ผ่านไปหลายวันตั้งแต่วันนั้น ดูเหมือนว่าเพียงขวัญจะพยายามหลบหน้าเขา
“เพียงขวัญล่ะ ยังไม่กลับมาอีกเหรอ”
“วันนี้น่าจะกลับเร็วนะคะ เพราะให้ป้าเลิกงานตั้งแต่ห้าโมง อีกสักพักคงกลับมาแล้วล่ะค่ะ คุณภูจะเอาอะไรไหมคะ”
“ไม่”
“งั้นป้าจะกลับแล้วนะคะ”
ภูดิษพยักหน้ารับไม่ได้เอ่ยอะไรต่อมากมาย เพราะเห็นเวลานี้ก็ห้าโมงเย็นแล้ว อีกไม่นานแม่เลี้ยงของเขาก็คงกลับมาเอง
แม่เลี้ยงของเขากลับบ้านมาทีไร ก็มักจะเห็นเธอขลุกตัวอยู่ในห้องนอน ตอนเช้าเจอเพียงอาหารที่วางไว้ แต่ไร้ตัวคนทำ ห้องรับแขกที่เธอชอบดูโทรทัศน์กลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า ความประหลาดของเพียงขวัญสร้างความขุ่นมัวและหงุดหงิดใจไม่น้อยให้ชายหนุ่ม
ภูดิษขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงรถยนต์ที่เลี้ยวเข้ามา ร่างสูงที่กำลังเทน้ำเย็นใส่แก้วรีบยกมันดื่มจนหมด แล้วทิ้งแก้วลงในอ่างล้างจาน
ทำไมถึงชอบหนีนักนะ
มันทำให้เขาคิด...
ความคิดของชายหนุ่มหยุดแค่นั้น เรียวปากกดแน่นสะกดความรู้สึกและสมองของตัวเอง เขารู้สึกเหมือนตนเองแพ้ราบคาบ ตั้งแต่กำลังรู้สึกคิดร่างบางตรงหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่เพียงแค่คิดถึง แต่ยังจัดการอารมณ์ของตัวเองไม่ได้อีกต่างหาก
เขาจัดการตัวเองให้ไม่คิดถึงหน้าของเพียงขวัญไม่ได้ สาว ๆ ที่สามารถหิ้วจากผับหรือร้านเหล้ากลับไม่ใช่สิ่งที่ต้องการอีกต่อไป แค่คิดว่าคนที่จะมีอะไรด้วยไม่ใช่แม่เลี้ยงสาวก็รู้สึกไม่มีอารมณ์ การสำเร็จแล้วใคร่กับภาพในจินตนาการเริ่มจะไม่ตอบโจทย์แล้ว
ใบหน้าคมคายคล้ำขึ้นทันตา จนต้องยกมือเสยผมระบายความร้อนในร่างกาย
“ทำอะไร” เขาเอ่ยทักเสียงนิ่งเรียบหลังยืนดักเพียงขวัญตรงหน้าประตู เมื่อเห็นหญิงสาวเปลี่ยนรองเท้าสำหรับใส่ในบ้านอย่างเร่งรีบ สายตาหลุกหลิกทำเอาภูดิษแสยะยิ้มกว้าง
“คุณภู!”
“ทำไมต้องตกใจแบบนั้น ทำเหมือนพยายามจะหลบหน้าฉัน แต่ดันหลบไม่พ้นอย่างนั้นแหละ”
เพียงขวัญกัดปากเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้ายิ้มให้เขา แต่เพียงเห็นดวงตาคมเธอก็จินตนาการไปถึงไหนแล้ว
เขาเป็นของอันตรายที่เธอไม่ควรเข้าใกล้
“เปล่าค่ะฉันจะหลบหน้าคุณไปทำไม...วันนี้อยู่บ้านเหรอคะ”
“บ้านฉันจะอยู่หรือไม่อยู่ต้องรายงานเธอด้วยรึไง” ภูดิษถามยียวน ไอ้ท่าทางเหมือนหนูติดจั่นเบิกตากว้างทันทีที่เห็นหน้าเขามันชวนหงุดหงิดใช่เล่น
“ไม่ต้องค่ะ งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”
ชายหนุ่มสืบเท้าเข้าใกล้ เพียงขวัญก็ถดตัวหนี
“จะรีบไปไหนเล่า” ไม่พูดเปล่าแต่ยังลากแขนเล็กกลับมาที่เดิม
ผอม!
แต่ผิวกลับนุ่มจนไม่อยากปล่อยมือ ภูดิษใช้ลิ้นดุ้นแก้มตนเองหลุบมองหญิงสาวไม่วางตา เผลอกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ลงลำคอ
“คุณภูปล่อยแขนฉันนะคะ ฉันเพิ่งกลับมาจากร้านเนื้อตัวมีแต่เหงื่อ ปล่อยเถอะค่ะฉันจะรีบขึ้นห้องไปอาบน้ำ” เพียงขวัญตอบกลับน้ำเสียงอ้อมแอ้ม ยิ่งเห็นรอยยิ้มเขาเธอยิ่งยั้งตัวไม่อยู่ ภาพนั้นยังฝังในหัวเธอไม่จางหาย
ความก้ำกึ่งระหว่างความจริงและความฝันดูเหมือนจะกล่อมประสาทของหญิงสาวจนคำพูดคำจาตะกุกตะกัก ทำให้สายตาเจ้าเล่ห์รุกไล่เธอตามใจชอบ
เพียงขวัญเกลียดรอยยิ้มที่มุมปากของเขา
เธอถอยหลัง เขาเดินหน้า
“จัดดอกไม้มันใช้แรงเยอะเลยรึไง”
“เปล่าค่ะ”
พูดเป็นแต่คำนี้รึไง ภูดิษแค่นยิ้มร้ายก่อนจะสนุกกับการไล่ล่าเธอ จงใจเดินเข้าไปชิด จ้องดวงตาที่เหมือนมีคำถามในใจด้วยความชอบใจ
“งั้นขอดูหน่อยสิ มีเหงื่อตรงไหนบ้างเหรอ”
“คุณจะทำอะไรคะ”
“ไหน หน้า ซอกคอ หรือ...” นิ้วมือใหญ่สอดเข้าในเรือนผมสวย เท่านั้นนัยน์ตาหวานก็เปลี่ยนเป็นตกใจเมื่อเขาเข้าประชิดตัว และไม่มีท่าทีที่จะลดละฝีเท้าที่ไล่เธอให้เดินถอยหลังเหมือนคนบ้า
หัวใจดวงน้อยเต้นระทึกแทบหยุดไม่อยู่
กลิ่นในความฝันเป็นอย่างไรเพียงขวัญไม่รู้ แต่ในตอนนี้กลิ่นกายของภูดิษทำเธอแทบบ้า ทำตัวเหมือนผู้หญิงร่านที่รู้สึกมีอารมณ์หวามกับกลิ่น รอยยิ้ม และสัมผัสของเขา
เพียงขวัญรีบสะบัดตัวออกส่งเสียงสั่นเครือขู่เขา
“อย่าเล่นแบบนี้นะคะคุณภู ยังไงฉันก็เป็นแม่เลี้ยงคุณนะคะ ให้เกียรติฉันด้วย”
“พูดต่อสิ” ภูดิษเลิกคิ้วม้วนปลายผมเธอด้วยความชอบใจ “เป็นแม่เลี้ยงแล้วยังไง”
“คุณก็ต้องเคารพฉันสิคะ บอกให้ปล่อยผมฉันไงคุณภูดิษ หรือจะให้ฉันแทนตัวว่าแม่อีกคุณถึงจะได้รู้ตัวตลอดเวลา ไม่ปีนเกลียวกับฉัน”
ชายหนุ่มห่อปากฟังประโยคยาวเหยียด
ยิ่งปฏิกิริยาดิ้นรนของเพียงขวัญรุนแรงมากแค่ไหน ภูดิษยิ่งไม่อยากปล่อยเธอ ยอมให้เธอผลักเขาออกแต่ก็เดินกลับเข้าไปใหม่ คราวนี้เขายกมือดันกำแพงกักขังเธอไว้ไม่ให้หนี เพียงขวัญกลายเป็นหนูติดจั่นที่หาทางออกไม่ได้
“เอาสิ! แลกเปลี่ยนกันก็ได้นะ ถ้าเธอยอมแลกฉันจะยอมก้มกราบ...แล้วเลียตั้งแต่ปลายเท้ายันหัวเลย”
“!!!”
ใบหน้าหวานเปลี่ยนเป็นตกใจสุดขีด คำพูดห่าม ๆ ทำให้หญิงสาวล่องลอยเท้าแทบไม่ติดพื้น ริมฝีปากสั่นระริก ความต้องการในร่างกายเอ่อล้นผ่านแก้มแดงก่ำและรอยกัดที่ริมฝีปาก เพียงขวัญจิกเท้าแน่นก่อนจะสะบัดปลายนิ้วที่ลูบข้างแก้มตนอย่างสนุกสนาน “คุณภู! คุณเป็นโรคจิตรึไง”
“ทำไม”
“ขอตัวก่อนนะคะ ฉันไม่อยากคุยกับคุณด้วยแล้ว”
“ไม่ถามหาเรื่องแลกเปลี่ยนก่อนเหรอ ก็แค่...”
ประโยคอ้อยอิ่งไม่หลุดออกจากปากภูดิษง่าย ๆ เขาก้มตัวช้อนดวงตาสบเข้ากับหญิงสาว ตั้งใจเฉียดริมฝีปากตัวเองกับปากของเธอ
“ก็แค่ยอมให้...”
เผียะ!!!
เพียงขวัญสะบัดฝ่ามือใส่ชายหนุ่มเสียงนั้นรุนแรงจนทำให้ใบหน้าหล่อที่อยู่ในอารมณ์หยอกล้อนิ่งอึ้งไป เขาถูปลายลิ้นกับกระพุ้งแก้มที่เจ็บแสบ ดวงตาฉายแววไม่พอใจเพียงชั่วครู่แล้วหัวเราะออกมา
“หึ ไม่ตบเบาไปหน่อยรึไง”
“คุณภูดิษ! เลิกเล่นลิ้นสักที ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นคุณ ถอยไป...อื้ออออ”
หมับ
ฝ่ามือแกร่งคว้าใบหน้าสวยอย่างไม่ยอมแพ้ เพียงบีบคางเล็กแล้วเชิดขึ้นให้มองหน้า เพียงขวัญก็สั่นสะท้านหลบสายดุของภูดิษวูบ
ลมหายใจรุนแรงถูกพ่นออกพร้อมแรงกระเพื่อมที่อกอวบ มันยิ่งทำให้ภูดิษอดไม่ได้ที่จะใช้สายตาโลมเลียเธอทั้งตัว
“อย่า...อื้อ อย่าเล่นแบบนี้นะคะคุณภู ฉันเป็นภรรยาของพ่อคุณนะ”
“ฉันไม่สนหรอก” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าที่พานให้เพียงขวัญใจสั่นสะท้าน นัยน์ตากลมโตช้อนมองเขาไม่อยากจะเชื่อสายตา
“เธอหาว่าฉันเล่นลิ้น แต่เล่นลิ้นเขาเล่นกันแบบนี้ต่างหากเพียงขวัญ” ภูดิษเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า จ้องลึกในดวงตาหวานที่จ้องเขาอย่างตกใจ ลิ้นเปียกชื้นตวัดพัวพันปลายลิ้นเล็กพัลวัน น้ำลายในริมฝีปากเล็กกระเซ็นออกมาเป็นสาย พร้อมกับกลิ่นบุหรี่คละคลุ้งในลมหายใจ ก่อนชายหนุ่มจะขบเม้มลิ้นดื้อดึงเบา ๆ สลับกับกัดสั่งสอน ไม่หวั่นต่อสองมือเล็กที่ทุบลงบนแผงอก เพียงขวัญหมดหนทางจะต่อกรยิ่งดิ้นยิ่งหมดแรง สองขาที่เตะเข้ากับขาเขาถูกภูดิษกันไว้ทุกทาง
ปึก!
เขาอุ้มเธอเข้าเอวกระแทกแผ่นหลังเล็กเข้าไปกับกำแพง ลำตัวสั่นระริกถูกโอบกอดไว้แนบแน่น
เขาไม่ได้จูบเธอแต่จงใจใช้ลิ้นร้อนปั่นป่วนหญิงสาวจนหายใจไม่ออก
“อื้ออออไม่...”
ลิ้นเล็กดันสิ่งเคลื่อนไหวในปากออก แต่มันกลายเป็นเรื่องสนุกของภูดิษ ไล่กวาดลิ้นร้อนดูดกลืนความหอมหวานอย่างถือวิสาสะ
“จ๊วบบบบ”
“อึก”
เขาดูดลิ้นเธออีกแล้ว แทบจะกลืนกินมันเข้าไป สมองของเพียงขวัญขาวโพลนไร้สติ ฝ่ามือที่ทุบอกแกร่งตกลงข้างลำตัวปล่อยเขาสั่งสอนว่าเล่นลิ้นจริง ๆ เป็นยังไงอย่างว่าง่าย ได้แต่ก้มมองริมฝีปากหยักถอนตัวออกไป
น้ำลายที่เชื่อมระหว่างเขาและเธอบ่งบอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น
แล้วเรื่องคืนนั้น?
ดวงตากลมโตสั่นไหวราวระลอกคลื่นหากแต่ไม่กล้าเอ่ยถามเขา สัมผัสมันคุ้นเคยจนเธอรู้สึกกลัว ดวงตาเขาที่จ้องเธออยู่เหมือนเดจาวูที่เคยเห็นจนน่าขนลุก
“ทำไมตัวสั่นขนาดนี้ ทำเหมือนแค่จูบก็ไม่เคย” นิ้วเขาไล้ที่มุมปากเธอก่อนกระซิบถาม
“ปล่อยฉันได้แล้ว”
เขาลอบยิ้มกว้างก่อนจะพยักหน้าวางร่างที่สั่นเทาลงที่พื้น เหลือบมองรองเท้าใส่ในบ้านที่พื้น มันคงหลุดออกในตอนที่เธอดิ้นหนีอ้อมแขนเขา เพียงขวัญกระถดเท้าหนีสายตาเขาแต่ก็ต้องตกใจ เมื่อภูดิษนั่งลงตรงหน้าเขาเอื้อมมือหยิบรองเท้าสวมเข้าที่เท้าเปลือยเปล่าของเธอ
“บางที...ซินเดอเรลล่าอาจจะอยากมอบรองเท้าแก้วให้แม่เลี้ยงก็ได้”
ความอุ่นของฝ่ามือที่กำรอบข้อเท้ายิ่งทำให้พูดไม่ออก สายตาเขาตรึงร่างเล็กไว้ไม่ให้ขยับ เพียงขวัญเม้มปากแน่นก่อนจะสะบัดข้อเท้าออกจากการเกาะกุม ใบหน้าเชิดขึ้นราวกับนกน้อยที่หยิ่งผยอง หยิบรองเท้าที่เขาเพิ่งสวมให้ปาใส่ภูดิษ
ปั่ก!
“แต่ฉันไม่ต้องการ โอ๊ยยยยคุณภู”
ชายหนุ่มยิ้มกว้างหยิบรองเท้าขึ้นมาอีกครั้งคราวนี้ไม่เหลือความนุ่มนวล เขาจับข้อเท้าเล็กก่อนจะสวมมันเข้าไปอีกครั้ง
“ถ้าถอดอีกฉันจะหักข้อเท้าสวย ๆ ของเธอทิ้งซะ”
“คุณมันโรคจิต!!!”
“เพิ่งรู้จักลูกเลี้ยงตัวเองรึไง แล้วดันอยากเป็นแม่เลี้ยงดีเด่น นี่เพียงขวัญฉันยังไม่ได้บอกข้อแลกเปลี่ยนเรื่องรถที่จองไว้เลย วิ่งเร็วฉิบ หึ” ภูดิษพึมพำอย่างเสียดายเมื่อร่างเล็กเม้มปากแน่นก่อนจะรีบวิ่งขึ้นบันได้ไป เขายังอยากต่อปากต่อคำ หรือเล่นลิ้นกับเธออีกหน่อย แต่แค่เห็นหน้าเพียงขวัญภูดิษก็อยากพูดสัปดน ปั่นให้เธอเกรี้ยวกราดแล้วหาเรื่องเข้าไปใกล้ชิดแล้วครั้งแล้วครั้งเล่า รสชาติหวานยังติดอยู่ที่ปลายลิ้นไม่จางหาย เขายิ้มไม่แน่ใจขณะที่ยังคุกเข่าอยู่ที่พื้น หากแต่สายตาดำมืดไล่มองแผ่นหลังเล็กที่กำลังหายไปด้วยความรู้สึกต้องการที่ล้นทะลักออกมาผ่านดวงตา
โดยไม่รู้เลยว่าประตูที่ถูกปิดลงมีร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง พิงกับประตูอย่างอ่อนแรง ดวงตาเหม่อลอยจับหน้าอกและกลีบปากตัวเองไว้ราวกับเพิ่งรู้ว่าหัวใจคนเราสามารถเต้นเร็วได้ถึงขนาดนี้
ปลายลิ้นของเธอยังได้กลิ่นบุหรี่อ่อน ๆ อยู่เลย