อักษราพาพราวฟ้ามาที่ไร่ในส่วนที่เป็นบ้านพักของเธอเอง รถจอดที่บ้านหลังไม่ใหญ่และไม่เล็กนัก หากแต่ว่าดอกไม้นานาพันธุ์ปลูกอยู่ล้อมรอบบริเวณบ้านส่งกลิ่นหอมขจรขจายไปทั่ว ดอกมะลิกอใหญ่ปลูกอยู่ที่บันได ซึ่งเป็นทางขึ้นไปสู่ตัวบ้าน สถานที่แห่งนี้ทำให้รู้สึกดีจนน่าประหลาดใจทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เพิ่งกระทบ กระทั่งกับเจ้าของบ้านหลังนี้อยู่เลย
“เก่งนะคะ ทำได้ทุกอย่างเหมือนที่ฝันไว้เลย พราวจำได้บุ๊คเคยบอกว่าถ้ามีบ้านเป็นของตัวเองจะปลูกดอกมะลิกอใหญ่ไว้ข้างๆ บ้านหรือข้างบันไดซึ่งเป็นทางเดินขึ้นบ้าน ออกดอกขาวโพลนส่งกลิ่นหอมชื่นใจมากค่ะ”
“ไม่ใช่บ้านบุ๊คสักหน่อยค่ะ” อักษราอมยิ้มมองสบตากับพราวฟ้าที่ทำท่าทางแปลกใจ
“ไม่ใช่บ้านบุ๊ค แล้วบ้านใครกันคะ” พราวฟ้าถาม อักษราจึงเดินไปหยิบบางสิ่งบางอย่างออกมา
“คนที่มีชื่อนี้ต่างหากที่เป็นเจ้าของบ้าน” อักษรายิ้มให้พราวฟ้า
“บ้านพราวฟ้า” พราวฟ้าอ่านป้าย ซึ่งทำจากไม้แกะสลักสวยงามโดยมี ชื่อของเธอติดอยู่บนแผ่นป้ายนั้น
“ใช่ค่ะ บ้านพราวฟ้าดอกแก้วที่พราวชอบบุ๊คปลูกไว้ให้อยู่ทางด้านข้างของตัวบ้านค่ะ” อักษราพูดชื่อบ้านและพูดถึงดอกไม้สีขาว
อีกชนิดหนึ่งด้วยความรู้ สึกดีๆ ที่มีเสมอมา
“บุ๊คล้อพราวเล่นล่ะสิ” พราวฟ้าไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้เห็น
“ไม่ได้ล้อ บุ๊คปลูกไว้และหวังมาตลอดว่าพราวจะได้มาเห็น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ความหวังมันริบหรี่มาก” อักษราเดินเข้ามาใกล้ๆ และ
บอกกับพราวฟ้า
“ทำไมต้องทำอะไรมากมายขนาดนี้ สิ่งที่บุ๊คเคยพูดให้พราวฟังเมื่อตอนที่เราทำงานอยู่ด้วยกัน บุ๊คตั้งใจทำจริงๆ อย่างที่พูด พราวไม่อยากจะเชื่อเลยนะบุ๊ค” พราวฟ้ายิ้มทั้งน้ำตากับทุกสิ่งทุกอย่างที่อักษราพูดไว้ เมื่อหลายปีก่อนและ ณ เวลานี้ผู้หญิงคนนี้ก็ทำอย่างที่เคยได้พูดไว้ ทั้งๆ ที่ตอนที่ได้ยินอักษราวาดฝัน พราวฟ้ายังแอบขำกับความคิดนั้น เพราะคงไม่มีใครจะทำอะไรเพื่อใครมากมายขนาดนี้
“จริงๆ แล้วบุ๊คก็ทำเพื่อตัวเองด้วยนะ ทุกสิ่งที่ได้ทำ ทำให้หัวใจของบุ๊คมีความสุข อย่างเช่นดอกมะลิหอมๆ นั่น บุ๊คก็ลงมือปลุกด้วยตัวเอง ยิ้มทุกครั้งเมื่อได้เห็นดอกสีขาวๆ พอบานได้ที่ก็ส่งกลิ่นหอม บางทีก็เก็บเอามาเสียบกับทางมะพร้าวนำไปใส่แจกันถวายพระอยู่บ่อยๆ เวลาดอกแก้วบานก็จะนึกถึงช่อที่พราวเคยให้ ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มสวยๆ ของพราวก็ยิ่งทำให้บุ๊คมีความสุขไปด้วย” อักษรากำลังพยายามพูดเตือนตัวเองและทบทวนอยู่ว่าทั้งหมดนี่ไม่ได้ฝันไป พราวฟ้าอยู่ที่นี่อยู่ที่บ้านหลังนี้ที่มีชื่อเดียวกัน อักษรายิ้มและคิดว่าตัวเองนั้นคงดีใจจนเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ ที่คิดว่าตัวเองฝันไป
“กอดพราวหน่อยนะ บุ๊ค” พราวฟ้าพูดขึ้นแล้วยิ้มอายๆ ไม่รู้จะขอบคุณผู้หญิงที่ชื่ออักษราอย่างไร แต่หัวใจเธอรู้สึกได้ว่าอยากสัมผัสไปที่หัวใจของอักษรา การสวมกอดทำให้หัวใจสองดวงได้อยู่ใกล้ชิดกัน
“กอดได้หรือคะ ตอนก่อนที่จะมาที่นี่จับมือยังไม่ค่อยอยากจะให้จับเลย” อักษรายิ้มแหยๆ มองสบตากับพราวฟ้า
“ก็เมื่อคืนบุ๊ค” พราวฟ้าเกือบที่จะเผลอตัวต่อว่าอักษราไปสำหรับภาพที่เธอเห็นอักษรากับศศิมาเมื่อคืนที่ผ่านมา
“เมื่อคืนมีคนใจร้าย ตัดสายทิ้ง ไม่รู้โกรธเรื่องอะไร” อักษรานึกขึ้นได้จึงได้ลองเลียบๆ เคียงๆ ถามดู
“ไม่ได้เป็นอะไรกัน พราวจะไปโกรธบุ๊คเรื่องอะไรล่ะคะ”
“ก็จริงของพราว” อักษราสายตาดูเศร้าไปในทันทีที่ได้ยินพราวฟ้าพูดออก มาว่าระหว่างเธอกับพราวฟ้าไม่ได้เป็นอะไรกัน
“พราวขอโทษนะ บุ๊ค” พราวฟ้าเข้าสวมกอดอักษราเอาไว้ด้วยอยากปลอบโยนให้สายตาที่ดูเศร้ากลับมาสดใสเหมือนเดิม
“ช่างเถอะค่ะ บุ๊คน่าจะเตรียมตัวเตรียมใจ เพราะอย่างไรเสียก็คงถูกปฏิเสธอีกครั้งแน่ๆ” อักษราพูดขึ้น พราวฟ้าจึงกอดกระชับให้แน่นขึ้น เพราะรู้ตัวดีว่าเป็นคนที่ทำให้หัวใจของอักษราปวดร้าวอีกครั้ง
พราวฟ้าไม่รู้จะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด สิ่งเดียวที่ทำได้และทำอยู่ในตอนนี้ก็คือการกระชับอ้อมกอดที่กอดอักษราเอาไว้ให้แน่นที่สุดเท่าที่แรงแขนของเธอมี อักษราก็กอดกระชับเธอเช่นกัน
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ บุ๊ค” พราวฟ้ารำพึงเบาๆ แต่คนที่ได้ยินก็ยิ้มกว้างขึ้น ความรู้สึกเช่นนี้อักษราโหยหามานาน อ้อมกอดอันอบอุ่นไม่เคยจางหาย ไปจากหัวใจเธอเลยสักวินาทีเดียว แม้นว่าจะเป็นอ้อมกอดแห่งมิตรภาพก็ตามทีตัวอักษราเองก็อยากที่จะซึมซับและเก็บเอาไว้ในหัวใจ เพื่อเป็นกำลังใจในการดำเนินชีวิตถึงแม้ว่าจะถูกปฏิเสธจากพราวฟ้าอีกครั้งก็ตาม
“อย่าเพิ่งไปไหนได้ไหมคะ อยู่ด้วยกันก่อน” อักษราพูดจบก็กอดพราวฟ้าไว้แน่นกว่าเดิม
“แต่พราว” พราวฟ้ารู้สึกกังวลใจ ภาพของอักษรากับศศิมาเข้ามารบกวนในหัวใจเธออยู่เกือบตลอดเวลาตั้งแต่เมื่อคืนก่อน และ
ตอนนี้ก็ยังคงวนเวียนอยู่ไม่ไปไหน แต่ดวงตาอันอ่อนโยนของอักษราที่กำลังมองจ้องมาทีเธอหลังจากพูดขอร้อง ก็ทำให้หัวใจอ่อนแอ
และอ่อนไหวไปกับดวงตาคู่นั้น
“แค่คืนเดียวก็ได้ ลำพังแค่เราสองคน” อักษราเริ่มน้ำตารื้นขึ้นมามองจ้องพราวฟ้าซึ่งมองด้วยสายตานิ่งๆ ด้วยความรู้สึกว่า หัวใจที่
กำลังจะล่องลอยและหายไปได้ย้อนคืนกลับมาใหม่อีกครั้ง
พราวฟ้าช่วยเช็ดน้ำตาให้แล้วยิ้มจางๆ พร้อมกับพยักหน้าตอบรับคำร้องขอที่ได้ยิน
“พราวควรจะทำให้อะไรให้บุ๊คบ้างเพราะบุ๊คทำอะไรๆ ให้พราวมาเยอะมากแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ทำงานอยู่ด้วยกัน พราวอยู่เย็นค่ำบุ๊คก็ช่วยทำงานอยู่เป็นเพื่อนจนเสร็จ พราวจำได้หมดทุกอย่างเลยรู้ไหม” พราวฟ้ากอดปลอบโยนอักษราที่ยังคงเช็ดน้ำตาของตัวเองให้เหือดแห้งไปโดยเร็ว ไม่อยากให้พราวฟ้าเห็นความอ่อนแอของเธอนานนัก
“ขอบคุณค่ะ ว่าแต่ว่าเต็มใจหรือเปล่า บุ๊คไม่อยากทำให้พราวไม่สบายใจ” อักษราพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้
“บ้านเป็นชื่อของพราว ถ้านอนค้างสักคืนคงมีความสุขมากนะคะ” พราวฟ้าช่วยเช็ดน้ำตาและยิ้มทะเล้นให้ ความน่ารักและความจริงใจของอักษรากำลังทลายกำแพงและความคลางแคลงที่เกิดขึ้นในหัวใจ
พราวฟ้ายิ้มกว้างขึ้นและตั้งใจว่านับแต่วินาทีนี้จะทำดีกับคนที่ทำดีกับเธอตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งถึงวันนี้ ไม่เคยมีวันไหนเลยที่จะ
ทำให้เสียใจ อักษรามอบสิ่งดีๆ ให้มาตลอด
“ลองอยู่ก่อนก็ได้ค่ะ ถ้ารู้สึกว่ามีความสุขจะอยู่ที่นี่ตลอดไปก็ได้” อักษราพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูมั่นคง พราวฟ้าพอจะเข้าใจว่าเป็น
ความตั้งใจจริงที่มีมาตั้งแต่ตอนที่เธอยังไม่เดินทางไปต่างประเทศ สายตาที่มุ่งมั่นของอักษรามีให้เห็นเด่นชัดตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกันหลัง
จากห่างหายกันไปหลายปี
แต่เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือของพราวฟ้าได้เข้ามาช่วยเธอให้ได้เลี่ยงออกมาจากการหว่านล้อมของอักษราที่ได้ทำให้
ค่อยๆ ใจอ่อนลงเรื่อยๆ
“ขอพราวไปรับโทรศัพท์ก่อนนะคะ” พราวฟ้าอมยิ้มมองสบตากับอักษราที่กำลังยิ้มอยู่เช่นกัน
“ต้องเริ่มหว่านล้อมใหม่สิอย่างนี้ โดนขัดจังหวะเสียก่อน” อักษราพึมพำเบาๆ
“สวัสดีวิ รักวิที่สุดเลยที่โทรมา” พราวฟ้าพูดทักทายแล้วยิ้มทะเล้น
“แหมหวานไปนะเพื่อนฉัน” วิลาวัลย์อมยิ้มเพราะน้ำเสียงและการทักทายจากเพื่อนทำให้เธอรู้สึกหายห่วงไปได้เยอะ
“ว่าอย่างไรมีอะไรหรือเปล่า” พราวฟ้าถาม
“เปล่าก็แค่เป็นห่วงเห็นเดินทางคนเดียว” วิลาวัลย์บอกถึงความห่วงใยที่เธอมีให้กับเพื่อนรักได้รับรู้
“ขอบใจจ๊ะ” พราวฟ้ายิ้ม
“น้ำเสียงร่าเริงเบิกบานไปนะ มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ” วิลาวัลย์เริ่มสงสัย
“เรื่องมันยาว เอาไว้จะเล่าให้ฟังนะ” พราวฟ้าบอก
“เรื่องหัวใจหรือเปล่า น้ำเสียงฟังดูสดใสขนาดนี้” วิลาวัลย์แกล้งหลอกถามเพราะไม่รู้เหมือนกันว่ามีเรื่องอะไร แต่จากน้ำเสียงของเพื่อนแล้วดูสดใสเสียเหลือเกิน
“เรื่องมันยาวจริงๆ เอาไว้วันหลังจะเล่าให้ฟัง”
“เรื่องบุ๊คล่ะสิ เอาสั้นๆ สรุปว่าเกิดอะไรขึ้น” วิลาวัลย์พูดเสียงเข้มด้วยความเป็นห่วง จากที่เจอศศิมากับอักษราที่งานเลี้ยงรุ่นเมื่อไม่นานมานี้ดูไม่ใช่แค่เพื่อนธรรมดาแน่ๆ เพราะศศิมาแสดงออกว่าแคร์อักษราเอามากๆ และทุกคนที่ได้พบและ ได้พูดคุยกับสองสาวคู่นั้นก็ลงความเห็นเช่นเดียวกันว่าศศิมากับอักษราน่าจะเป็นคู่รักกันมากกว่า
“ตอนนี้พราวอยู่บ้านบุ๊ค แล้วก็” พราวฟ้าไม่รู้จะบอกวิลาวัลย์อย่างไรเรื่องที่อักษราขออยู่กับเธอตามลำพัง
“บ้านบุ๊ค อย่าบอกนะว่าจะอยู่ด้วยกันตามลำพัง” วิลาวัลย์เห็นเพื่อนอึกอักไม่ยอมพูดต่อเลยคาดเดาเอาเองว่าเพื่อนรักของเธอคง
ใจอ่อนไปกับผู้หญิงที่น่ารักอย่างอักษราไปมากแล้วแน่ๆ
“ก็พักที่นี่คืนเดียว พรุ่งนี้ก็เดินทางไปถ่ายรูปและหาข้อมูลเขียนหนังสือต่อแล้ว วิกำลังทำให้พราวรู้สึกว่ากำลังโดนจับผิดจากผู้ใหญ่อยู่เลยรู้ตัวไหม” พราวฟ้ายิ้มเมื่อนึกถึงว่า ถ้าหากเพื่อนของเธออยู่ตรงนี้อยู่ต่อหน้าไม่ได้เพียงแค่พูดโทรศัพท์
กัน เธอคงโดนสายตาดุๆ ของวิลาวัลย์เข้าแน่ๆ
“ระวังไว้เถอะ แค่วินาทีเดียวหัวใจพราวก็จะไม่ยอมกลับมาอยู่กับพราวมีหวังบุ๊คเอาไปครอบครองแน่ อย่าหาว่าเพื่อนไม่เตือนล่ะ”
วิลาวัลย์พูดเตือนเพราะตัวเธอก็ไม่มีสิทธิ์อะไรสำหรับเรื่องของหัวใจ วิลาวัลย์รู้เรื่องระหว่างสองสาวดีจากที่พราวฟ้ามาเล่าและมาขอคำ
ปรึกษาอยู่ตลอด
“ฟังดูเหมือนหวงเพื่อนนะ วิ” พราวฟ้าแกล้งแหย่วิลาวัลย์
“เป็นห่วงมากกว่า แต่ถ้าพราวมีความสุขแล้วก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนก็ไม่เป็นไร วิรู้ดีว่าหัวใจพราวรู้สึกอย่างไรกับบุ๊คเพียงแต่ว่าไม่ยอมเปิดใจ ตอนนี้คงจะกำลังลองแง้มหัวใจตัวเองอยู่ละสิ แต่ยังไงล่ะก็ เช็คให้แน่นะว่าคนดีของพราวน่ะแอบมีใจให้คนอื่นอยู่หรือเปล่า ไม่อย่างนั้นเรื่องวุ่นวายก็จะตามมา” วิลาวัลย์ไม่ได้พูดพาดพิงถึงศศิมา เพราะตัวเธอเองกับคนอื่นๆ ก็เพียงแค่คาดเดา แต่ศศิมากับอักษราก็ไม่เคยพูด หรือบอกใครให้รู้ว่าสองคนมีความสัมพันธ์กันและคบหากันในสถานะใด
“ตอนไม่ได้เจอก็เหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พอได้พบมันก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ พราวก็พยายามเตือนตัวเองอยู่นะ แต่หัวใจก็ไม่ยอมฟังคำเตือนใดๆ แค่บุ๊คมองสบ ตาพราวก็รู้สึกเหมือนกับตัวเองตอบตกลงไปกับทุกคำถามของบุ๊ค” พราวฟ้าถอนใจเล็กๆ หลังจากรับรู้ถึงความห่วงใยของเพื่อน
“ก็ตกหลุมรักมาตั้งนานแล้วก็หนีไป ปล่อยให้มันตกตะกอน แล้วยังไงล่ะ พอบุ๊คมากวนๆ เข้าหน่อยไอ้ตะกอนที่ขุ่นๆ นิ่งๆ อยู่ก็เริ่มทำงาน หัวใจเลยหวั่นไหวขึ้นมาทันที คงต้องถามหัวใจกับความรู้สึกของตัวเองดูแล้วล่ะว่าจริงๆ รู้สึกอย่างไร บุ๊คก็เป็นคนดีเสมอต้นเสมอปลาย แต่ก็ต้องระมัดระวังดูแลหัวใจตัวเองด้วยนะจ๊ะ เพื่อนรัก เพราะเวลาเจ็บขึ้นมาล่ะก็ปางตายเชียวนะ” วิลาวัลย์หัวเราะเล็กๆ หลังจากพูดขู่พราวฟ้าที่เงียบฟังเธออยู่นานและตอนนี้ก็ยังคงเงียบอยู่
“พราวถามหน่อย ถ้าหากวิเป็นพราววิจะทำอย่างไร” พราวฟ้าขอความคิดเห็นจากเพื่อน ทั้งๆ ที่ตัวเธอเองก็ดูจะตัดสินใจแล้วว่าจะเอาอย่างไรต่อไปกับความรู้สึกและหัวใจของตัวเอง แต่อยากได้ฟังความคิดเห็นจากเพื่อน เผื่อว่าจะทำ
ให้เธอตัดสินใจได้ดีกว่าที่คิดเอาไว้
“ถ้าถามวิหรือ วิคงตกลงเป็นแฟนกับบุ๊คไปตั้งแต่เมื่อห้าหกปีก่อนแล้วล่ะ” วิลาวัลย์หัวเราะผ่านมาทางโทรศัพท์ แต่ว่าก็คิดเช่นนั้นจริงๆ
“กำลังบอกว่าเพื่อนตัดสินใจผิดใช่ไหมที่ไปต่างประเทศ” พราวฟ้าถาม ด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ เพราะเพื่อนรักของเธอดูจะเข้าข้างอักษรามากกว่า
“ก็คิดเอาเอง หนีไปไหนพ้นไหมล่ะ เสียเวลาไปตั้งห้าหกปี บุ๊คคงจะปล่อยไปง่ายๆ อีกหรอกนะ มีหวังอ้อนจนใจอ่อนไปไหนไม่รอด
หรอกเชื่อสิ” วิลาวัลย์อมยิ้มเพราะรู้ดีว่าเพื่อนกำลังทำหน้าบูดอยู่ทางโน้น
“แรกๆ พูดเหมือนเตือน หลังๆ พูดเหมือนเชียร์เลยนะ มันอย่างไรกันแน่คะ” พราวฟ้าถามด้วยน้ำเสียงกวนๆ
“คงเตือนได้หรอกนะแม่เพื่อนรักของฉัน ก็ยอมค้างบ้านเค้า สองต่อสองอยู่ด้วยกันตามลำพังไม่หวั่นไหวก็ให้รู้ไป” วิลาวัลย์นึกขำคำพูดของตัวเองที่ได้พูดแกล้งเพื่อน เพราะป่านนี้ทางโน้นคงคิดมากไปแล้ว
“เปลี่ยนใจตอนนี้ก็ยังทัน” พราวฟ้าพูด
“ทบทวนดูดีๆ ถามหัวใจตัวเองก่อนนะ แค่ล้อเล่นนิดเดียวทำเป็นจะทิ้งไป อย่าเลยสงสารบุ๊ค ให้บุ๊คนอนกอดสักคืนตอบแทนคนที่มี
หัวใจมั่นคงจะเป็นไรไปล่ะ แค่กอดก็พอนะอย่าให้ทำอย่างอื่นด้วยล่ะ” วิลาวัลย์หัวเราะแล้วก็ส่ายหน้าเพราะรู้ดีกว่าอย่างไรเสียพราวฟ้าก็คงจะพักอยู่กับอักษราตามที่เจ้าของบ้านขอร้อง
“ร้ายนักนะ พูดจบก็วางสายเลย” พราวฟ้าอมยิ้มนึกขอบคุณความห่วงใยที่วิลาวัลย์มีให้เธอเสมอมาก่อนจะหันไปมองอักษราที่กำลังจัดโต๊ะเตรียมอาหารเช้าด้วยรอยยิ้มที่ดูสดใส
“หิวหรือยังคะ” อักษราเดินออกมาตรงระเบียงที่พราวฟ้ายืนคุยโทรศัพท์อยู่เมื่อสักครู่
“ค่ะ” พราวฟ้ายิ้มให้อักษรา
“อยู่ด้วยกันก่อนนะ จะทำอาหารให้ทานสามมื้อเลย”
“เอาของกินมาล่อนะ” พราวฟ้าอมยิ้มกับรอยยิ้มน่ารักๆ ของอักษราที่กำลังขโมยหอมแก้มเธอแล้ววิ่งหนีเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้พราวฟ้ายืนยิ้มจับแก้มตัวเองอยู่ที่เดิมเพียงลำพัง
“บุ๊คอยากให้พราวอยู่ตลอดไป” อักษราพูดกับตัวเองในขณะที่กลับเข้ามาเตรียมอาหารเช้าสำหรับตัวเองและพราวฟ้า หากแต่ความกังวลก็ไม่ได้หายไปไหน