เสียงกรุ๊งกริ๊งกังวานใสของกระดิ่งลมเหนือประตูดังขึ้น บ่งบอกว่า ‘Phiangkwan The Glory Gallery’ กำลังมีลูกค้าคนใหม่ผ่านประตูเข้ามา ใบหน้าหวานที่กำลังเหม่อลอยสะดุ้งเฮือกในทันที จิตใจเพียงขวัญเหมือนแก้วแตกละเอียด หลังถูกภูดิษทุบไม่เหลือชิ้นดี เรียวนิ้วที่ลูบอยู่บนกลีบปากถูกยกออกก่อนจะกำแน่น
เมื่อคืนเธอก็ฝันอีกแล้ว
ทศวรรษไว้ใจเธอ กึ่งขอร้องและไหว้วานยกลูกชายคนเดียวของเขาให้เธอช่วยดูแล แต่เมื่อวานเธอดันจูบกับภูดิษและคิดสกปรกจนเก็บไปฝัน
‘หนูไม่ต้องลำบากคิดว่ามันเป็นลูกหรอก คิดซะว่ามันเป็นน้องชายหัวดื้อที่ฉันฝากไว้ดูแลสักคนเถอะ ตอนนี้ฉันไว้ใจหนูได้แค่คนเดียว’
ความรู้สึกผิดหนักอึ้งในหัวใจ
เธอพยักพเยิดให้พนักงานในร้านออกไปต้อนรับ พลางเงี่ยหูฟังเสียงสนทนา
“เพียงขวัญเดอะกลอรี่แกลอรี่ยินดีต้อนรับค่ะ อ๊ะ! สวัสดีค่ะคุณทัศนัย”
“คุณเพียงขวัญอยู่ไหม”
ชายหนุ่มในชุดสูทเต็มยศส่งยิ้มให้หวานใจ เด็กสาวที่ทำงานในร้านมานานอย่างคุ้นเคย
“อยู่ค่ะ เดี๋ยวหนูไปตาม...”
“ไม่ต้องหวานเดี๋ยวพี่ดูแลเองจ้ะ ไปจัดดอกไม้ต่อเถอะ” ใบหน้านิ่งเปลี่ยนเป็นยิ้มหวานหลังจากรวบทุกอย่างลงใต้ลิ้นชักทันทีที่ได้ยินเสียงของทัศนัย
“ค่ะพี่ขวัญ”
สถานะน้องสามีของเขาในตอนนี้ทำให้เธอต้องฝืนยิ้มปั้นหน้าต้อนรับ
หลังจากเปิดพินัยกรรม เธอนึกว่าเขาจะพอใจแล้วแต่ดูเหมือนจะไม่ใช่เลย
เด็กสาวลอบมองพฤติกรรมของคนทั้งสอง พลางปรี่ยกช่อดอกไม้ที่จัดเสร็จแล้วบางส่วนขึ้นชั้นสอง บทสนทนาที่เงี่ยหูฟังจึงบางเบาลงตามระยะทาง ทัศนัยเดี๋ยวก็สั่งช่อดอกไม้ เดี๋ยวก็สั่งแจกัน หนำซ้ำยังมารับด้วยตัวเองทุกครั้ง ไม่เหมือนคนที่จะใช้ดอกไม้ เหมือนจะมาจีบแม่ม่ายเนื้อหอมอย่างเพียงขวัญเสียมากกว่า
“สวัสดีค่ะคุณทัศน์ วันนี้มีอะไรให้ขวัญรับใช้เหรอคะ”
“ผมแวะมาแถวนี้พอดีเลยจะมาชวนขวัญไปทานข้าวด้วยกันสักหน่อย” นัยน์ตาระยิบระยับจับจ้องที่ใบหน้าสวยพลางสืบเท้าเข้าใกล้
แต่เพียงขวัญก็ทำได้เพียงยิ้มราวกับเด็กสาวใสซื่อ
“ขวัญยังติดงานในร้านอยู่เลยค่ะ นี่ขวัญยังต้องจัดหรีดเตรียมส่งพรุ่งนี้อีกสองงาน ดังนั้นขอปฏิเสธได้ไหมคะกลัวว่าคุณทัศน์จะรอนานค่ะ”
“ไม่เป็นไรเลย ให้ผมรอได้ไหมครับ”
“ดูเหมือนคุณทัศน์มีเรื่องจะคุยกับขวัญ”
“ขวัญรู้ใจผมดีจริง ๆ ผมชักปลื้มแล้วสิ”
ทัศนัยยิ้มกว้างราวกับคนใจดีดูแค่วันนี้ไม่มีรถจอดหน้าร้าน เพียงขวัญก็รู้แล้วว่าเขาคงหลบภรรยาคนสวยมา ท่าทางพราวแพรวเป็นหมาแก่ของคนตรงหน้าทำให้หญิงสาวอึดอัดแทบบ้า
คิดว่าเธอยอมเป็นภรรยาของพี่ชายตัวเอง แล้วเสนออะไรมาก็ยอมงั้นเหรอ
“งั้นเชิญทางนี้ดีกว่าค่ะ ขวัญขอเลี้ยงกาแฟยามบ่ายไถ่โทษแทนนะคะ”
“เอาสิ” ร่างสูงของชายหนุ่มรุดเข้ามาใกล้เธอ เพียงขวัยผงะถอยหลังเมื่อน้องสามียื่นหน้าเข้ามาใกล้ “ผมอยากชิมขวัญมานานแล้ว”
“หมายถึงกาแฟใช่ไหมคะ” เรียวปากสวยยังแสร้งยิ้มใจดี
“ขวัญก็รู้ว่าผมหมายถึงอะไร...ไม่ใช่เหรอ”
ฝ่ามือหยาบแตะลงที่สะโพกกลมกลึง เพียงขวัญเบี่ยงตัวหลบอย่างมีมารยาท ส่งยิ้มตามมารยาทให้เขาก่อนจะหุบยิ้มฉับ มองร่างสูงเดินนำเธอเข้าไปด้านใน นานกว่าจะกดความรู้สึกลงได้ นัยน์ตาสีดำสนิทกลอกขึ้นด้วยความรำคาญใจ
อยู่ต่อหน้าแม่ตนเองทำตัวเป็นน้องชายสามีที่แสนดี หากแต่พอมีโอกาสก็หาเศษหาเลยเสมอ
หนำซ้ำยังทำตัวเป็นจิ้งจอกกับหลานชายของตัวเองโดยไม่สนใจมโนธรรมที่ควรมีสักนิด เพียงขวัญก็รู้ว่าเงินไม่เข้าใครออกใคร แต่เธอกลับโกรธแค้นแทนภูดิษและทศวรรษจนตัวสั่น
เสียงเครื่องทำกาแฟดังขึ้นบ่งบอกกระบวนการชงที่เสร็จสิ้น เพียงขวัญทำเพียงหลุบต่ำมองกาแฟที่กำลังถูกส้นรองเท้าชาดอร์คริสเตียนดิออร์ ที่ทศวรรษทิ้งไว้ให้เธอก่อนตายคนกาแฟแทนช้อน หวังว่ากาแฟที่ทัศนัยอยากชิมจะอร่อยถูกใจ
ถือว่าชดเชยที่แตะเอวเธอเมื่อครู่แล้วกัน
“กาแฟค่ะคุณทัศน์”
“นั่งก่อนสิ ขวัญไม่ดื่มกาแฟเหรอ” ชายหนุ่มยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยโอบเอวคอดก่อนจะจงใจจับไหล่เล็กกดลงที่เก้าอี้ ได้นิดได้หน่อยก็เอา เพียงขวัญขบริมฝีปากแน่น รู้สึกขยะแขยงผู้ชายตรงหน้าเต็มทน
“ไม่เป็นไรค่ะ วันนี้ที่คุณทัศน์มาหาขวัญน่าจะมีเรื่องจะคุยใช่ไหมคะ”
“เห็นสวย ๆ แบบนี้ใจร้อนใช่เล่นนะ เข้าเรื่องเลยแล้วกัน”
“ค่ะ”
“จริง ๆ แล้วหุ้นของพี่ทศที่ได้มาผมก็พอใจแล้วนะ”
นั่นหมายว่ายังไม่พอใจไม่ใช่เหรอ
ได้ยินแค่นั้นดวงตาหวานก็ขึ้นสีเข้ม เงยหน้ามองเขาเต็มตา
“แต่ขวัญพอจะรู้ไหมว่าหุ้นที่นอมินีถือไว้ไหมว่าเป็นของใคร” หุ้นที่หายไปจากระบบอยู่ในมือใครสักคนที่ถูกสวมชื่อไว้ ซึ่งมีค่ามากพอจะเปลี่ยนแปลงการบริหารภายใน บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าของทศวรรษได้เลย
“ขวัญไม่รู้เรื่องบริษัทหรอกค่ะ” หญิงสาวยิ้มพลางส่ายหน้าปฏิเสธ
“หุ้นของขวัญเองมีสามเปอร์เซ็นต์ก็นับว่าไม่น้อยเลยนะ ถึงผมจะมีสิบสองเปอร์เซ็นต์ แต่ยังไงสิบห้าก็ดีกว่าสิบสอง ขวัญว่าจริงไหม” เขายิ้มกรุ้มกริ่ม
“ค่ะ”
“แล้วนายภูเองก็ไม่สนใจอยู่แล้วขายต่อให้อาอย่างผมดูจะเข้าทีกว่า”
รอยยิ้มบนหน้าหญิงสาวจางลง ก่อนจะลอบถอนหายใจกับความคิดของผู้ชายตรงหน้า
“ขวัญไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจหรอกค่ะ ถึงตอนนี้จะเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งคุณทศก็ตาม หลังจากที่คุณภูได้หุ้นแล้ว คุณทัศน์ค่อยมาถามคุณภูอีกครั้งดีไหมคะ” เพียงขวัญยิ้มอย่างใจเย็น แต่ในใจของคนฟังกลับร้อนรุ่ม เมื่อไม่ว่าจะพูดยังไงผู้หญิงที่เขาคิดว่าจัดการได้ง่าย ๆ ดูไม่โอนเอนตามแม้แต่จะคิด
“ไม่สิขวัญ ฟังผมนะ ขวัญกับภูเนี่ยได้หุ้นไปก็หนักใจเปล่า ๆ เรื่องของธุรกิจมันเข้าใจยาก ผู้หญิงกับเด็กจะไปรู้อะไรจริงไหม”
หญิงสาวยิ้มกว้างรับหากแต่หัวสมองอดสมเพชคนตรงหน้าไม่ได้ แค่กินปันผลรายปีไม่กี่ปีก็ได้เงินที่ขาย แล้วเธอจะยอมให้ภูดิษขายมันทำไม ซึ่งทัศนัยไม่ได้อยากซื้อด้วยซ้ำเขาอยากได้มันไปฟรี ๆ
“ผมเลี้ยงดูขวัญได้นะ”
“คุณทัศน์คะ!” เพียงขวัญเรียกเขาเสียงเข้มบอกถึงความไม่พอใจ เท่านั้นชายหนุ่มก็รีบยิ้มสู้เอื้อมมากุมมือหญิงสาวไว้
เธอรู้ว่าเขาสนใจในตัวเธอ หากแต่ไม่รู้เลยว่าเขาจะหน้าด้านถามเธอตรง ๆ แบบนี้
“คุณแม่กับลินเองก็ยอมแน่ ๆ ผมไม่สนใจหรอกนะว่าขวัญจะผ่านผู้ชายมากี่คน คนอื่นมองแม่ม่ายมัน...อื้มกาแฟร้านขวัญยังรสชาติดีเหมือนเดิมเลยนะ” ริมฝีปากของชายววัยสี่สิบห้าแบะออกจนน่าหมั่นไส้ เพียงขวัญทำได้เพียงฟังเขาพูดต่อ แม้จะอยากใช้กาแฟร้อนที่เจ้าตัวกำลังจิบอยู่สาดใส่หน้า ล้างความหน้าด้านให้จางลงบ้าง
“ขอบคุณค่ะ” รสชาติส้นรองเท้าแบรนด์เนมก็คงดีอยู่มั้ง
“แต่ขวัญมีดีกว่านั้นนะ ยังสาวแล้วก็ยัง...สวย แสนดี แต่ใครจะมองเห็นล่ะถ้าไม่ใช่ผม ยังไงพี่ทศก็ตายไปแล้ว ทิ้งเงินให้ขวัญแค่ไม่เท่าไหร่ ผมให้ได้มากกว่านั้นนะ มาเป็นผู้หญิงของผมดีกว่าไหม”
ทัศนัยหัวเราะร่วนราวกับคำพูดตัวเองเป็นเรื่องตลก ดวงตาหยาบโลนกวาดทั่วเรือนร่างเธอไม่คิดจะปิดบัง หนำซ้ำยังเอ่ยขอเสนอซื้อตัวเธอด้วยสัญญาลมปากพร้อมกับคิดจะฮุบบริษัท การได้เป็นผู้บริหารที่ถือหุ้นสิบสองเปอร์เซ็นต์ยังไม่พอสำหรับเขา เพียงขวัญรู้แล้วว่าเขาโลภ ของอย่างอื่นทศวรรษก็ตัดแบ่งอย่างเท่าเทียม แต่คนตรงหน้ายังไม่รู้จักพอ
ไม่ผิดหรอกที่ทศวรรษจะวางแผนทุกอย่างไว้นานหลายปีหลังจากรู้ว่าตัวเองจะจากไป
ดวงตาเพียงขวัญหม่นแสงลงเมื่อคิดถึงทศวรรษ
“เอาไปคิดก่อนก็ได้นะขวัญ ผมไม่รีบหรอก”