งผ่านการซื้อมาไม่นาน ด้านล่างตู้ยังมีชุดเครื่องนอนที่ยังไม่ได้นำมาใช้อีกหลายผืน ตรงข้ามกลับห้องของเด็กๆ ที่ในตู้เสื้อผ้ามีชุดให้เลือกสวมใส่รวมกันสองคนยังไม่ถึงห้าตัว อีกทั้งเนื้อผ้ายังเก่าและมีรอยขาดปะชุนอยู่หลายแห่ง ผ้าปูที่นอนกับปลอกหมอนก็เป็นผ้าดิบเนื้อหยาบที่เพียงสัมผัสก็รู้สึกระคายผิว
ช่างเป็นแม่ที่เห็นแก่ตัวยิ่งนัก ไม่แปลกใจเลยที่เมื่อตัวร้ายอย่างหลี่อันเฉิงกลับมาก็ลงมือกับเจ้าของร่างเดิมอย่างโหดเหี้ยม
“พี่ชาย ผ้าปูที่นอนนี่นุ่มลื่นมากๆ เลย พี่ลองมาจับดูสิ”
ยังคงเป็นเสียงสดใสของหลี่ชุนที่เล็ดลอดออกมา เฉินซิ่วลี่ลอบมองเด็กชายสองคนด้วยรอยยิ้ม ท่าทางที่สดใสของหลี่ชุนหรือแม้แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่หมิง ช่างเป็นภาพที่ทำให้คนรู้สึกอิ่มเอมใจยิ่งนัก
แต่ดูเหมือนว่าภาพทั้งหมดนี้จะปรากฏก็ต่อเมื่อพวกเขาได้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัยอย่างในห้องนอนของพวกเขาเท่านั้น
ดวงตาเรียวหยุดมองที่หลี่หมิง ทั้งที่มีอายุเพียงสามขวบเท่านั้นแต่คล้ายว่าเขาจะเติบโตเกินวัย ความคิดความอ่านราวกับเด็กหกเจ็ดขวบที่สามารถวิเคราะห์เรื่องราวต่างๆ และเชื่อมโยงเหตุผลได้แล้ว
“อาหมิง อาชุน มากินข้าวเย็นกันก่อนเถิด”
เฉินซิ่วลี่ที่เข้าครัวอุ่นอาหารร้องเรียกเด็กๆ ที่เข้าไปสำรวจห้องของตนเองอยู่ร่วมชั่วโมงแล้วก็ยังไม่ออกมา
“อาหมิง อาชุน ลองกินซี่โครงหมูทอดดู”
ดวงตาของหลี่ชุนเปล่งประกายแวววาวเมื่อเห็นซี่โครงหมูชิ้นใหญ่วางอยู่ในชามข้าว แต่ก็ยังคงหวาดหวั่นไม่กล้าหยิบกิน ดวงตากลมค่อยๆ ขยับช้อนสบตาคนเป็นแม่อย่างหวาดระแวง เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตและเชิญชวนให้เขากิน มือเล็กก็จับชิ้นเนื้อในชามขึ้นกัดกินอย่างระมัดระวัง พยายามข่มความตื่นเต้นรักษากิริยาท่าทีให้สุภาพ เพื่อไม่ให้ขัดตาแม่
เพียงแต่ได้สัมผัสรสชาติของซี่โครงหมูทอด ความหอมนุ่มก็กระจายไปทั่วทั้งอุ้งปากจนลืมความหวาดระแวงกัดชิ้นเนื้อในมือจนปากเล็กมันวาว
หลี่หมิงเห็นน้องชายมีความสุขกับการได้กินเนื้อก็คีบซี่โครงหมูในชามตัวเองให้เขาอีกชิ้น
“ผมลองกินแล้ว ชิ้นนี้พี่กินเถอะ มันอร่อยมาก”
หลี่ชุนไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว เมื่อมีของอร่อยเขาย่อมต้องแบ่งปันพี่ชาย เรื่องนี้ทำให้เฉินซิ่วลี่รู้สึกชื่นชมเด็กๆ อยู่ในใจไม่น้อย
“วันนี้พี่รู้สึกอืดท้อง ลุงหมอกู้บอกกินเนื้อมากไม่ดี อาชุนช่วยพี่กินหน่อยก็แล้วกัน”
“ครับ”
เพราะหลี่ชุนเป็นเด็กน้อยที่คิดอ่านตามวัย ย่อมไม่เข้าใจว่าที่หลี่หมิงเอ่ยบอกเป็นเพียงข้ออ้างที่จะให้น้องชายได้กินซี่โครงหมูทอดเพิ่มขึ้นอีกชิ้น ทว่าเฉินซิ่วลี่ไม่ใช่หลี่ชุนย่อมมองความคิดของเขาออก เธอจึงยกซี่โครงหมูทอดในส่วนของเธอให้เขา
“ช่วงนี้แม่เองก็อืดท้อง อาหมิงช่วยแม่กินก็แล้วกันนะ”
สุดท้ายหลี่ชุนได้กินซี่โครงหมูทอดไปสองชิ้น ขณะที่หลี่หมิงกินไปหนึ่งชิ้นอย่างจำยอม เฉินซิ่วลี่มองดูเด็กชายสองคนกินอาหารแล้วอมยิ้ม เรื่องอื่นเธออาจยังจัดการไม่ได้แต่เรื่องปากท้องของเด็กๆ ถือว่าได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ลำดับต่อไปย่อมต้องเป็นการปกป้องเด็กๆ จากหม่าอิงหง ย่าจอมปลอมที่มีความคิดอยากจะขายพวกเขาออกไป แน่นอนว่าวิธีการปกป้องที่ดีที่สุดก็คือการแยกบ้าน แต่ตอนนี้เฉินซิ่วลี่มีสถานะเป็นหญิงหม้ายชื่อเสียงฉาวโฉ่ ที่ไม่มีแหล่งรายได้ หากคิดแยกบ้านก็เท่ากับหาเรื่องลำบากให้ตนเองและเด็กๆ ดังนั้นเรื่องนี้จะต้องวางแผนให้รอบคอบเสียก่อน
.........................................
เฉินซิ่วลี่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็พบว่าหลี่หมิงไม่อยู่บ้านแล้ว ส่วนหลี่ชุนก็กำลังนั่งซักผ้าอยู่ที่หน้าบ้าน เธอมองพื้นปูนเนื้อหยาบที่ยังเปียกชื้นบ่งบอกว่าเพิ่งผ่านการเช็ดทำความสะอาดแล้วขมวดคิ้วแน่น
เด็กชายวัยสามขวบคนหนึ่งนั่งทำงานบ้าน อีกคนออกจากบ้านไปลำพัง ในใจของเฉินซิ่วลี่พลันเกิดความสงสัยและห่วงใยขึ้นมา ทว่าภาพหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในความคิด
พวกแกโตแล้วก็ต้องรู้จักช่วยทำงานและหาเงิน ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องกินข้าว
เป็นคำพูดของเจ้าของร่างเดิมเมื่อสามเดือนก่อนหลังจากรู้ว่า หลี่อันเฉิงพ่อของสองฝาแฝดตายจากไปแล้ว เมื่อหลี่อันเฉิงตายย่อมไม่มีใครหาเงินมาให้เจ้าของร่างใช้สอยได้สะดวกมือเช่นเดิม ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น และสิ่งที่ไม่จำเป็นในความคิดของเจ้าของร่างเดิมก็คือ ค่าอาหาร เสื้อผ้า และของใช้ต่างๆ ของพวกเด็กๆ
ช่างเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัว และไร้คุณธรรมอย่างที่สุด
“อาชุนไม่ต้องทำแล้ว”
เฉินซิ่วลี่ที่ยังมีอารมณ์โกรธเคืองเจ้าของร่างเดิมเผลอเอ่ยน้ำเสียงดุ ไหล่เล็กสะดุ้งเล็กน้อย เก็บมือขึ้นซุกเอาไว้บนตัก เขาไม่รู้ว่าตนเองเผลอทำอะไรให้แม่ไม่พอใจ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น ก้มหน้าหลับตา ในใจเกิดความหวาดกลัว ร่างกายเกร็งสะท้านรอรับการทุบตีอย่างที่ถูกกระทำเป็นประจำจากคนเป็นแม่
แขนเล็กถูกดึงให้ลุกขึ้นแล้วพาเข้าบ้าน หากแต่แม้รู้ว่ากำลังจะถูกแม่พาไปทุบตี เด็กน้อยก็ไม่ได้ขัดขืนต่อต้าน เขาเรียนรู้ที่จะคล้อยตามคนเป็นแม่ ไม่ใช่เพราะเป็นเด็กดีเชื่อฟัง แต่เพราะต้องการหลบเลี่ยงการถูกทุบตีที่รุนแรงมากขึ้น ยิ่งเวลาที่พี่ชายไม่อยู่เช่นนี้การทำตัวว่าง่ายจึงเป็นทางรอดที่ดีที่สุด
เฉินซิ่วลี่จับเด็กน้อยนั่งลงบนเก้าอี้ พลางหยิบผ้ามาห่อมือที่เย็นเฉียบ เธอไม่แปลกใจเลยสักนิดที่ก่อนหน้านี้สภาพภายในบ้านจะทั้งสกปรกและรกรุงรัง ให้เด็กชายวัยเพียงสามขวบดูแลบ้าน ต่อให้เขาทำอย่างสุดกำลังแต่จะได้ดีสักแค่ไหนกัน
“ต่อไปไม่ต้องทำงานบ้านแล้ว เรื่องพวกนี้แม่จะจัดการเอง”
น้ำเสียงจริงจังของแม่ทำให้หลี่ชุนไม่กล้าเอ่ยต่อต้าน ทำได้เพียงนั่งนิ่งๆ อย่างเชื่อฟัง
เฉินซิ่วลี่เดินออกไปซักผ้าแทนหลี่ชุน ความจริงเธออยากจะออกไปตามหาหลี่หมิงและพาเขากลับบ้านทว่าในความทรงจำของร่างนี้รับรู้เพียงหลี่หมิงออกไปทำงานทุกวัน แต่ทำอะไรที่ไหนนั้นเจ้าของร่างกลับไม่เคยรับรู้เลย
เฉินซิ่วลี่ เธอช่างเป็นแม่ที่น่าโมโหยิ่งนัก
.................................................