ตอนที่ 1 ปฐมบทแห่งความแค้น
1
“พ่อล่ะครับแม่”
ไม่ทันจะได้หย่อนก้นลงนั่งบนโซฟาใกล้กับมารดา เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ซึ่งแม้ตอนนี้จะยังโตไม่เต็มวัยแต่สัดส่วนความสูงก็ปาไปถึง 160 ซม. อกไหล่กว้างผึ่งผายและมีเค้าว่าหากโตเต็มวัยจะสูงและใหญ่กว่านี้อีก เค้าหน้าตาคมสันด้วยคิ้วหนาเป็นปื้นเส้นขนเรียงกันอย่างสวยงามตวัดโค้งขึ้นด้านบนเล็กน้อย ดวงตาสีสนิมคมกริบเหมือนกับพญาเหยี่ยวรับกับจมูกโด่งได้รูปและริมฝีปากหนาหยักเอ่ยถาม เมื่อกวาดสายตาไปทั่วห้องแล้วก็ยังไม่เห็นบิดาที่นัดกับเขาไว้ว่าวันนี้จะพาไปซื้ออุปกรณ์สำหรับหัดยิงปืน ตวัดสายตามองไปยังนาฬิกาผนังแบบโบราณด้วยลูกตุ้มห้อยแกว่งไปมาบอกเวลายามบ่ายย่ำเกือบจะเย็นแล้ว
“มีอะไรหรือเปล่าครับแม่”
เอ่ยถามอย่างสงสัย ขมวดคิ้วเข้มเข้าหากัน เมื่อเห็นสีหน้าของมารดาดูไม่สู้ดีนัก หน้านวลแม้จะล่วงเลยวัยห้าสิบปีไปแล้วแต่ยังสวยเปล่งปลั่งเหมือนยังมีวัยเพียงแค่สามสิบปลายๆ เท่านั้น ในวันนี้มีริ้วรอยของความกังวลและขลาดกลัว ข้างขมับมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นมา แม้จะแอบยกมือขึ้นซับแบบเลี่ยงๆ ไม่ให้เขาทันจับพิรุธได้ แต่มันกลับผุดขึ้นมามากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
ท่าทางการนั่งหลุกหลิกหันรีหันขวางคอยแอบปรายสายตาไปมองห้องทำงานของบิดาอยู่มุมขวาของบ้าน ซึ่งตอนนี้มีเสียงทะเลาะของผู้ชายสองคนดังออกมาให้คนนอกห้องได้ยินอยู่ ไม่ใช่ว่าประตูปิดไม่สนิท แต่คงจะเป็นเพราะคนที่อยู่ภายในห้องนั้นกำลังโกรธอย่างรุนแรง จนถึงกับระเบิดอารมณ์เอากับข้าวของในห้องอยู่บ่อยครั้ง
รอฟังคำตอบอยู่เป็นนาน แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้ยินเสียงจากปากคนเป็นแม่ ชินกฤตลุกขึ้นจากจุดเดิมที่นั่งอยู่ไปหย่อนสะโพกลงใกล้ๆ เอื้อมไปจับมือเล็ก พอสัมผัสก็รับรู้ถึงความเย็นจนเหมือนกับจับก้อนน้ำแข็ง
“แม่ครับแม่ มีอะไรหรือเปล่าครับ” เอ่ยถามเสียงอบอุ่น บีบกระชับมือมารดาเบาๆ ก่อนวงแขนแข็งแกร่งจะเปลี่ยนเป็นโอบรอบกายเล็ก หันหน้าไปยังห้องทำงานของบิดาที่ยังคงมีเสียงดังเล็ดลอดออกมาไม่ขาด แต่จับคำพูดให้ปะติดปะต่อเป็นประโยคไม่ได้
“แม่ครับ” ชินกฤตเอ่ยเรียกชื่อมารดาดังๆ เพราะแม้เขาจะใกล้ชิดถึงเนื้อถึงตัวแล้ว แต่ก็ยังไม่มีเสียงหรือปฏิกิริยาตอบรับจากคนเป็นแม่ ทำให้เขารู้สึกสังหรณ์ใจ หลายครั้งหลายคราในช่วงนี้ดูเหมือนจะมีสิ่งผิดปรกติเกิดขึ้นในบ้าน แต่แม่และพ่อพยายามปกปิดเขา พยายามปั้นหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสต่อหน้าเขา ชวนพูดชวนคุยทำอะไรให้เป็นปกติ แต่ยามเผลอจะหลุดสีหน้าทุกข์ระทม ในดวงตาเหมือนกำลังหนักอกหนักใจอะไรสักอย่าง ตามรอบดวงตาดำคล้ำเหมือนกับคนอดหลับอดนอน บางครั้งบางคราวยังจะมีเสียงพูดงึมงำหลุดออกมาจากปากบ่อยครั้ง
พ่อกับแม่มีอะไรปิดบังเขาอยู่ใช่ไหม?
แล้วตอนนี้แม่พยายามหลบสายตาเขา แต่เพราะความเป็นห่วงบิดาเลยเหลือบมองไปยังห้องอยู่บ่อยครั้ง
มีใครอยู่ในนั้นกับบิดา เป็นคนที่แม่ไม่อยากให้มาเยี่ยมบ้านใช่ไหม?
ในสมองเขาล้วนแต่เต็มไปด้วยคำถามแต่หาทางออกไม่ได้ เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกปิดไว้ไม่ให้เขาไปยุ่ง
“แม่ครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ” เอ่ยถามซ้ำอีกครั้งและเขย่าร่างบอบบาง พอให้แม่รับรู้ว่ามีเขานั่งอยู่ด้วย
“ปะ...เปล่าลูก ไม่มีอะไร” เอรียาสะดุ้งรีบตอบปฏิเสธอย่างคนมีอาการลุกลี้ลุกลน หลบหน้าหลบตาลูกชายที่มองมาอย่างคาดคั้นเหมือนจะรับรู้สึกสิ่งผิดปรกติ “หนูมาตั้งแต่เมื่อไหร่ลูก” เอ่ยปากถามไปโดยใบหน้ายังก้มมองพื้น มีเพียงสายตาแอบเหลือบขึ้นมองชินกฤตและประตูห้องทำงานสามี สีหน้าหม่นหมองเศร้าเป็นระยะ
“ไม่จริง...แม่ต้องมีอะไรปิดผมแน่เลย” ชินกฤตตอบกลับอย่างไม่เชื่อ เพราะความที่เขาอยู่ใกล้ชิดกับบิดามาก แล้วยังถูกสอนให้เป็นคนช่างสังเกต ละเอียดถี่ถ้วนในทุกเรื่องที่ทำและมีความรับผิดชอบ แม้จะยังเป็นเด็กแต่ความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุ อีกทั้งความเฉลียวฉลาดที่มีทำให้หนุ่มน้อยสามารถมองออกได้ว่าสถานการณ์ภายในบ้านตอนนี้ไม่สู้จะปกติสุขนัก ยิ่งได้เห็นใบหน้ามารดาที่ซีดเผือดจนแทบจะไม่มีสีเลือดหลงเหลืออยู่ก็ยิ่งให้เกิดความอยากรู้ระคนกังวลใจขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“ผมไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะครับแม่ ทำไมมีอะไร ทำไมถึงไม่บอกให้รู้บ้าง จะได้ช่วยๆ กันแก้ไข” รับรู้สิ่งผิดปรกตินี้มาตั้งแต่วันที่บิดาเริ่มจะมีอาการป่วยกระเสาะกระแสะแล้วล่ะ พยายามจับพิรุธ คอยเลียบเลียงเคียงถามก็ตั้งหลายครั้งหลายหนแต่บิดาและมารดาก็ปกปิดเงียบสนิท
น้ำเสียงนุ่มทุ้มและอบอุ่นเอ่ยออกจากปากเขามันคงจะซึมเข้าไปถึงหัวใจของแม่ วงหน้าซีดเหมือนกระดาษถึงได้ดูใสขึ้นแม้จะไม่มากก็ตาม รอยยิ้มละมุนละไมอบอุ่นเคลือบบนริมฝีปากสีชมพูจางๆ ระเรื่อ สัมผัสจากมือและแขนลำสั่นโอบรัดรอบกายอรชร เรียกน้ำตาอุ่นๆ เอ่อล้นคลอเบ้าและหยดลงมาจากสองเบ้าตาของแม่
สิ่งที่เขาเห็นและรู้สึกในตอนนี้คือ แม่พยายามอดทนเก็บกลั้นเก็บงำอารมณ์ทุกอย่างเอาไว้ภายใน ไม่ว่าเหตุการณ์จะเลวร้ายสักแค่ไหน แม่และพ่อไม่เคยให้ลูกคนนี้ได้ล่วงรู้
เอรียาละสายตาจากบานประตูห้องทำงานสามีมาคลี่ยิ้มหวานๆ เห็นเขี้ยวทั้งสองฝั่งของมุมปาก ประกายในดวงตายังคงอ่อนโยนและเย็นใจอยู่เป็นเนืองนิตย์ให้ลูกชาย
“ไม่มีอะไรจริงๆ ลูก” ตอบปฏิเสธเสียงนุ่ม บีบกระชับตอบกลับมือใหญ่เบาๆ
“พ่อของลูกเก่ง แม่เชื่อไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พ่อจะต้องจัดการและพาเราสองคนแม่ลูกผ่านพ้นวิกฤติไปได้จ้ะ” ตอบน้ำเสียงมั่นคงด้วยความมั่นใจในความสามารถของสามีผู้อันเป็นที่รัก แต่พูดยังไม่ทันจะขาดคำดี…
ปัง!!!
สองแม่ลูกสะดุ้งรีบหันไปมองประตูห้องทำงานของผู้เป็นประมุขของบ้านที่เปิดออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย และเสียงดังลั่นสนั่นสะเทือนไปทั้งบ้าน
“ผมให้โอกาสพี่แล้วนะ แต่พี่เลือกที่จะปิดทางนั้นเอง ถ้าเกิดอะไรร้ายแรงกว่านี้พี่ก็เตรียมตัวรับให้ดีแล้วกัน แล้วจะมาโทษว่าผมใจจืดใจดำไม่ได้!”
ชายวัยกลางคนในชุดสูทสากลมาดเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะ แม้พายุลมจะแรงแต่ผมบนศีรษะทุยก็ยังไม่แม้แต่จะกระดิก เสื้อผ้าเรียบและหรูถ้าไปยืนใกล้ๆ คงจะถูกกลีบของผ้าบาดเข้าไปในเนื้อให้เป็นแผลเลือดไหล หันไปตวาดเสียงแข็งกร้าวและดุร้ายใส่คนยืนนิ่งเฉยเหมือนกับไม่ยินดียินร้ายอะไรเลย ด้วยความโกรธกรุ่นระคนหงุดหงิด ช่วยเปิดหาทางออกให้ทุกๆ ทางแล้ว แต่คนที่เขานับถือเสมือนพี่ชายคนหนึ่งก็ยังดื้อรั้นดันทุรังไม่ยอมรับรู้อะไรเลยสักนิด
แม้จะปรับให้สีหน้าเป็นปรกติมากเท่าไหร่ แต่ชินกฤตก็ยังทันได้เห็นใบหน้าบิดาขาวซีดเผือดสียิ่งกว่ากระดาษ วงหน้าที่เคยมีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่ตลอดเวลากลับเคร่งขรึม รอบขอบตาลึกโบ๋ลงไป ประกายในดวงตามองสบกับเมียรักและลูกชาย เป็นแววตาของคนซึ่งเต็มไปด้วยความท้อแท้และสิ้นหวัง หมดสิ้นเรี่ยวแรงพยุงกายให้ก้าวเดินต่อไป เรือนกายสูงเพรียว เคยมีสง่าราศีกลับกลายเหมือนคนแก่พิกลพิการหงิกงอ ช่วยตัวเองไม่ได้และสั่นสะท้านเหมือนกับเรือลำใหญ่ล่องอยู่ในนาวาที่มีพายุลมแรง พร้อมจะล้มคว่ำและอับปางลงได้ในทุกเวลา
ทำไมพ่อถึงได้มีท่าทางแบบนั้น เกิดอะไรขึ้น?
“พ่อ...” ชินกฤตก็ไม่รีรอถลาวิ่งไปหาบิดาซึ่งยืนโงนเงนเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่ปลายยอดถูกตัดทิ้งไปแล้วพายุใหญ่โหมกระหน่ำซ้ำจนฐานรากผุดขึ้นมาจากแผ่นดิน จนแทบจะพยุงกายเอาไว้ไม่ได้แต่ก็ยังฝืนเอาไว้ แล้วเพียงแค่เขาวิ่งไปถึง บิดาก็ลมลงในอ้อมแขน
“พ่อ...พ่อครับ” ชินกฤตร้องเรียกบิดาเสียงดังลั่น น้ำเสียงตื่นตระหนกระคนเบาหวิว แหบพร่าเครือ มือหนึ่งสอดใต้ร่างบิดา อีกมือยกขึ้นทาบบนหน้าที่พอแตะลงไปก็รับรู้ถึงความเย็นจัดของร่างกาย หันไปมองชายอีกคนที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนรักของพ่อ ร่วมหัวจมท้ายทำงานกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นซึ่งยืนมองอย่างเฉยเมย ในดวงตาไม่มีความรู้สึกผูกพันเลยสักนิด อะไรทำให้ผู้ชายตรงหน้าเขาเป็นแบบนี้ กรามหนาขบกัดบดเบียดจนนูนเด่น