บทที่ 2.3
แม่ที่น่าโมโห
เฉินซิ่วลี่แทบอยากจะขอคืนคำพูดของตนเอง เดิมทีคิดว่าก็แค่เก็บชาเกี่ยวหญ้าเลี้ยงสัตว์ง่ายๆ ไม่ได้ยุ่งยากวุ่นวายอะไร หลี่หมิงอายุสามขวบยังทำได้ แล้วทำไมเธอที่อยู่ในร่างของหญิงสาววัยยี่สิบจะทำไม่ได้ ทว่าที่เฉินซิ่วลี่คาดไม่ถึงก็คือร่างกายนี้ดันเแพ้ขนหญ้า ทำงานได้เพียงหนึ่งชั่วโมงผื่นแดงก็ขึ้นทั้งตัว สุดท้ายยังต้องลำบากให้ ถังซาน บุตรชายลำดับที่สามของผู้ใหญ่บ้านถังปั่นจักรยานพาเธอไปส่งยังสถานพยาบาลหมู่บ้าน
“นี่เป็นยาแก้แพ้กินครั้งละเม็ดวันละสามครั้งหลังอาหาร ส่วนนี่ยาทาแก้ผดผื่น ทั้งหมด 3 หยวนครับ”
กู้เหยียน เอ่ยบอกพร้อมกับส่งถุงยาให้ เฉินซิ่วลี่รับซองกระดาษสีน้ำตาลตรงหน้ามาถือเอาไว้ด้วยสีหน้าไม่ดีนัก ทำงานครั้งแรกไม่เพียงไม่ได้ค่าจ้างยังต้องเสียค่ายาอีก หากเด็กชายทั้งสองคนรู้เข้าคงผิดหวังในตัวเธออย่างแน่นอน หากแต่ตอนที่เฉินซิ่วลี่กำลังจะเอ่ยปากขอกลับไปเอาเงินหยวนที่บ้านมาจ่ายค่ายา บนโต๊ะจ่ายยาก็มีคนวางเงินจ่ายแทน
เฉินซิ่วลี่เงยหน้ามองเจ้าของเงินด้วยความสงสัย ถังซานถอนหายใจอย่างนึกรำคาญแล้วพูดเสียงห้วน
“เธอป่วยเพราะทำงานให้ฉัน ฉันจ่ายค่ายาให้ก็สมควรแล้วไม่ใช่หรือไง”
“แต่ว่า...”
“ค่าแรงวันละหนึ่งหยวน เธอมาทำงานอีกสามวันก็ครบค่ายาวันนี้พอดี”
เฉินซิ่วลี่อ้าปากค้าง เดิมทีคิดว่าได้พบเจอนายจ้างคนดีมีน้ำใจ ไม่คิดว่าเพียงพริบตาจะกลายเป็นนายจ้างหน้าเลือดแทน ใบหน้าสวยพลันงอง้ำจนชายหนุ่มที่นั่งตรงหน้าอดที่จะขบขันไม่ได้
“ถ้าพรุ่งนี้อาการไม่ดีขึ้นคุณเฉินมาตรวจซ้ำนะครับ”
กู้เหยียนบอกเสียงนุ่ม หากวันนี้หญิงสาวมาเพียงคนเดียวเรื่องค่ายา 3 หยวนนี้เขาย่อมยินดีจ่ายแทนเธอ แต่เพราะมีคนอื่นอยู่ด้วยหากเขาไม่เก็บค่ายาเรื่องนี้แพร่ออกไปผู้คนคงตำหนิเขา และอาจวุ่นวายเกิดกรณีไม่ยินดีจ่ายค่ายาขึ้น
“ค่ะ”
เฉินซิ่วลี่ตอบด้วยน้ำเสียงติดไม่พอใจเล็กน้อยเพราะยังอารมณ์ค้างกับการเป็นหนี้กะทันหันของตัวเอง หรือเธอควรแบ่งเอาเงินเก็บสามพันหยวนนั้นมาใช้หนี้ให้มันจบๆ ไปดี ทว่าเมื่อคิดถึงเหตุผลที่ต้องใช้อธิบายแหล่งมาของเงินก้อนนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจยาว ทำได้เพียงอดกลั้นความไม่พอใจนี้เอาไว้
ชดใช้ก็ชดใช้สิก็แค่ทำงานสามวันจะยากเย็นอะไร
ถังซานมองหญิงสาวที่ตวัดสายตาค้อนเขาตลอดทางที่เดินออกจากสถานพยาบาลหมู่บ้านแล้วยกมุมปากขึ้นอย่างเย้ยหยัน ก่อนหน้านี้หลี่หมิงมาขอทำงานที่ไร่ของเขาถังซานก็นึกโมโหเฉินซิ่วลี่อยู่ไม่น้อย เธออายุ 20 ปีกลับให้เด็ก 3 ขวบทำงานหาเลี้ยง ช่างน่าละอายจริงๆ แต่เพราะรู้ดีว่าหญิงสาวคนนี้มีนิสัยอย่างไร เพื่อไม่ให้ชีวิตของเด็กๆ ยากลำบากมากกว่าเดิมเขาจึงมอบงานเล็กๆ น้อยๆ อย่างการเก็บชา เกี่ยวหญ้าให้หลี่หมิงทำ ทุกวันยังมอบอาหารให้เขานำกลับไปกินกับน้องชายด้วย
“วันนี้ผมมีธุระไม่สะดวกไปส่ง คุณเดินกลับเองก็แล้วกันนะ”
เดินกลับเอง! เฉินซิ่วลี่ เงยหน้ามองท้องฟ้าที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นสีส้มแล้วได้แต่อ้าปากค้างเป็นรอบที่สอง ผู้ชายคนนี้ช่างน่าโมโหนัก แต่ความจริงแล้วแค่เขาปั่นจักรยานมาส่งเธอก็นับว่ามีน้ำใจมากแล้ว
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณที่เป็นธุระมาส่งค่ะ”
ขอบคุณ หญิงสาวตรงหน้ากำลังขอบคุณเขาอย่างนั้นหรือ เป็นไปได้อย่างไรกัน ไม่ใช่ว่าภรรยาของสหายคนนี้ทั้งรังเกียจและดูแคลนเขามาตลอดหรือ
เพราะเขามีอาชีพทำไร่ร่างกายกำยำ ผิวคล้ำ ดูสกปรก ก่อนหน้านี้เฉินซิ่วลี่จึงมักมองเขาด้วยสายตาดูถูกดูแคลนมาตลอด ในใจของถังซานจึงไม่พอใจอยู่ไม่น้อย วันนี้ได้ยินเธอเอ่ยขอบคุณด้วยท่าทางจริงใจจึงรู้สึกแปลกใจ
“ความจริงแล้ว...”
“คุณเฉิน ยังไม่กลับหรือครับ”
เสียงของกู้เหยียนดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อนที่ถังซานจะพูดจบ หางตาของชายหนุ่มเจ้าของไร่ชาจึงตวัดมองอีกฝ่ายด้วยท่าทางไม่พอใจ
“กำลังจะกลับแล้วค่ะ”
“พอดีเลย ผมกำลังจะเอายาไปให้ป้าชุนที่ท้ายหมู่บ้าน คุณเฉินไปด้วยกันไหมครับหรือว่าคุณจะกลับพร้อมอาซาน”
“คุณถังมีธุระค่ะ คงต้องรบกวนคุณหมอกู้แล้ว”
“ยินดีครับ คุณเฉินรอผมตรงนี้ เดี๋ยวผมไปเอาจักรยานสักครู่”
ถังซานมองสองชายหญิงที่ตอบตกลงกลับบ้านด้วยกันแล้วกำมือแน่น ยิ่งเห็นเฉินซิ่วลี่พยักหน้ารับจนหัวคลอนในทันทีที่อีกฝ่ายอาสาไปส่งราวกับกลัวว่ากู้เหยียนจะเปลี่ยนใจก็ยิ่งรู้สึกไม่หงุดหงิด อาเฉิงตายจากไปแค่ไม่กี่เดือนภรรยาอย่างเธอก็คิดหาสามีใหม่แล้วหรือ ช่างน่าโมโหนัก เขาหมุนจักรยานปั่นออกไปอย่างหงุดหงิดจนฝุ่นดินตลบฟุ้งใส่คนทั้งสอง
"ดูเหมือนคุณถังเขาจะรีบมากจริงๆ นะคะ"
เฉินซิ่วลี่ยกมือปัดฝุ่นดินตรงหน้าแล้วเอ่ยบอกแบบประชดประชัน กู้เหยียนมองเธอแล้วอดที่จะยิ้มตามไม่ได้ รีบเดินไปหยิบจักรยานวางถุงยาและกระเป๋าใบเล็กลงในตะกร้าด้านหน้า ก่อนหยุดให้เธอขึ้นนั่งด้านหลังแล้วปั่นออกไป
มือเล็กวางจับที่ชายเสื้อด้านหลังของเขาอย่างไว้ตัว โดยไม่ได้โอบกอดเช่นที่ผู้อื่นชอบกระทำเวลาซ้อนอยู่ด้านหลังจักรยาน มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะปั่นจักรยานไปตามเส้นทางเล็ก ในใจพลันเกิดความรู้สึกยินดีขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
.........................................
“ไอ้เด็กหัวขโมย วันนี้ฉันจะตีแกให้ตาย”
เสียงดุด่าดังออกมาจากรั้วบ้านตระกูลหลี่ เฉินซิ่วลี่ที่นั่งซ้อนท้ายจักรยานของกู้เหยียนกลับบ้านกระโดดลงจากท้ายรถจักรยานจนคนที่กำลังปั่นอยู่ใจหาย เร่งบีบคันเบรกเพื่อหยุดรถ ทว่าวงล้อรถไม่ทันหยุดหมุน คนก็วิ่งเข้าไปในบ้านแล้ว
“หยุดนะ!”
เฉินซิ่วลี่ร้องห้ามเสียงลั่นเมื่อเห็นว่าหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอกำลังง้างแขนตีเด็กชายทั้งสองที่กอดกันกลม ในใจพลันเกิดโทสะที่ยากจะอดกลั้น สาวเท้าเข้าไปจับข้อมือที่ง้างขึ้นแล้วบิดจนเกิดเสียงดังกร๊อป! ก่อนดันคนจนล้มลงไปกองกับพื้นอีกด้าน
“โอ๊ย! หญิงหน้าด้านแกกล้าหักมือฉันเหรอ”
เฉินซิ่วลี่ไม่สนใจคนที่ร้องโวยวายรีบหันกลับไปดูเด็กชายที่กอดกันกลมอยู่บนพื้น นั่งลงจับตัวพวกเขาสำรวจร่างกายด้วยความห่วงใย
“พวกเราไม่เป็นอะไรครับแม่”
หลี่หมิงเอ่ยตอบเสียงหนัก บ่งบอกถึงความพยายามอดกลั้นเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่ร้องไห้ ขณะที่หลี่ชุนนั้นร้องโฮตัวสั่นน้ำตาอาบแก้มอยู่ในอ้อมแขนพี่ชาย เห็นท่าทางเช่นนี้ของเด็กๆ เฉินซิ่วลี่ก็ใจสั่นสะท้านยิ่งเห็นหยาดน้ำสีแดงหยดลงบนต้นแขนของหลี่หมิง ความโกรธเคืองในใจของเฉินซิ่วลี่ก็ยิ่งเพิ่มทวีลุกขึ้นเดินเข้าไปหาหลี่อันอันที่นั่งร้องโวยวายอยู่บนพื้น ตวัดเรียวขานั่งคร่อมร่างคนแล้วง้างมือตบหน้าอีกฝ่ายจนมุมปากคนมือเจ็บมีเลือดไหลซึม
“กรี๊ด! นางสารเลวแกกล้าตีฉัน”
“เธอตีลูกฉัน ฉันตีเธอแบบนี้ก็สมควรแล้วไม่ใช่หรือไง”
เฉินซิ่วลี่ที่ถูกโทสะเข้าครอบงำ ไม่สนใจว่าเด็กทั้งสองจะกระทำเรื่องผิดถูกอันใดจึงทำให้หญิงสาวคนนี้ทุบตีพวกเขา แต่เด็กๆ เป็นคนของเธอ กล้าตีพวกเขาก็สมควรถูกตีกลับเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
กู้เหยียนร้องถามด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจระคนห่วงใย ทีแรกเขาได้ยินเสียงเด็กร้อง ต่อมาหลังจากที่เฉินซิ่วลี่วิ่งเข้าบ้านนอย่างเร่งรีบก็ได้ยินว่ามีการตบตี จึงถือวิสาสะเข้ามาในบ้านคนอื่น มือหนารีบเอื้อมไปดึงคนที่กำลังตบตีผู้อื่นออกมาก่อนที่เธอจะลงมือจนอีกฝ่ายเจ็บหนักเกินไป
"คุณเฉินใจเย็นก่อนนะครับ"
เฉินซิ่วลี่สูดลมหายใจเข้าและผ่อนออกมองคนที่มือหัก ใบหน้ามีแต่ริ้วรอยฝ่ามือของเธอแล้วโทสะที่พลุ่งพล่านก่อนหน้าก็ค่อยๆ ทุเลาลง หากจะหวังว่าเธอจะเป็นตัวละครที่ทะลุมิติมาเพื่อยอมให้ถูกรังแก บอกเลยว่าไม่มีทาง
"เราไปดูเด็กๆ กันก่อนเถอะครับ"
เป็นอีกครั้งที่กู้เหยียนพูดดึงสติของเธอ เฉินซิ่วลี่จึงรีบหมุนตัวไปดูเด็กๆ ในทันที หลี่อันอัน เห็นกู้เหยียนผู้ชายที่ตนเองหมายตาปรากฏตัวแบบกะทันหันก็รีบปั้นเรื่องทำตัวเป็นถูกกระทำในทันที
“ไอ้เด็กสวะ เอ่อ... หลานชายสองคนนั่นเข้าไปขโมยข้าวสารและเนื้อหมูจากบ้านฉันมาค่ะ ฉันจึงได้มาอบรมสั่งสอนแต่เฉินซิ่วลี่เธอไม่พอใจก็เลยหักมือและทุบตีฉัน พี่กู้คะพี่ช่วยดูมือกับหน้าให้ฉันหน่อยได้ไหมคะฉันเจ็บมากๆ เลย”
เฉินซิ่วลี่ขบกรามแน่น ข้าวสารและเนื้อในครัวเป็นเธอที่ซื้อมาจากร้านสหกรณ์หมู่บ้านเมื่อวาน ลูกชายของเธอจะเป็นขโมยได้อย่างไร
“ขอผมดูหน่อยนะครับ”
หลี่อันอันยิ้มกว้างส่งมือที่เจ็บของตนให้เขาดู แต่ชายหนุ่มกลับเดินผ่านไปยังเด็กน้อยสองคนที่เนื้อตัวช้ำไปหมด เขายังเห็นหยดเลือดที่พื้นเมื่อสำรวจตรวจร่างกายของเด็กชายทั้งสองก็พบว่าหัวของหลี่หมิงยังมีรอยเลือดไหลซึม นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้เฉินซิ่วลี่ผู้เป็นแม่โกรธจนหักมือคน
“แผลไม่ใหญ่มาก แต่ต้องล้างและทำแผลให้ดีเดี๋ยวผมออกไปเอากระเป๋ายาก่อนนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
กู้เหยียนพูดกับเฉินซิ่วลี่จบก็รีบออกไปเอากระเป๋ายาที่หน้ารถจักรยานโดยไม่แม้แต่จะชายตามองหญิงสาวมือหักที่เอ่ยเรียกเขาอย่างออดอ้อน
“พี่กู้คะ พี่ช่วยดูมือให้ฉันก่อนสิคะ ฉันเจ็บมากเลย”
หลี่อันอันยังไม่ยอมแพ้เมื่อกู้เหยียนเดินกลับเข้ามาพร้อมกระเป๋ายาก็รีบขยับตัวไปขวางยื่นมือที่ผิดรูปของตัวเองให้เขาดู กู้เหยียนหยุดเท้ายกมือขึ้นขยับแว่นสายตาของตนเองแล้วถอนหายใจเบาๆ
“กระดูกข้อมือหักต้องเข้าเฝือก ผมแนะนำคุณรีบเข้าเมืองไปโรงพยาบาลเถอะครับ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวกระดูกติดผิดรูปมือจะบิดเบี้ยวไม่ปกติ”
เมื่อได้ยินว่ามือของตนเองจะบิดเบี้ยวไม่ปกติ หลี่อันอันก็หวาดกลัวจนรีบวิ่งไปหามารดาในทันที
“โชคดีที่แผลไม่ลึกแล้วก็ไม่ใหญ่มาก ไม่ถึงกับต้องเย็บ แค่ทำความสะอาดใส่ยาแล้วก็ปิดแผลเอาไว้ก็พอ เจ็ดวันนี้ห้ามให้โดดน้ำนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
หลี่หมิงกำมือขบกราม ใบหน้าของเด็กน้อยมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นจนหยดลงที่ปลายคางเล็ก แต่ถึงจะเจ็บจนตัวสั่นเขาก็ไม่ร้องออกมาแม้แต่น้อย
“สมกับเป็นลูกชายของอาเฉิงจริงๆ”
กู้เหยียนเอ่ยชมหลังจากปิดแผลให้หลี่หมิงแล้ว หากแต่คำเรียกขานชื่อสามีของเธอแบบสนิทสนมนี้ทำให้เฉินซิ่วลี่ขมวดคิ้วเล็ก กู้เหยียนย่อมมองสายตาสงสัยของหญิงสาวออก เขาส่งยิ้มอบอุ่นเก็บเครื่องมือทำแผลไปพลางอธิบายความสัมพันธ์ของตนเองกับหลี่อันเฉิงไปพลาง
“เมื่อก่อนผมกับอาเฉิงเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันครับ ถึงไม่สนิทมากแต่ก็พอคุ้นเคยกันอยู่ไม่น้อย อาเฉิงในวัยเด็กเหมือนอาหมิงมากทีเดียว”
เฉินซิ่วลี่ยิ้มแห้ง หากคนตรงหน้าสนิทสนมกับสามีเธอก็คงรู้เรื่องที่เจ้าของร่างเดิมทำไปไม่มากก็น้อย ใบหน้าของเฉินซิ่วลี่พลันรู้สึกร้อนวูบขึ้นมาด้วยความอับอายต่อการกระทำในอดีตของเจ้าของร่างเดิม
“ยังไงพรุ่งนี้พาอาหมิงไปให้ผมล้างแผลด้วยนะครับ”
“อ่อ... ค่ะ”
.........................................