ทั้งคู่กลับถึงบ้านแล้ว และชายหนุ่มก็เลือกที่จะเดินหนีขึ้นชั้นบนโดยที่ไม่ได้พูดจาอะไรเลยแม้แต่น้อย ระรินจึงได้แต่ยืนมองกับข้าวและขนมหวานที่ตั้งใจซื้อมาทานด้วยกัน
เธอกลืนก้อนสะอื้นลงคออย่างยากลำบาก ลมหายใจก็ผ่าวร้อนราวกับคนจับไข้ ขอบตาที่เริ่มพร่าเลือนเพราะม่านน้ำตาบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเธอกำลังเสียใจมากแค่ไหน
“พี่ไปนอนห้องเล็กนะ” เขาบอกพร้อมกับเดินสวนออกไปโดยที่ไม่มองหน้าเธอเลยสักนิดซึ่งระรินก็ไม่คิดจะรั้งไว้
เขาอยากทำอะไรก็ให้เขาทำ เพราะข้อตกลงของเรามันมีแค่การแต่งงานบังหน้าในระยะเวลาเพียงหกเดือนเท่านั้น
ร่างบอบบางทำทุกอย่างด้วยความเหม่อลอย เธอมองไปตรงไหนของห้องนี้ก็เจ็บเสียดหัวใจไปหมด
เตียงที่เรานอนกอดกัน
โต๊ะเครื่องแป้งที่เรามักจะมานั่งทาครีมด้วยกัน
ห้องน้ำที่เคยอาบด้วยกันและร่วมรักกันอย่างอ่อนหวาน
ตอนนี้ความรู้สึกเหล่านั้นมันจางจนแทบสัมผัสไม่ได้แล้ว
“ว่าไงโม” ร่างสูงใช้ไหล่หนีบโทรศัพท์ไว้แนบใบหู ในขณะที่กำลังจดจ้องหน้าจอแล็ปท็อปด้วยแววตาเคร่งเครียด ร่างบางที่เดินเอานมอุ่นๆ มาให้เขาก็ต้องชะงักเท้าตามไปด้วย
“คุยได้ ว่ามาสิ”
ทั้งที่ยุ่งขนาดนี้ เครียดขนาดนี้เขาก็ยังอุตส่าห์มีเวลาคุยโทรศัพท์กับเพื่อน
เพื่อนที่ชื่อโมนา
ระรินพยายามจะไม่คิดมากแต่หลายสิ่งหลายอย่างมันก็เตือนเธอแล้วว่าให้เลิกหลอกตัวเองสักที
“เดี๋ยวไปคุยกันที่บริษัทนะ” ชายหนุ่มเหลือบสายตาไปเห็นร่างบางจึงต้องรีบวางสายเสียก่อน
“พี่โมเหรอคะ” หญิงสาวถามเสียงเบา สายตาที่ทอดมองไปยังหน้าต่างได้ลากกลับมาโฟกัสที่ใบหน้าหล่อเหลาของเขาอีกครั้ง
“อืม” ปรานต์เองก็กระอักกระอ่วนไม่น้อยเพราะรู้ว่าตัวเองคิดไม่ซื่อกับเพื่อน
“ที่พี่เป้อยากเลิกกับรินเป็นเพราะคนนี้รึเปล่าคะ”
“ริน!”
ร่างสูงลุกพรวดขึ้นทันที สายตาที่ใช้มองกันก็เต็มไปด้วยความแข็งกร้าวแต่ระรินกลับไม่คิดจะหลบตาเลยแม้แต่น้อย
“คนนี้จริงๆ ด้วย”
“อย่าพูดถึงโมแบบนั้นเดี๋ยวเขาจะเสียหาย”
“หน้าบางขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“ริน!”
เธอก็ไม่รู้ว่าตัวเองยังทนปั้นหน้ายิ้มอยู่ได้ยังไงทั้งที่หัวใจมันแสบร้อนไปหมด ยิ่งเห็นว่าเขาออกโรงปกป้องผู้หญิงอีกคนมันก็ยิ่งทำให้เธอร้าวรานเหมือนจะหาที่สิ้นสุดไม่ได้
“พี่เป้ก็น่าจะเลิกกับรินก่อนแล้วค่อยไป…”
“พี่ถึงมาขอยกเลิกงานแต่งนี่ไง”
เขาพูดแทรกขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด หงุดหงิดทั้งตัวเองและก็หญิงสาว
“อย่างนี้นี่เอง” ระรินเงยหน้าแค่นยิ้มอย่างนึกสมเพชตัวเอง เธอปล่อยปละละเลยจนเขาแอบไปมีคนอื่นได้ขนาดนี้เลยเหรอ
“แล้วก็ไม่ต้องไปวุ่นวายกับโมเขา ถ้าพี่รู้ข้อตกลงของเราเป็นอันจบ”
“พี่รักเขามากขนาดนั้นเลยเหรอ”
ปรานต์ก็ตอบไม่ได้ว่ารักมากหรือเปล่าเพราะความสัมพันธ์มันยังไม่คืบหน้าไปไหน เขารู้แค่ว่าตัวเองชอบโมนา ชอบมาก
“พี่ชอบเขามาก”
ระรินรู้สึกเหมือนกำลังจะแตกสลาย ตัวตนของเธอกำลังอ่อนจางลงช้าๆ และกำลังจะไร้ตัวตนสำหรับเขา
เธอวางแก้วนมอุ่นๆ ลงบนโต๊ะทำงานของชายหนุ่มก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าห้องนอนอย่างกล้ำกลืน
เขาบอกว่าชอบผู้หญิงคนนั้นมาก
เขาขอเลิกกับเธอเพราะจะไปคบกับผู้หญิงคนนั้น
ระรินทรุดตัวนั่งลงข้างเตียงนอน ศีรษะเล็กเอนพิงขอบเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง ก่อนที่น้ำใสจะรินไหลออกจากดวงตางาม
เธอไม่ได้สูญเสียแค่ความรัก แต่เธอกำลังจะเสียความฝัน ความหวัง อนาคตที่จะมีร่วมกัน ทุกอย่างมันพังลงหมดแล้วด้วยประโยคที่ว่า ‘พี่ชอบเขามาก’
ถึงแม้ว่าจะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักแต่ระรินก็ยังคงปฏิบัติกับเขาเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นอาหารเช้าหรือชุดที่เขาต้องใส่ไปทำงาน
“รินทำข้าวต้มไว้รอแล้วนะคะ ส่วนเนกไทก็วางอยู่บนเตียงค่ะ” เธอบอกตอนที่เขานุ่งพาเช็ดตัวออกมาจากห้องน้ำ
“รินพอเถอะ” เขาพูดขึ้นตอนที่ร่างบางกำลังจะหมุนตัวกลับ “อย่าทำแบบนี้เลยเพราะเราไม่ได้อยู่กันด้วยความรักอีกแล้ว รินไม่ต้องทำดีกับพี่หรือดูแลพี่เหมือนเมื่อก่อนก็ได้” เขารู้ว่ายังไงเสียเรื่องระหว่างเรามันก็ต้องจบ อีกหกเดือนข้างหน้าเธอก็จะกลายมาเป็นน้องสาวคนหนึ่งของเขา ฉะนั้นระรินก็ไม่ควรมาเหนื่อยดูแลเขาอีกแล้ว
“รินอยากทำให้ค่ะ”
เพียงแค่ประโยคเดียวกลับทำความตั้งใจเขาสั่นคลอนแต่ก็ย้ำกับตัวเองว่าไม่ควรเห็นแก่ตัวฉุดรั้งเธอไว้
หญิงสาวรู้ว่าเขาไม่รักกันแล้วแต่ที่เธอทำให้เขาทุกอย่างก็เพราะเธอยังรัก ดังนั้นไม่ว่าทางข้างหน้าจะจบลงแบบไหน เธอจะช้ำอีกสักเท่าไหร่ ก็ขอให้เขารู้ไว้ว่าวันนี้ ณ เวลานี้ เธอเต็มที่ที่สุดแล้ว
"พี่เป้อาจจะหมดรักรินแล้วแต่ที่รินยังอยู่ตรงนี้ก็เพราะยังรักพี่อยู่" เธอซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองเสมอ "แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่รินไม่ไหวหรือมันครบกำหนดเวลาของเราแล้ว รินก็จะไม่ดึงดันต่อไปอีก"
ปรานต์ใจหายไม่น้อยเมื่อได้ยินแบบนั้น แต่เขาก็คิดว่ามันดีที่สุดแล้ว คนไม่รักกันอยู่กันไปก็รังแต่จะเจ็บปวด
"พี่ไม่ได้รักรินเหมือนเมื่อก่อนแล้วแต่รินก็ยังเป็นน้องสาวของพี่นะ"
"ไม่ได้หรอกพี่เป้" เธอส่ายหน้าปฏิเสธทันที "รินทำใจให้แฟนมาเป็นพี่ชายของตัวเองไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าเราจบกันแล้วรินก็อยากให้เราขาดกันไปเลย"
ชายหนุ่มถึงกับดวงตาไหววูบก่อนจะถอนหายใจไล่ความรู้สึกอึดอัดเหล่านี้ทิ้งไปเสีย
"พี่ไม่อยากให้รินอคติกับโม เขาไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย"
"พี่เป้แคร์เขามากนะคะ"
"พี่แค่ไม่อยากดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยว"
ระรินเพียงยิ้มบางๆ มันเป็นรอยยิ้มที่ว่างเปล่าซึ่งปรานต์ก็เดาไม่ออกว่าหญิงสาวกำลังคิดอะไรอยู่
เธอนึกหยันเขาอยู่ในใจ ตอนลุ่มหลงมันทำให้คนโง่ได้ขนาดเชียวหรือ ผู้หญิงที่เข้าหาคนที่มีเจ้าของมันไม่มีใครบริสุทธิ์ใจใดๆ ทั้งนั้นแหละ
วันนี้รำไพมาหาลูกสาวถึงสปาเพราะอยากถามไถ่เรื่องการจัดงานว่าไปถึงไหนแล้ว แต่พอเห็นระรินวุ่นอยู่กับการดูแลลูกค้า นางจึงโทรหาว่าที่ลูกเขยแทน
'ครับ'
"ว่างรึเปล่าเป้ แม่ว่าจะถามเรื่องซุ้มดอกไม้หน้าแบ็คดรอปน่ะ ทางออร์แกไนซ์เขาหาดอกไม้สดได้มั้ย" นางระบุเจาะจงว่าอยากได้กุหลาบขาวกับชมพูและต้องใช้เยอะมาก นางกังวลว่าจะหากันไม่ทัน
'ผมไม่ได้ตามเรื่องเลยครับ'
"อ่อ เดี๋ยวแม่ถามยัยรินก็ได้ลูก ทำงานเถอะแม่ไม่กวนแล้ว"
"แม่มีอะไรรึเปล่าคะ"
"จะมาคุยเรื่องจัดงานเนี่ยแหละ ไปถึงไหนแล้ว"
"รินให้ทางทีมออร์แกไนซ์จัดการหมดเลยค่ะ ถ้าติดขัดอะไรเดี๋ยวเขาก็จะโทรมาบอกเอง"
"ยัยรินนี่ งานตัวเองแท้ๆ ก็เข้มงวดหน่อยสิ ถ้าเขาทำออกมาไม่ดีไม่ถูกใจจะได้แก้ทัน"
ระรินได้แต่ยิ้มแห้งๆ ในใจก็ยิ่งวูบโหวงเมื่อเห็นว่ามารดาดูตั้งอกตั้งใจกับงานแต่งของเธอมาก
"แล้วนี่แม่มายังไงคะ"
"มากับพ่อเนี่ยแหละ ทะเลงอแงอยากกินไอศกรีมก็เลยพากันไปเดินดูร้านแถวๆ นี้"
ทะเลคือน้องชายของเธอ เจ้านั่นเพิ่งจะอายุได้เจ็ดขวบเพราะเป็นลูกหลงของพ่อกับแม่ เมื่อก่อนนี้เวลาไปไหนมาไหนด้วยกันคนก็มักจะเข้าใจผิดว่าทะเลเป็นลูกชายของเธอเสมอ
"เดี๋ยวรินจะตามเรื่องเอง แม่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ"
"ดีแล้ว นี่วดีก็นัดคุยกับแม่เรื่องสินสอดยังไม่ว่างไปเจอกันเลยเนี่ย" รำไพหยิบโทรศัพท์มาเลื่อนๆ หน้าจอหาดูแชทของวดีมารดาของปรานต์ ปากก็บ่นไปเรื่อยเปื่อยแต่มันก็ช่างมีน้ำหนักในใจของลูกสาวเหลือเกิน
เธออึดอัด มันแน่นมันจุกอยู่ในอกจนอยากจะร้องไห้เสียให้ได้เลย
ปรานต์เลิกงานแล้วแต่ยังไม่ยอมกลับบ้าน เขานั่งพิงพนักเก้าอี้ก่อนจะหลับตาพลางคิดอะไรสะระตะเรื่อยเปื่อย แต่แล้วก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
"ไม่กลับบ้านเหรอเป้"
"อ้อ อีกสักพักน่ะ โมมีอะไรเหรอ"
"โมว่าจะชวนไปดื่มที่ร้านพี่ตาม ว่างรึเปล่า...เอ่อ หรือว่าน้องรินรอ" หญิงสาวหน้าสลดลงทันทีและรีบปรับสีหน้าได้อย่างรวดเร็วแต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาของปรานต์อยู่ดี
"โมอยากไปเหรอ" เขาอยากตอบรับแต่ในใจก็สั่นเตือนให้ปฏิเสธเธอไปก่อนที่ความยุ่งยากจะถาโถมเข้ามามากกว่านี้
"อื้อ ไม่ได้แวะไปนานแล้วน่ะ คิดถึงบรรยากาศ"
ชายหนุ่มยังไม่ทันได้ตอบรับอะไรออกไปก็ได้ยินเสียงมาวินเอ่ยขอทางเข้ามาในห้องเขาเสียก่อน
"เรานัดกันไว้ไม่ใช่เหรอ"
ปรานต์เลิกคิ้วมองเป็นเชิงถามซึ่งเขารู้ดีว่ามันตั้งใจมาขัดจังหวะเฉยๆ ส่วนนัดห่าเหวอะไรนั่นไม่มีหรอก
"ว้าาา งั้นโมขอไปด้วยได้มั้ยเอ่ย"
"เดี๋ยวเราโทรถามมิ้นต์แป๊บ"
จบคำพูดของมาวินหญิงสาวเพียงคนเดียวก็หุบยิ้มทันที โมนารู้ดีว่ามารีไม่ชอบตนตั้งแต่สมัยเรียนแล้วดังนั้นจึงคิดว่าอยู่ห่างได้เป็นดี
"ไปกันได้ยังไอ้หัวหน้า" คนที่มาทวงนัดหันมาถามพร้อมกับส่งสายตากดดันชัดเจน ปรานต์จึงได้แต่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะพยักพเยิดให้มันอย่างตัดปัญหา
"ไว้วันหลังนะโม"
หญิงสาวยิ้มรับบางๆ ก่อนจะหลีกทางให้หนุ่มๆ เดินออกไป เจ้าหล่อนได้แต่กัดฟันอย่างข่มอารมณ์แต่ก็ไม่ได้โวยวายหรือจิกกัดอะไรมาวินแม้แต่น้อย เธอเพียงส่งสายตามองค้อนอย่างน่ารักไปให้แต่โดนฝ่ายนั้นไล่สายตามองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสายตาเหยียดหยาม
มันจะเกินไปแล้วนะ!
"มึงบอกเลิกรินยัง" มอสถามหลังจากที่ขึ้นมานั่งบนรถด้วยกันแล้ว เมื่อเห็นเพื่อนเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาขับรถไปแบบไม่พูดไม่จาเขาก็ได้แต่พ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด
"มึงจะเริ่มจีบ ไม่สิ จะคบกับโมเลยเหรอ"
"ก็เหี้ยละ"
"ยังดีที่รู้ว่าเหี้ย"
"ไอ้มอส มึงนี่นะ"
"กูก็แค่ถามดู ถ้ามึงบอกเลิกรินแล้วมาคบกับโม แล้วพรุ่งนี้งานเลี้ยงรุ่นมึงจะควงใคร"
ปรานต์ขยับตัวอย่างอึดอัด เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลยสักเสี้ยววินาทีเพราะเอาแต่ใจจดใจจ่อเรื่องขอเลิกกับระริน พอมาวินทักมาแบบนี้ก็เริ่มหนักใจขึ้นมาแล้ว
"กูคงไม่พารินไป"
"สรุปคือจะควงโม"
"ไม่ใช่!"
"มันใช่ยิ่งกว่าใช่"
"มึงกวนตีนกูเหรอ"
"กูพูดจริง ถึงมึงจะเลิกกับรินแล้วแต่ก็ยังมีข้อตกลงเรื่องหกเดือนอะไรนั่นอยู่ ถ้ามึงไม่พาเมียไปเจอเพื่อนแล้วคนอื่นเขาจะมองรินยังไง"
ปรานต์ยอมรับว่าเขาไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยจริงๆ
"กูขอนอนกับมึงได้ปะ"
"กูจะนอนกับเมีย"
"ไอ้มอส"
"พูดจริง"
ปรานต์หน้าหงิกเป็นจวักแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดเร้าหรือต่อเพราะถึงยังไงเขาก็จะปักหลักนอนที่บ้านมันอยู่ดี
"มิ้นต์จัดห้องไว้ให้แล้ว" หญิงสาวบอกก่อนจะเดินขึ้นชั้นสองไป
"ไอ้มิ้นต์รู้เรื่องด้วยเหรอ"
"จะเหลือเหรอ"
"ไอ้เหี้ยมอส"
"ทำไมอะ มิ้นต์ก็เป็นเพื่อนมึงเหมือนกัน มันก็มีสิทธิรู้ปะ"
คำพูดของมาวินทำเอาเขาละอายใจ พูดตรงๆ ว่าเขายังหน้าบางกับเรื่องพวกนี้อยู่ เขาไม่ชอบให้ใครมาพูดถึงตัวเองในเรื่องชู้สาวเพราะตั้งแต่ที่คบกับระรินมาก็ประวัติขาวสะอาดมาโดยตลอด
ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะหวั่นไหวกับโมนาแต่ก็ยังไม่ได้ไปถึงขั้นคบหาดูใจหรือนอนด้วยกัน แม้แต่กอดจูบลูบคลำก็ยังไม่เคย เพราะงั้นจะมาทำเหมือนเขาคบชู้ได้ยังไง
PrannChin : พี่นอนบ้านไอ้มอสนะ รินล็อกประตูบ้านได้เลย
ชายหนุ่มปิดไฟเตรียมเข้านอนแล้วแต่ยังหลับไม่ลงเพราะในหัวมันมีแต่เรื่องวุ่นวายเต็มไปหมด
Rrrr
เขาเห็นแล้วว่าเป็นระรินโทรมาแต่ก็ไม่ยอมรับสายเพราะไม่อยากทะเลาะ จวบจนสายตัดไปเองและเธอก็โทรเข้ามาอีกหลายสาย เขาตั้งใจจะปิดเครื่องแล้วหากไม่เหลือบไปเห็นข้อความของโมนาเข้าเสียก่อน
Mona : ว่างมั้ย โมมีเรื่องจะปรึกษา
ปรานต์จึงโทรกลับทันทีเพราะรู้ว่าหากไม่เครียดจริงๆ โมนาคงไม่ทักมาแบบนี้
"ว่าไงโม"
'คือ...โมจะบอกไงดี'
"ค่อยๆ พูด เรารอได้"
'ก็คนคุยของโมอะ เขาชวนไปเที่ยวต่างจังหวัด'
"..." ปรานต์ถึงกับเผลอกลั้นหายใจระหว่างที่รอหญิงสาวพูดต่อ
'แต่โมก็เพิ่งจะคุยกับเขาได้ไม่นาน ก็เลยไม่รู้ว่าจะยังไงดี'
"แล้วโมอยากไปรึเปล่า"
'ก็อยากนะ'
"..."
'แต่คิดอีกทีก็ไม่อยากไปแล้ว โมก็เลยโทรมาหาเป้เนี่ยแหละ'
"โทหาเราทำไมอะ"
'ก็จะให้เป้ช่วยคิดหน่อยว่าจะปฏิเสธเขายังไงดี'
ปรานต์เผลอผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ความรู้สึกอึดอัดเมื่อครู่สลายหายไปทันทีหลังจากที่เธอบอกว่าไม่อยากไปแล้ว
ทั้งสองจึงปรึกษากันอยู่นานโดยที่ชายหนุ่มไม่คิดจะสนใจสายเรียกเข้าที่ซ้อนเข้ามาเลยแม้แต่นิดเดียว
**************************
แกไม่อยากรับสายลูกสาวฉันแต่แกคุยกับผู้หญิงคนอื่นได้หน้าระรื่นเลยนะไอ้เป้!!