บทที่ 1.2
แม่ที่เปลี่ยนไป
เฉินซิ่วลี่ประคองเด็กชายสองคนเข้ามาในบ้าน ถึงแม้บทบาทที่เกี่ยวข้องกับตัวละครเฉินซิ่วลี่ในนิยายจถูกกล่าวถึงไม่มาก แต่เรื่องตำแหน่งบ้านหลังต่างๆ ในตระกูลหลี่ผู้แต่งได้บรรยายเอาไว้ค่อนข้างละเอียดเลยทีเดียว อาจเพราะหลี่อันเฉิงเป็นตัวร้ายหลักของเรื่อง ดังนั้นถึงจะเป็นครั้งแรกที่ก้าวเท้าเข้ามาในรั้วบ้านตระกูลหลี่ เฉินซิ่วลี่ก็เดินไปยังตำแหน่งบ้านที่เธอกับเด็กๆ พักอาศัยได้อย่างถูกต้อง แต่ถึงจะบอกว่าผู้แต่งบรรยายลักษณะตำแหน่งบ้านตระกูลหลี่ได้ละเอียด แต่ก็ไม่เคยบรรยายลักษณะตัวบ้านที่พวกเขาอาศัย
ดวงตาของเฉินซิ่วลี่เบิกกว้างมองบ้านดินสองห้องนอน หนึ่งห้องครัวที่สภาพทรุดโทรมพร้อมถล่มลงมาได้ตลอดเวลาตรงหน้าแล้วลำคอแห้งผาก ผู้อื่นทะลุมิติข้ามเวลามาล้วนมีต้นทุนที่ดี หรือไม่ก็มีโปรแกรมผู้ช่วย มีมิติเวลาที่อุดมสมบูรณ์ ทว่าเธอกลับไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากเงิน 3,000 หยวน ที่เจ้าของร่างหยิบเอาของผู้อื่นมา
หากบอกว่าสภาพตัวบ้านภายนอกทำให้เฉินซิ่วลี่เบิกตากว้าง เวลานี้สภาพในตัวบ้านกลับยิ่งทำให้เธอตาแทบถลน
ไม่ใช่ว่าเจ้าของร่างเดิมผู้นี้รักสวยรักงามเป็นอย่างยิ่งหรือไง ทำไม่สภาพบ้านถึงได้...
ท้องไส้ของเฉินซิ่วลี่พลันปั่นป่วนมองดูสภาพภายในบ้านที่ทั้งรกทั้งสกปรกจนแทบจะไม่มีทางเดิน อีกทั้งยังมีกลิ่นเน่าเสียของอาหารลอยคละคลุ้งชวนคลื่นไส้ ในที่สุดเธอก็ยากจะทำใจยอมรับกับเรื่องตรงหน้า ตัดสินใจอุ้มเด็กชายทั้งสองหมุนตัวเดินออกจากรั้วบ้านตระกูลหลี่ในทันที
"พวกเราจะไปไหนหรือครับ"
หลี่ชุนเอ่ยถามเสียงเบาแต่เฉินซิ่วลี่ที่กำลังเร่งฝีเท้าไม่เอ่ยตอบ เมื่อเห็นแม่นิ่งงันเด็กทั้งสองก็สงบคำทำตัวราวกับเป็นตุ๊กตาผ้าถูกอุ้มอยู่เงียบๆ
เฉินซิ่วลี่จำได้ว่าในนิยายเรื่อง “เล่ห์แค้นรักลวง” กล่าวถึงสถานพยาบาลขนาดเล็กในหมู่บ้านอยู่หลายหน เด็กแฝดทั้งสองถูกทุบตีก็สมควรพาไปตรวจ แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นก็คือ
อย่างไรคืนนี้เธอก็ไม่อาจทำใจนอนในกองขยะนั้นได้ จึงจำเป็นต้องหาที่นอนสะอาดๆ สักคืน
แม้เจ้าก้อนแป้งทั้งสองจะผอมแห้งจนหนังหุ้มกระดูก แต่เมื่อต้องอุ้มนานๆ ก็ทำเอาปวดแขนอยู่ไม่น้อย เด็กชายที่ตัวสูงกว่าอีกคนสังเกตเห็นใบหน้าของแม่มีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นก็เอ่ยเสียงสั่นด้วยอาการหวาดกลัวอยู่ในที
“แม่ครับพวกเราเดินได้ครับ”
สองเด็กชายไม่ถามถึงสถานที่ที่เฉินซิ่วลี่จะพาไป เขาเพียงเอ่ยให้เธอวางพวกเขาลง เพราะพวกเขาจำได้ดีว่าหากแม่เหนื่อยแม่ก็จะโมโห หากแม่โมโหแม่ก็จะทุบตีพวกเขา ดังนั้นเพื่อไม่ให้ถูกทุบตีซ้ำ ต่อให้ต้องคลานไปเบื้องหน้าเด็กชายทั้งสองก็ยินดี
เฉินซิ่วลี่มองอาการที่นิ่งสงบแต่ตื่นตัวและหวาดระแวงตลอดเวลาของเด็กทั้งสองแล้วได้แต่สะท้อนในอก เจ้าของร่างเดิมคงสร้างรอยแผลในใจของเด็กชายทั้งสองไม่น้อยเลยทีเดียว
“หลี่ชุน”
เพราะเฉินซิ่วลี่ไม่รู้ว่าใครคือหลี่ชุน ใครคือหลี่หมิง จึงทำได้เพียงทดลองเรียกชื่อหนึ่งในพวกเขาสองคน ทว่ากลับทำให้เด็กน้อยทั้งสองมีอาการตื่นตระหนกทิ้งตัวลงคุกเข่าในทันที เด็กชายที่ตัวสูงกว่าเล็กน้อยรีบขยับมาเบื้องหน้าบังอีกคนที่ดูบอบบางกว่าไว้เบื้องหลัง
“แม่ครับ น้องชายไม่ได้ตั้งใจ พวกเราขอโทษ หากแม่จะตีก็ตีผมแทน”
ตี ทำไมเธอต้องตีพวกเขาด้วยเฉินซิ่วลี่ถอนหายใจยาว มองเด็กชายทั้งสองแล้วก็พอจะคาดเดาชื่อของอีกฝ่าย
“แม่แค่จะถามอาชุนว่าเดินไหวหรือไม่ หากไม่ไหวก็มาขี่หลังแม่”
ดวงตาของเด็กชายทั้งสองเบิกกว้างกับคำพูดและท่าทางที่เปลี่ยนไปของคนเป็นแม่
หลี่ชุนพลันขยับตัวหลบหลังคนเป็นพี่ มือผอมแห้งจับชายเสื้อที่ทั้งเก่าทั้งขาดของเขาเอาไว้มั่น ก่อนหน้านี้คนตรงหน้าโอบอุ้มพาพวกเขาเดินออกมาจากรั้วบ้านตระกูลหลี่ ในใจของหลี่ชุนก็กลัวจนแทบจะไม่กล้าหายใจ แต่เพราะเห็นว่าในอ้อมแขนอีกข้างของคนอุ้มมีพี่ชายฝาแฝดอยู่จึงวางใจ ทว่าหากตอนนี้ให้เขาขึ้นขี่หลังมารดา ก็เท่ากับสร้างความยากลำบากให้เธอพรุ่งนี้ไม่รู้ว่าจะต้องถูกทำโทษอย่างไรบ้าง
“พวกเราเดินไหวครับ แม่ไม่ต้องห่วง”
หลี่หมิงไม่ต้องสบตาหรือถามไถ่ก็รู้ความคิดของน้องชายจึงเป็นคนบอกปัดความช่วยเหลือที่มารดาหยิบยื่นมา เฉินซิ่วลี่ย่อมเข้าใจเด็กๆ ดี ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดันบังคับอะไร ลุกขึ้นยืนผายมือให้พวกเขาเดินนำทาง
“อย่างนั้นพวกลูกๆ มาเดินนำทาง แม่จะคอยระวังหลังให้”
“นำทางไปไหนครับ”
“ไปสถานพยาบาลหมู่บ้าน”
สถานพยาบาลหมู่บ้าน นี่แม่คงไม่คิดเอาพวกเขาไปขายให้คุณหมอกู้ เจ้าหน้าที่ที่มาประจำการอยู่ที่นั่นใช่หรือไม่ แต่ถึงเธอจะทำเช่นนั้นพวกเขาที่ยังเป็นเพียงเด็กสามขวบจะต่อต้านอะไรได้ สุดท้ายก็ยอมก้าวขาเล็กๆ เดินไปข้างหน้า อย่างยอมรับในโชคชะตา
.........................................
เมื่อมาถึงสถานพยาบาลหมู่บ้านหลี่หมิงก็ขมวดคิ้วเล็กอย่างสงสัย เพราะแม่ไม่ได้พาเขากับน้องชายมาขายอย่างที่คิด แต่กลับพามาตรวจร่างกายและรับยา
“เด็กๆ ไม่ได้เป็นอะไรมาครับ มีเพียงรอยฟกช้ำกับแผลเก่าเท่านั้น”
กู้เหยียน เจ้าหน้าที่ประจำสถานพยาบาลหมู่บ้านเอ่ยบอกผลการตรวจเบื้องต้น
“แต่ผมไม่ใช่หมอ หากคุณอยากตรวจเด็กๆ ให้ละเอียดผมแนะนำให้พาไปที่โรงพยาบาลในเมืองครับ”
“ตอนนี้มืดแล้วฉันไม่สะดวกพาพวกเขาเข้าเมืองค่ะ คงต้องเป็นวันพรุ่งนี้”
กู้เหยียนพยักหน้ารับ แม้หมู่บ้านตงหยางจะไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก แต่เดินเท้าไปก็ใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้เป็นเวลากลางคืนหนึ่งหญิงสาวกับสองเด็กน้อยเดินเท้าฝ่าความมืดยังไงก็ไม่ปลอดภัย
“อย่างนั้นก็แล้วแต่คุณครับ”
“แต่จะพาพวกเขากลับบ้านก็ไม่วางใจ จะเป็นอะไรไหมคะถ้าคืนนี้ฉันกับลูกจะขอนอนค้างที่นี่สักคืน หากพวกเขามีอาการเปลี่ยนแปลงอย่างน้อยก็มีคุณช่วยตรวจเบื้องต้นให้”
เฉินซิ่วลี่พูดด้วยน้ำเสียงกังวล เดิมทีเธอพอจะประเมินอาการของเด็กๆ ได้ว่าไม่หนักมาก ดังนั้นระหว่างมาที่นี่จึงได้ให้พวกเขาเดินเอง แต่เหตุผลที่ต้องขอค้างที่สถานพยาบาลหมู่บ้านก็เพราะเธอยังรับกับสภาพบ้านใหม่ของตัวเองไม่ได้
“ได้ครับ ที่ห้องพักฟื้นไม่มีคนไข้คุณกับเด็กๆ นอนพักที่นั่นได้”
กู้เหยียนไม่ใช่คนใจจืดใจดำถึงขั้นจะไล่คนกลับบ้านในเวลาค่ำๆ มืดๆ อีกอย่างแค่ขอนอนพักก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร เฉินซิ่วลี่ยิ้มกว้างเอ่ยขอบคุณชายหนุ่มก่อนจะพาเด็กๆ ไปยังห้องพักฟื้นที่เขาบอก
สายตาของชายหนุ่มมองตามแผ่นหลังเล็ก หมู่บ้านตงหยางไม่ได้กว้างขวางมากนัก เรื่องราวต่างๆ จึงรู้กันโดยทั่ว เช่นเดียวกับเรื่องของเฉินซิ่วลี่ที่ผู้คนต่างเล่าลือกันว่าเธอใช้แผนสกปรกแย่งคู่หมั้นของญาติผู้พี่ เมื่อแต่งงานมีลูกก็ไม่สนใจทำหน้าที่แม่ เงินทองที่หลี่อันเฉิงผู้เป็นสามีส่งมาให้ก็นำมาบำรุงปรนเปรอตนเอง สุดท้ายเมื่อหลี่อันเฉิงตายไปยังไม่ทันถึงสามเดือนก็หนีตามชายชู้ไป
ทว่าสิ่งที่เขาเห็นกลับตรงหน้า สายตาที่มองเด็กๆ ของเฉินซิ่วลี่ล้วนเต็มไปด้วยความโอบอ้อมอารี ท่าทีที่แสดงก็ดูจริงใจไม่เสแสร้ง ชายหนุ่มมองคนที่กำลังห่มผ้าให้เด็กชายทั้งสองอย่างใส่ใจแล้วยกมุมปากขึ้นยิ้มบาง เรื่องบางเรื่องเพียงได้ยินจากปากผู้อื่นก็ไม่อาจตัดสินได้จริงๆ
.................................................