บทที่ 2.2
แม่ที่น่าโมโห
ประมาณ 9 โมงหลี่หมิงก็กลับเข้าบ้าน เนื้อตัวของเขามอมแมมเต็มไปด้วยใบชาและเศษหญ้า ดูก็รู้ว่างานที่เขาไปทำน่าจะเป็นการเก็บใบชาหรือเกี่ยวหญ้าเลี้ยงสัตว์
"อาชุน มากิน..."
เสียงของเด็กชายชะงักทันทีที่ก้าวเข้ามาในบ้านแล้วพบว่าแม่ที่ควรนอนอยู่ในห้องวันนี้กลับตื่นเช้ากว่าปกติ มือเล็กรีบขยับไปยังด้านหลังเพื่อซ่อนไข่ต้มสุกสองฟองในมือจากสายตาของมารดา แต่เมื่อเห็นว่าสายตาของเฉินซิ่วลี่จดจ้องมาที่เขาด้วยท่าทางนิ่งงัน ด้านข้างมีน้องชายฝาแฝดของเขานั่งอยู่อย่างสงบนิ่งก็จำต้องยื่นส่งไข่ทั้งสองฟองให้เธอ
ถือเสียว่าวันนี้เขากับน้องชายดวงไม่ดี อดอาหารเช้าสักวันก็แล้วกัน
เฉินซิ่วลี่รับไข่ต้มมาจากมือเล็ก เดิมทีตั้งใจจะตำหนิที่เขาออกจากบ้านสักประโยค แต่ภาพหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำเสียก่อน
เจ้าเด็กสารเลว แกกล้าซ่อนอาหารฉันเหรอ
มือที่กุมไข่ไก่สั่นสะท้าน ภาพเจ้าของร่างเดิมเดินออกจากห้องมาแย่งชิงอาหารจากมือของหลี่หมิงซ้อนทับกับการกระทำของเธอในตอนนี้ อีกทั้งหลังจากแย่งชิงของกินแล้วเจ้าของร่างเดิมยังด่าทอทุบตีเด็กชายตรงหน้าอย่างรุนแรง ก่อนจะให้พวกเขาสองพี่น้องนั่งคุกเข่ามองเธอกินอาหาร
ดวงตาเรียวร้อนผ่าว ดึงร่างผอมแห้งของหลี่หมิงเข้ามาโอบกอดแนบอก โหดร้าย... โหดร้ายเกินไปแล้ว ทำไมในโลกนี้ถึงมีมารดาที่โหดร้ายต่อลูกของตนเองได้ถึงขนาดนี้กัน
“อาหมิง แม่ขอโทษ”
ในใจของหลี่หมิงพลันเกิดความรู้สึกแปลกประหลาด สอดส่ายสายตามองไปรอบตัว แม่ของเขามีท่าทีอ่อนโยนเช่นนี้หรือว่าในบ้านจะมีใครแอบมองอยู่ หากไม่มีใครอยู่เช่นนั้นครั้งนี้แม่ต้องการหลอกเอาสิ่งใดจากเขากับน้องชายอย่างนั้นหรือ
หลี่หมิงไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นใดๆ จากอ้อมกอดนี้ ในใจของเขาล้วนแต่หวาดระแวงและสงสัย นั่นเพราะเมื่อเดือนก่อนแม่ก็มาทำดีกับเขาเช่นนี้ ทว่าสุดท้ายก็หลอกเอาสร้อยข้อเท้าที่พ่อซื้อให้เขากับอาชุนเป็นของขวัญวันเกิดครบรอบสองขวบไปขาย ดังนั้นหลี่หมิงจึงสลักเอาไว้ในใจไปแล้วว่า ไม่อาจเชื่อใจมารดา หากแต่แม้ในใจจะหวาดระแวงและไม่เชื่อใจในคำพูดของคนที่โอบกอด แต่หลี่หมิงก็ไม่ได้แสดงอาการต่อต้านหรือพูดออกมา เขาทำเพียงยืนนิ่งๆ ให้คนที่เรียกขานว่าแม่โอบกอดตามใจ
ขอเพียงแม่ไม่ทุบตีน้องชายกับเขา ก็แค่แกล้งโง่ ทำตัวว่าง่ายเชื่อฟังไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
“ต่อไปลูกๆ ไม่ต้องทำงานแล้วนะ”
“ไม่ทำงาน ก็ไม่ได้กินข้าวใช่ไหมครับ”
หลี่ชุนที่นั่งอยู่เอ่ยบอกเสียงอ่อน มือเล็กกำชายเสื้อเปื่อยๆ ของตัวเองก้มหน้ามองพื้น มารดากำลังจะให้เขาและพี่ชายอดอาหารอีกแล้วใช่ไหม เด็กน้อยขยับลงจากเก้าอี้แล้วทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าบนพื้น เช่นที่เคยทำทุกครั้งยามถูกสั่งให้อดอาหาร
เฉินซิ่วลี่มองเด็กชายอีกคนแล้วร้อนผ่าวในดวงตา ต่อให้เธอไม่ใช่แม่ที่แท้จริงๆ ของพวกเขา แต่ได้เห็นภาพเช่นนี้ก็สะท้านในอกและยากจะยอมรับ เด็กวัยสามขวบเช่นพวกเขาควรได้วิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน มีความสุขกับความรักของพ่อและแม่อันอบอุ่น เจ้าของร่างเดิมใช้ส่วนใดคิดจึงเลี้ยงดูพวกเขามาแบบนี้ สมควรแล้วที่ในช่วงสุดท้ายของชีวิตจะถูกบิดาของพวกเขาทรมานจนตาย
เฉินซิ่วลี่เอื้อมมือไปดึงหลี่ชุนเข้ามาโอบกอดไว้ในอ้อมแขนอีกคน หลี่ชุนตัวเกร็งเล็กน้อยแต่ไม่ได้ขัดขืนเช่นเดียวกับพี่ชาย
“ต่อไปพวกลูกไม่ต้องไปทำงาน เรื่องอาหารแม่จะจัดการเอง”
หลี่ชุนเงยหน้าขึ้นมองมารดาที่เปลี่ยนไปในช่วงข้ามคืนแล้วเม้มริมฝีปากแน่นดวงตาแดงก่ำ มารดาที่อ่อนโยนและห่วงใยพวกเขาเช่นนี้ ช่างดีนัก หากว่านี่เป็นแค่ความฝันเขาก็ขอหลับไปตลอดชีวิต แขนเล็กสั่นน้อยๆ ค่อยๆ สอดกอดมารดาด้วยท่าทางลังเล
ทว่าหลี่หมิงกลับไม่คิดเช่นน้องชาย แม่ที่อ่อนโยนเช่นนี้ย่อมต้องแลกมากับบางสิ่งอย่างแน่นอน
“เช่นนั้นจะให้พวกเราทำอะไรครับ”
ทำอะไร พวกเขาแค่สามขวบจะต้องทำอะไรกัน
“แค่ลูกๆ เป็นเด็กดีเชื่อฟังแม่ก็พอแล้ว”
เด็กดี เป็นเช่นไรหลี่หมิงไม่รู้จัก แต่เชื่อฟังมารดาเขาล้วนเข้าใจ ดังนั้นข้อแลกเปลี่ยนนี้นับว่ายังไม่ยากจนเกินไป
“ไปเถอะสายแล้วรีบไปกินข้าว”
หลี่ชุนนึกถึงอาหารบนโต๊ะแล้วก็รีบกลับมานั่งบนเก้าอี้อย่างเชื่อฟัง รสชาติซี่โครงหมูทอดเมื่อวานยังตราตรึงลิ้นจนท้องของเขาร้องเบาๆ ดวงตากลมมองข้าวสวยสีขาวพูนชามที่ถูกส่งมาด้วยสายตาวาวโรจน์
ขณะที่หลี่หมิงมองกับข้าวง่ายๆ สามอย่างบนโต๊ะและข้าวสวยตรงหน้าแล้วขมวดคิ้ว มองมารดาที่กำลังปอกไข่ให้พวกเขาคนละฟองด้วยความสงสัย
เหตุใดจึงต้องทำดีกับพวกเขาขนาดนี้ แม่กำลังต้องการสิ่งใดกันแน่ หรือว่าแม่ตั้งใจจะเลี้ยงดูพวกเขาจนสมบูรณ์ แล้วค่อยขายออกไปในราคาที่สูงกว่าครั้งก่อน
การยกลูกหลานให้ผู้อื่นเลี้ยงเพื่อตัดภาระในบ้านเป็นเรื่องที่คนในชนบททำกันเป็นปกติ เพราะนอกจากจะลดภาระค่าใช้จ่ายในบ้านแล้ว คนรับเลี้ยงยังให้ค่าน้ำชาเป็นเงินหยวนอีกไม่น้อยด้วย แน่นอนว่าค่าน้ำชานี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพของเด็กๆ ที่ถูกรับไปเลี้ยงอีกที ดังนั้นในใจของหลี่หมิงจึงสรุปได้เช่นนั้น
“อาหมิง อาชุนกินให้มาก กินเสร็จแล้วค่อยไปวิ่งเล่น บ่ายๆ ก็กลับมากินข้าวแล้วนอนกลางวัน”
“ครับ”
หลี่ชุนขานรับก่อนจะคีบผัดแตงกวาใส่ไข่เข้าปาก รสชาติกลมกล่อมกำลังดีทำให้แววตากลมเปล่งประกาย พริบตาข้าวในถ้วยก็พร่องไปเกินขึ้น ไม่คิดว่ารสมือของแม่จะดีถึงเพียงนี้
“ไม่ได้ครับ”
หลี่หมิงปฏิเสธเสียงนิ่ง ตะเกียบในมือคีบอาหารด้วยท่าทางสุขุม แม้จะรู้สึกพอใจต่อรสชาติอาหารแต่ก็พยายามข่มใจกินให้น้อยเข้าไว้ เพื่อที่จะได้ถ่วงเวลาไม่ให้ตัวเองสมบูรณ์เร็วเกินไป หากร่างกายยังไม่สมบูรณ์แม่ก็จะยังไม่ขายเขาออกไป
“ทำไมเล่า หรือว่าอาหมิงอยากทำอย่างอื่น”
“ยังทำงานไม่เสร็จครับ”
ความจริงแล้วเขาแค่ตั้งใจเอาไข่ต้มมาให้หลี่ชุนกินเป็นมื้อเช้า เสร็จแล้วก็จะกลับไปทำงานต่อ ทว่าเฉินซิ่วลี่ที่ตอนนี้ตั้งใจแล้วว่าจะเลี้ยงดูเด็กชายทั้งสองให้ดีย่อมไม่ยินดีให้เขากลับไปทำงาน
“ไม่ต้องไปทำแล้ว แม่บอกแล้วไงว่าจะหาเลี้ยงลูกๆ เอง”
“รับปากแล้ว ไม่ไปทำไม่ได้ครับ”
“งั้นเดี๋ยวแม่จะไปทำแทนเอง”
ทำแทน แม่ของเขาผู้นี้น่ะหรือจะทำงาน ปกติแม้แต่งานบ้านเธอยังไม่ทำ จะไปทำงานใช้แรงงานเช่นนั้นได้อย่างไร
“ไม่เป็นไรครับผมทำเองน่าจะดีกว่า”
อะไรคือเขาทำได้ดีกว่า เฉินซิ่วลี่มองเด็กชายตรงหน้านิ่ง อย่างน้อยร่างนี้ก็อายุยี่สิบแล้วจะทำงานได้แย่กว่าเด็กสามขวบเช่นเขาได้ยังไง
“ตามใจแม่ครับ”
เมื่อเห็นท่าทางคล้ายไม่พอใจของมารดา หลี่หมิงก็ไม่คิดดื้อรั้นให้อีกฝ่ายอารมณ์ขุ่นเคือง ตัวเขาไม่กลัวหากจะถูกทุบตี แต่ไม่ต้องการให้หลี่ชุนถูกทุบตีไปด้วย จึงจำใจยอมคล้อยตามคำบอกของคนตรงหน้า
.........................................