อักษราดูแลพราวฟ้าอย่างดีในฐานะเจ้าบ้านที่เต็มใจจะดูแลด้วยหัวใจ ดวงที่เคยเหี่ยวเฉามานานหลายปี และ ณ เวลานี้ หัวใจดวงนี้กำลังสดใสขึ้นเพราะรอยยิ้มสวยๆ ของคนที่อักษราเฝ้ารอ พราวฟ้าเดินตามอักษราไปดูบริเวณแปลงผักที่ปลูกไว้ ครั้งที่แล้วก็ว่าไร่แห่งนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่มากแต่เวลานี้หลังจากเดินดูไปเรื่อยๆ พราวฟ้าแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ คนที่เดินอยู่เคียงข้างเธอจะสามารถดูแลไร่ที่มีพื้นที่ขนาดนี้ได้ด้วยตัวเอง ผู้หญิงที่ในอดีตเคยเจ็บป่วยอยู่บ่อยๆ จนเธอแอบแหย่ว่าเป็นสาวขี้โรค แต่ตอนนี้อักษราดูสดใสโดยเฉพาะใบหน้าที่มีเลือดฝาด ทำให้รู้ว่าสุขภาพคงดีเยี่ยมต่างกับใบหน้าซีดเซียวในครั้งก่อนตอนที่ได้ทำงานอยู่ด้วยกันในกรุงเทพ
“ไร่กว้างใหญ่ขนาดนี้ดูแลคนเดียว เก่งจริงๆ” พราวฟ้าพูดขึ้นแล้วยิ้ม
“ไม่ได้ดูคนเดียวค่ะคนช่วยเยอะ คนงานที่นี่น่ารักมากค่ะ อยู่นานๆ สิคะ จะได้รู้ว่าคนที่นี่น่ารักขนาดไหน โดยเฉพาะเด็กๆ” อักษรา
อมยิ้มเพราะเธอเริ่มหว่านล้อมพราวฟ้าอีกครั้ง
“หว่านล้อมตลอดเวลาเลยนะคะ” พราวฟ้าพูดงึมงำพร้อมรอยยิ้ม
“ก็เผื่อจะใจอ่อนอยู่นานหน่อย บุ๊คอยากให้พราวอยู่ที่นี่จริงๆ นะ”
“พราวต้องทำงานค่ะ หลายวันแล้วยังไม่ได้ไปไหนเลย วนเวียนอยู่แต่แถวนี้ไม่มีงานส่งละก็แย่แน่ๆ” พราวฟ้าบอก
“เดี๋ยวบุ๊คเป็นสารถีพาไปดูที่สวยๆ เอง รับรองได้ว่าพราวมีงานส่งหลายชิ้นแน่นอน แต่มีข้อแม้ว่าต้องกลับมาพักที่ไร่นี้ ตกลงไหมคะ” อักษรามองด้วยสายตาอ้อนวอน พราวฟ้าไม่กล้ามองสบตาด้วยเพราะรู้ดีว่า ไม่แคล้วที่จะต้องใจอ่อนอีกแน่ๆ
“ขับเองดีกว่าค่ะ เกรงใจ กวนเวลางานของบุ๊คด้วย” พราวฟ้าพูดบ่ายเบี่ยงแต่หัวใจกลับรู้สึกตรงกันข้าม
อักษราเงียบไป เดินทิ้งระยะห่างจากพราวฟ้าไปพอสมควรเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ รอยยิ้มหายไปหลังจากที่อักษราหันมามองพราวฟ้าที่เดินตามอยู่ทางด้านหลัง ซึ่งคนที่เดินตามมาสังเกตเห็นรอยยิ้มสวยๆ นั้นหายไปในทันทีที่ได้ยินสิ่งที่เธอได้พูดออกไป พราวฟ้ารู้สึกว่าตัวเองดูจะใจร้ายมากเกินไปกับคนที่แสนดีคนนี้ พราวฟ้าเร่งฝีเท้าเพื่อที่จะเดินตามอักษราให้ทัน
“โกรธหรือคะ” พราวฟ้าถามเมื่อเดินมาอยู่เคียงข้างกับอักษราที่กำลังเด็ดใบไม้ที่เหี่ยวเฉาออกจากต้น
“แค่คิดก็ไม่เคยค่ะ บุ๊คกำลังคิดว่าต้องทำอย่างไรหรือต้องทำอะไรอีกบ้างที่จะรั้งพราวไว้ให้อยู่กับบุ๊คนานๆ” อักษรายิ้มจางๆ ให้
แล้วเดินไปดูคนงานของไร่พร้อมกับพูดคุยและสั่งงานอะไรบางอย่าง พราวฟ้ายืนมองอยู่ห่างๆ รู้สึกว่าตัวเองแย่มากเมื่อได้ยินอักษราพูดไป
เมื่อสักครู่ ทำทุกวิถีทางที่จะเหนี่ยวรั้งเธอไว้แต่ตัวเธอเองก็พยายามที่จะบังคับหัวใจตัวเองให้เดินจากไป ทั้งที่มันก็สร้างความเจ็บปวดให้ตัวเธอเองด้วย
ผู้หญิงที่สวมเสื้อแขนยาวลายสกอตเก่าๆ กับกางยีนขาดวิ่นที่กำลังก้มๆ เงยๆ มองดูแปลงผักที่อยู่ตรงหน้า อักษราแตะต้องพืชผัก
เหล่านั้นอย่างแผ่วเบาและทะนุถนอม ก็คงเพราะได้ดูแลสิ่งที่รักก็เลยดูแลอย่างดีแบบนี้ พราวฟ้าคิด
“บุ๊ค” พราวฟ้าเรียกชื่ออักษราซึ่งกำลังเดินตรงเข้ามาหา
“ว่าอย่างไรคะ” อักษราถามพร้อมรอยยิ้มจางๆ
“กระดุมเสื้อ” พราวฟ้าเห็นตอนที่อักษราก้มๆ เงยๆ ก็รู้สึกว่าเสื้อดูจะคอลึกเกินไป หากติดกระดุมอีกสักเม็ดก็คงจะดีกว่า เพราะระหว่างที่ก้มเงยทำงานอยู่นั้นถึงแม้จะใส่เสื้อกล้ามอยู่ด้านในแต่ก็ยังคงเห็นเข้าไปถึงบริเวณเนินอก พราวฟ้าจึงช่วยติดกระดุมเสื้อให้ อักษรายิ้มๆ กับสิ่งที่ได้รับการดูแลจากพราวฟ้า
“ขอบคุณค่ะ” อักษราอมยิ้มมองสบตากับพราวฟ้าที่ไม่ค่อยกล้าสบตาด้วยมากนัก เพราะหัวใจมันหวั่นไหวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้เห็นสายตาอันอ่อนโยนที่จ้องมองมาที่เธอ
“ยิ้มอะไร หยุดยิ้มเดี๋ยวนี้นะคะ” พราวฟ้ารู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าวขึ้นมาเพราะความเขินอายจากรอยยิ้มแปลกๆ แต่ก็ดูน่ารักของอักษรา
“หวงหรือคะ” อักษราอมยิ้ม
“เป็นผู้หญิงก็ต้องระวังหน่อยค่ะ กระดุมเสื้อติดให้มันสูงขึ้นอีกหน่อยก็ได้ที่จริงควรจะติดขึ้นไปอีกเม็ดด้วยซ้ำนะคะ” พราวฟ้ามองไปที่กระดุมเสื้อของอักษราซึ่งเจ้าตัวกำลังทำตามสิ่งที่ได้ยินพราวฟ้าพูด
“ตามบัญชาค่ะ”
“พราวไม่ได้สั่งนะ แค่บอกเฉยๆเท่านั้น” พราวฟ้ารู้สึกผิดเพราะเกรงว่าคนที่ยืนอยู่จะคิดว่าเธอกำลังเข้าไปบงการแม้แต่เรื่องเล็กๆ
น้อย
“ดีออกค่ะ ไม่รู้สึกว่ามีคนคอยดูแลมาหลายปีแล้ว พราวช่วยติดกระดุมเสื้อให้ทำให้บุ๊ครู้สึกดีขึ้น อย่างน้อยก็มีคนเป็นห่วง” อักษรา
พูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่สดใส
“คนอยากดูแลก็มี ทำไมถึง” พราวฟ้าไม่อยากให้รอยยิ้มสวยๆ ที่ได้เห็นหายไปจึงไม่พูดอะไรต่อ เพราะคนที่เธอกำลังจะพูดถึงก็คือศศิมา
“อย่างบุ๊คใครเขาจะอยากดูแลล่ะคะ มีแต่คนอยากหนีไปไกลๆ ทั้งนั้นแหละ”
“ช่างเหน็บแนมนะคะ ไปหัดมาจากไหน เมื่อก่อนไม่เห็นจะเป็นเลย”
“ขอโทษค่ะ บุ๊คไม่ได้เหน็บแนม บุ๊คพูดจริงๆ กระดุมเสื้อไม่เคยมีใครมาติดให้เหมือนอย่างที่พราวทำให้ ใครที่ไหนเขาอยากจะเข้า
ใกล้สาวชาวไร่ผิวคล้ำเหงื่อออกทั้งวันล่ะคะ” อักษราอธิบายและอยากบอกถึงความรู้สึกดีๆ กับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้รับจากการดูแลเอาใจใส่
ของพราวฟ้า
“ดูดีออก ดูสุขภาพดี ไม่เห็นจะดำเลย”
“ไม่ต้องพูดให้กำลังใจขนาดนั้นก็ได้ค่ะ เจอเพื่อนทีไร เพื่อนๆ ก็บอกทำไมดำขึ้นเรื่อยๆ ตลอดเลย” อักษรายิ้ม
“ผิวดูดีออก สวยขึ้นมากด้วย” พราวฟ้าเผลอพูดออกไปอย่างที่หัวใจรู้สึกอักษราหันมามองเมื่อได้รับคำชมแต่พราวฟ้าก็หันหลังเดินกลับไปทางบ้านพัก
“สวยหรือ” อักษรามองตามพราวฟ้าที่เดินจ้ำอ้าวไปไกลแล้ว
เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าของอักษราดังขึ้น เมื่อรับสายได้ยินเสียงของสาวน้อยเข้าอักษราก็ยิ้มกว้างขึ้นในทันที เพราะปลายสายคือ
ลูกค้าเจ้าประจำตัวน้อยของเธอนั่นเอง
“น้าบุ๊คลืมน้องปอนแล้วแน่ๆ เลย ไปไร่ไม่ยอมกลับมาขายผักสักที คิดถึงจะแย่แล้วค่ะ” เสียงปลายสายทำให้หัวใจของอักษรารู้สึกสดชื่นขึ้นในทันที
“ไม่ลืมค่ะ พอดีมีแขกมาพักอยู่ด้วย เอาไว้จะเอาดอกไม้สวยๆ จากไร่ไปฝากดีไหมคะ เป็นการไถ่โทษ น้องปอนจะได้หายงอนน้า
บุ๊ค” อักษราหัวเราะเล็กๆ นึกถึงรอยยิ้มของสาวน้อยที่อยู่ปลายสาย
“ไม่งอนค่ะ ปอนรักน้าบุ๊คจะตายไป แต่แค่นี้ก่อนนะคะ แม่ซื้อของเสร็จแล้ว วันนี้เราจะทานผัดผักกันค่ะ” สาวน้อยหัวเราะคิกคักผ่านมาทางโทรศัพท์
“ฟังดูน่าอร่อย ชักอิจฉาแล้วสิคะ ว่าแต่ว่าน้องปอนของน้าบุ๊คดื่มนมหรือยังคะ วันนี้”
“อุ๊ยลืม เดี๋ยวดื่มค่ะ น้องปอนสัญญา รีบกลับมาให้กอดไวๆ นะคะ น้าบุ๊ค”
“ค่ะ เสร็จงานแล้วจะรีบไปให้กอดนะคะ สาวน้อยน่ารักของน้าบุ๊ค จุ๊บๆ ค่ะ”อักษรานึกขำเพราะน้องปอนจะวิ่งเข้ามากอดและจุ๊บ
แก้มซ้ายขวาเสมอเมื่อเวลาได้พบเจอหรือจะต้องแยกจากกัน นึกถึงทีไรยิ้มได้ทุกที
“จุ๊บๆ บ๊ายบายค่ะ” เสียงหัวเราะคิกคักดังอยู่สักครู่จนโทรศัพท์ตัดสัญญาณไปแต่ความน่ารักก็ไม่จางหายไปไหนยังคงสร้างรอยยิ้มค้างไว้บนใบหน้าของอักษรา
“น้องปอนมาช่วยให้หัวใจห่อเหี่ยวของน้าบุ๊คชุ่มชื่นขึ้นเยอะเลยคะ ขอบคุณนะคะ” อักษราแอบคิดอยู่ในใจ
อักษราหันไปมองทางด้านที่พราวฟ้าเดินไปเมื่อสักครู่ใหญ่ก่อนที่จะหันกลับมาทำงานของตัวเองต่อ อักษรายังคงก้มๆ เงยๆ ดูแปลงผักของเธอและมองไปที่บริเวณหน้าอกซึ่งตอนนี้กระดุมถูกติดเพิ่มขึ้นมาอีกสองเม็ด ทำให้เธอยิ้มได้เมื่อมองไปที่กระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเองอีกครั้ง ความห่วงใยเล็กๆ น้อยๆ จากคนที่เฝ้ารอมาตลอดหลายปีทำให้เกิดความหวังขึ้นมา เอาวะ ปลูกผักงามมาก็เยอะแล้ว เริ่มปลูกต้นรักอีกสักครั้งจะเป็นไรไปถ้าจะต้องเสียใจอีกครั้งก็ไม่เป็นไร ดีกว่าไม่ได้ทำ หมั่นดูแลเอาใจใส่เผื่อบางทีต้นรักอาจ จะงอกงามเหมือนแปลงผักพวกนี้ก็ได้ อักษราขำกับความคิดของตัวเองที่บางทีก็จ๋อยไปเมื่อรู้สึกว่าพราวฟ้าพูดปิดกั้นไม่ให้มีความหวัง แต่บางทีก็แอบรู้สึกว่าไม่ได้ถูกปิดกั้นจนปิดตายเสียเลยทีเดียว รอยยิ้มกับดวงตาอ่อนโยนที่ได้เห็นในบาง ครั้งทำให้อักษรารู้สึกหัวใจพองโตขึ้นมาได้บ้าง
พราวฟ้านั่งมองขอบฟ้าที่ไล่โทนสีจากสีเข้มไปจนถึงสีฟ้าอ่อน และสุดท้าย ก็ขาวโพลนโดยเฉพาะก้อนเมฆที่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนเหมือนปุยนุ่นที่ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าอย่างไร้จุดหมาย หัวใจเธอก็เช่นกันกำลังล่องลอยโดยไม่รู้ว่าจุดหมายอยู่ที่ไหนและจะหยุดอยู่ที่ใด พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นอักษราที่ยืนยิ้มมองมาที่เธอ ใช่หรือเปล่าที่ๆ หัวใจของเธอซึ่งกำลังล่องลอยอยู่จะหยุดลง ณ ตรงนี้บนพื้นที่สวยงามแห่งนี้กับผู้หญิงที่หัวใจมั่นคงที่กำลังเดินเข้ามาหา ทั้งหมดเป็นคำถามที่พราวฟ้ายังไม่มีคำตอบให้กับหัวใจตัวเองหรือยังไม่กล้าให้คำตอบกันแน่
“มีอะไรบนท้องฟ้าคะ เห็นจ้องอยู่นานแล้ว” อักษราถามเมื่อเดินมาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ
“สีฟ้า” พราวฟ้าอมยิ้ม
“นึกว่าจะเห็นใจใครบางคนบนนั้นเสียอีก” อักษรามองสบตากับพราวฟ้าพร้อมรอยยิ้มจางๆ
“ไม่เห็นมีนี่คะ มองอยู่นานแล้วนะ” พราวฟ้าพูดบ่ายเบี่ยง
“ไม่เคยอยู่ในสายตามากกว่าหรือเปล่า” อักษราพูดทำให้พราวฟ้ารู้สึกว่ามีไฟฟ้าสถิตวิ่งตรงเข้าสู่หัวใจของเธอ มันรู้สึกแป๊บๆ ชอบกล
“มีสิแต่คงต้องใช้หัวใจมากกว่าดวงตานะคะ”
“พราวว่าบุ๊คควรจะตั้งความหวังต่อไป หรือควรจะหยุดได้เสียที” อักษราถามเป็นนัยๆ เผื่อบางทีพราวฟ้าอาจจะยอมแย้มหัวใจออกมาบ้างก็ได้
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ เรื่องหัวใจของใคร ก็ต้องดูแลเอาเอง” พราวฟ้าบอกปัด
“ถึงได้บอกไงว่า ไม่ได้อยู่ในสายตาเลยสักครั้ง”
พราวฟ้าอยากปลอบโยนคนที่ยืนหน้านิ่งๆ แต่หัวใจก็ละล้าละลังเกินกว่าที่จะพูดอะไรออกมา หัวใจยังคงสับสนวุ่นวายกับความรู้สึกของตัวเองทั้งๆ ที่ทุกรอยยิ้มและทุกๆ สัมผัสที่ได้รับจากอักษราทำให้หัวใจอันโดดเดี่ยวรู้สึกสุขใจ เธอควรจะเลิกวิตกและหวาดกลัวกับสิ่งที่เดินเข้ามาหาได้แล้วใช่ไหมเพราะไม่อย่างนั้นอาจจะสูญเสียสิ่งดีๆ ไปจากชีวิตตลอดกาลก็ได้
“อยู่ในสายตาพี่ศศิตลอดมาไม่ใช่หรือคะ” พราวฟ้าพูดขึ้นไม่รู้จะพูดขึ้นมาทำไมทั้งๆ ที่หัวใจตัวเองก็เจ็บปวดไปด้วย
“หรือบุ๊คควรจะเปิดใจเสียที” อักษราพูดลอยๆ มองออกไปยังเส้นขอบฟ้าที่อยู่ตรงหน้า
“ก็ดีนะคะ บุ๊คคงมีความสุข”
อักษราหันมามองสบตาพราวฟ้าที่กำลังจ้องมองเธออยู่เช่นกัน ดวงตาคู่สวยของอักษราไม่ได้แสดงออกอะไรเลย ไม่ได้มองด้วย
ความโกรธ ไม่ได้แสดงความอ่อนโยนเหมือนที่เคย เป็นเพียงสายตานิ่งๆ ที่คงไม่อยากให้พราวฟ้ารู้ว่าหัวใจดวงนี้รู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่ได้ยิน
อักษราขยับเข้ามาใกล้ๆ ดวงตาที่จ้องเขม็งทุกการก้าวย่างของนั้นทำให้การเต้นของหัวใจพราวฟ้า ถี่ยิบขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งใกล้ยิ่งทำให้
หัวใจแทบจะหยุดเต้นเสียให้ได้ จูบอันอ่อนโยนทาบทับมายังริมฝีปากสั่นระริกของเธอที่อยู่นิ่งๆ เพราะกำลังถามกับตัวเองว่าจะอย่างไรต่อดี
“บอกหน่อยได้ไหมว่าไม่ได้รู้สึกอะไรเลย หัวใจพราวเหมือนดั่งหินผาที่บุ๊คทำทุกวิถีทางมาตั้งแต่แรกที่ได้รู้จักจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ พราวก็ไม่ยอมชัดเจนกับความรู้สึกข้างใน หลีกหนี ผลักไสไล่ส่ง เหมือนหัวใจบุ๊คไม่ได้มีค่าอะไรเลย บุ๊คต้องทำอย่างไร ต้องทำดีมากขึ้นอีกมากแค่ไหน พราวถึงจะรับรู้ความรู้สึกของบุ๊คเสียที” อักษราจูบพราวฟ้าอีกครั้ง
“พี่ศศิจูบบุ๊คเมื่อคืน เกิดอะไรขึ้น บุ๊คปล่อยให้พี่ศศิกอดจูบโดยไม่คิดจะปกป้อง แล้วตอนนี้ก็มาจูบพราว มันยังไงกันแน่ ถ้าไม่รู้สึกดีคงไม่ยอมให้พี่ศศิกอดหรือจูบใช่ไหมคะ” พราวฟ้าถามพร้อมกับจ้องเข้าไปในดวงตาของอักษรา
“ถ้าอย่างนั้นเอาอย่างนี้ บุ๊คจะไปบอกกับพี่ศศิว่าบุ๊ครักพราว ซึ่งบุ๊คมั่นใจว่าพี่ศศิจะเข้าใจ พราวต้องการอย่างนั้นหรือเปล่า” อักษราถามเพราะถ้าหาก พราวฟ้าเปิดใจตัวเธอเองก็พร้อมที่จะเปิดใจและบอกกับทุกๆ คนว่าเธอรักพราวฟ้า
“พราวกลัว พราวกังวล พราวไม่รู้ว่ามันใช่ความรักหรือเปล่า พราวรู้สึกดี รู้สึกหวง รู้สึกกังวลใจกับสายตาเศร้าๆ ของบุ๊ค โดยเฉพาะหัวใจมันเจ็บปวดเมื่อเห็นบุ๊คอยู่ใกล้ๆ พี่ศศิ หัวใจมันรู้สึกวุ่นวายสับสนมากเมื่อกลับมาเจอบุ๊คอีกครั้ง” สิ่งที่พรั่งพรูออกมาทำให้พราวฟ้ารู้สึกสบายใจขึ้นหลังจากเก็บกดมานาน
อักษราขยับเข้ามาใกล้ๆ และจูบปลอบโยน
“จับมือบุ๊ค แล้วเราจะเดินไปด้วยกันนะ พราว” น้ำเสียงของอักษราได้สร้างความมั่นใจและกำลังใจให้กับพราวฟ้า โดยเฉพาะมืออันอบอุ่นที่กระชับมือเธอเอาไว้กับคำพูดที่ดังก้องอยู่ในใจว่าเราจะเดินไปด้วยกัน