พราวฟ้านอนหนุนตักของอักษรา สายตาจับจ้องอยู่ที่ก้อนเมฆสีขาวที่ดูอ่อนนุ่มในยามเคลื่อนไปตามทิศทางของลม พราวฟ้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่รู้ว่าเพราะอากาศบริสุทธิ์ของสถานที่แห่งนี้ หรือเพราะความสุขที่กำลังเกิดขึ้นในหัวใจของเธอกันแน่ เธอหลับตาลงเพื่อซึมซับความรู้สึกที่กำลังก่อตัวขึ้นในหัวใจและในความรู้สึกของเธอ
“ดีใจจังที่ได้เห็นรอยยิ้มสวยๆ” อักษราพูดและจ้องมองดวงหน้าที่สวยงามของพราวฟ้าซึ่งหลับตาพริ้มอมยิ้มอยู่บนตักของเธอ
“ปากหวานนะคะ เมื่อก่อนไม่เห็นเป็น” พราวฟ้าหัวเราะเล็กๆ แต่ยังคงหลับ ตาอยู่พร้อมรอยยิ้มทะเล้น ซึ่งเธอรู้ดีกว่าอักษรากำลังจ้องมองอยู่
“อยากมัดใจเอาไว้ ก็ต้องหัดพูดไว้บ้างล่ะคะ”
“มัดใจ” พราวฟ้าพูดทวนคำ
“อยากมัดทั้งตัวทั้งใจเลย ไม่รู้ต้องทำอย่างไร แต่บุ๊คไม่ยอมปล่อยไปไหนอีกแน่” อักษราพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ พราวฟ้าลืมตาขึ้น
มองสบตากับอักษรา
“บุ๊คทำให้พราวรู้สึกว่าตัวเองมีค่าเสมอมา ตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จักกันจนถึงวันนี้ มั่นใจหรือว่าพราวดีพอที่บุ๊คอยากจะมัดเอาไว้” พราวฟ้าถามพร้อมรอยยิ้มจางๆ
“ทุกวัน ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ พราวมัดใจบุ๊คไว้กับพราว แต่ไม่รู้ว่าพราวรู้สึกเหมือนกันไหม” อักษราไม่อยากพูดผูกมัดมากนัก ถึงแม้จะพอรู้ว่าคนที่นอนหนุนตักอยู่พอจะรู้สึกดีๆ กับตัวเองอยู่บ้าง แต่การจากไปเมื่อครั้งก่อนทำให้ไม่อยากที่จะให้เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นอีก
“ถ้ายังไม่ตอบจะโกรธไหม” พราวฟ้าจ้องมองดวงตานิ่งๆ ที่กำลังจ้องมองเธออยู่เช่นกัน
“ไม่ค่ะ ไม่เคยเลยนะที่จะโกรธ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันค่ะ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิดจะทำอะไรก็ได้ รวมถึงเลือกที่จะรักหรือไม่รักใครก็ได้
อีกฝ่ายก็ไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะโกรธไม่ใช่หรือคะ” อักษราอธิบายและบอกเล่าสิ่งที่เธอคิด ถึงแม้ว่ามันจะรู้สึกเจ็บแป๊บๆ ให้หัวใจก็ตามที
“บุ๊คดูเข้าใจคนอื่นดีนะ มิน่าถึงมีคนห้อมล้อมเยอะ” พราวฟ้านึกถึงเรื่องที่วิลาวัลย์เล่าให้เธอฟัง วันที่ได้พบกับอักษราในงานเลี้ยงรุ่น
“ไม่เห็นมีใครสักคนที่จะมาห้อมล้อมบุ๊ค มีแต่จะออกห่างมากกว่า” อักษราถอนใจเล็กๆ เมื่อพูดถึงเรื่องการจากลา
“ได้ยินมาว่าเนื้อหอม วันที่ควงพี่ศศิไปงานเลี้ยงรุ่น” พราวฟ้าพูดด้วยน้ำ เสียงที่ฟังดูไม่ค่อยพอใจ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ทั้งๆ
ที่พยายามปรับเสียงให้ฟังดูเป็นปกติให้มากที่สุดแล้ว
“ไม่ได้ควงสักหน่อยค่ะ แค่โดนบังคับแกมขอร้องให้ไปเป็นเพื่อน” อักษราอธิบายพร้อมด้วยรอยยิ้ม
“ยิ้มอะไร” พราวฟ้าเผลอหยิกอักษราเข้าที่แขนเมื่อได้เห็นรอยยิ้มแปลกๆ
“แอบคิดเข้าข้างตัวเองนิดหน่อยค่ะ ก็เลยยิ้มได้” อักษรายังคงนั่งอมยิ้มมองออกไปยังท้องฟ้าสีครามที่สวยงาม
“คิดอะไรคะ ถึงได้ยิ้มแปลกๆ แบบนี้” พราวฟ้าถาม
“ตอนแรกๆ ก็คิดว่าพราวผลักไส แต่คิดไปคิดมาไม่รู้ว่าหวงหรือเปล่า”
“หวงใครกันคะ ที่ไหน ไม่มีสักหน่อย” พราวฟ้าพูดแก้ตัวในทันที เมื่อเห็นรอยยิ้มทะเล้นของอักษรากับดวงตาวาววับที่ทำให้เธอ
หวั่นไหวอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้น พี่ศศิก็กอดและจูบบุ๊คได้เหมือนเดิมอย่างนั้นสิ ใช่หรือเปล่าคะ” อักษราพูดจนพราวฟ้าเริ่มรู้สึกว่า ตัวเธอกำลังถูกต้อนให้จนมุม
“ก็ตามใจสิ” พราวฟ้าไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะรู้ตัวดีขืนพูดอะไรออกมาก็คงเข้าอีหรอบเดิม เพราะสิ่งที่เธอรู้สึกก็คือ ใช่เธอหวงอักษราไม่อยากให้ศศิมาเข้าใกล้เหมือนที่ได้เห็นเมื่อคืนก่อน
“ไม่ดีกว่า เดี๋ยวใครเข้าใจผิด บุ๊คจะระวังเนื้อระวังตัว จะได้สบายใจ ดีไหม" อักษรายืนหน้าไปถามคนที่นอนหนุนตักใกล้ๆ
“ก็ดีค่ะ เอ๊ยไม่ใช่ มาถามพราวทำไมกัน” คนพูดพลิกตัวนอนตะแคงเพราะรู้ดีว่าตัวเองจะหน้าแดงขึ้นภายในไม่กี่วินาทีด้วยความ
เขินอาย
“เวลาอายก็หันหน้าหนีอย่างนี้ทุกที บุ๊คจำได้นะ”
“จำอะไรได้” พราวฟ้าถามแต่ก็ยังไม่ยอมที่จะหันกลับมานอนท่าเดิม
อักษราอมยิ้มเมื่อนึกถึงวันวาเลนไทน์แรกที่เธอนำดอกกุหลาบสีขาวไปวางไว้ที่โต๊ะทำงานของพราวฟ้าโดยไม่ได้บอกว่าเป็นของ
เธอ แต่คนได้รับคงพอจะรู้ว่าเป็นใคร รอยยิ้มอายๆ กับการเบือนหน้าหนีไม่ยอมสบตาด้วยยังคงความน่ารักอยู่ในความรู้สึกของเธอเสมอมา และเวลานี้ดูจะได้เห็นอาการเขินอายอย่างนั้นอีกครั้ง อักษราจับที่แขนพยายามรั้งตัวพราวฟ้าให้กลับมามองหน้าเธอ
“จำคนขี้อาย กับดอกกุหลาบขาวได้ค่ะ” อักษราอมยิ้มเมื่อเห็นพราวฟ้าหันกลับมาถลึงตาใส่
“แอบขำอยู่ในใจล่ะสิ” พราวฟ้าหยิกอักษราเข้าที่แขน
“เปล่าค่ะ รู้สึกดีต่างหาก วันนั้นดีใจที่พราวไม่ได้ทิ้งเจ้าดอกกุหลาบดอกนั้นและถือกลับบ้านไปด้วย” อักษรายิ้มกว้างขึ้นนึกถึงความรู้สึกในครั้งก่อนถึงแม้จะเนิ่นนาน แต่ก็ไม่เคยจางหายไปจากหัวใจของเธอเลย
“บุ๊คมีแต่เรื่องดีๆ ที่ทำให้พราว แต่พราวสิ” พราวฟ้ารู้สึกผิดเมื่อนึกถึงเรื่องราวในครั้งที่ยังคงทำงานอยู่ที่เดียวกับอักษรา
“ทำไมคะ รู้ไหมรอยยิ้มสวยๆ ในทุกเช้าที่เราได้พบกัน ทำให้บุ๊คมีความสุขเสมอเมื่อได้นึกถึง ของขวัญทุกชิ้นที่พราวให้บุ๊คก็เก็บ
ไว้อย่างดี เสื้อเชิ้ตตัวสวยที่ไม่รู้ว่าพราวรู้ได้อย่างไรว่าบุ๊คชอบสีฟ้า เช็ดปากให้เวลาบุ๊คกินขนมเลอะเทอะ ซึ่งแย่เนอะทานขนมทีไรพราว
ต้องช่วยเช็ดปากให้ทุกทีเลย แล้วยังช่วยแนะนำเรื่องงานและอีกมากมาย บุ๊คไม่เคยลืม ถึงแม้เวลามันจะผ่านมานานพอสมควรแล้วก็ตาม” อักษรารู้สึกว่าหัวใจของเธออุ่นๆ เมื่อพราวฟ้าจ้องมองมาที่ด้วยแววตาที่อ่อนโยนเหมือนเมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมา
“นั่นสิ ดูเรียบร้อย แต่กินขนมทีไรปากเปื้อนทุกที” พราวฟ้าอมยิ้ม
“มูมมามหรือตะกละ คงประมาณนั้นล่ะคะ” สองสาวหัวเราะขึ้นพร้อมๆ กัน
“แกล้งทำเป็นอร่อยกับขนมที่พราวซื้อไปให้มากกว่า”
“ไม่ได้แกล้งเลยนะคะ มันอร่อยจริงๆ” อักษรารีบปฏิเสธทันควัน
“หรือว่าแกล้งกินเลอะเทอะ เพื่อจะให้พราวช่วยเช็ดปากให้” พราวฟ้าพูดน้ำเสียงเข้มเป็นการเค้นหาคำตอบจากอักษราที่นิ่งไปสัก
ครู่
“บางครั้งก็สร้างสถานการณ์บ้าง ก็อยากอยู่ใกล้ๆ นี่” อักษราพูดอ้อมแอ้ม
“ร้ายนักนะคะ มิน่าล่ะ” พราวฟ้าพูดด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้
“มิน่าอะไรคะ”
“มิน่า พี่ศศิถึงได้ชอบบุ๊คน่ะสิ” พราวฟ้าพูดเสียงดังฟังชัด
“มีคนรักเยอะๆ ก็ดีออก”
“ก็จริง บุ๊คเป็นคนดีใครๆ ก็คงรัก” พราวฟ้าพูดเสียงอ่อย ภาพเมื่อคืนก่อนกลับมากระทบเข้าที่หัวใจของเธออีกครั้ง
“แต่คนที่อยากให้รักก็ไม่รัก” อักษรายิ้มจางๆ มองสบตากับพราวฟ้าซึ่งกำลังยืนมือไปแนบที่แก้มของคนที่ยิ้มจางลงในทันที อักษราแนบแก้มเข้ากับมืออันอบอุ่นของพราวฟ้าหลับตาลงซึมซับสัมผัสอันอ่อนโยนนั้นเอาไว้ในหัวใจ เพราะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้รับความรู้สึกดีๆ แบบนี้อีกหรือไม่ พราวฟ้าลุกขึ้นนั่งและโอบกอดอักษราไว้แนบแน่นด้วยอยากปลอบโยนหัวใจแสนดีของอักษรา
“คนที่อยากรักอาจจะไม่กล้ารักก็ได้นะ บุ๊ค” อักษรากอดกระชับพราวฟ้าให้แน่นขึ้นด้วยอยากปลอบโยนหัวใจที่ยังคงละล้าละลังกับความรู้สึกที่อยู่ภายใน
“ก็บอกแล้วไงคะ บุ๊คจะจับมือพราวแล้วเราจะเดินไปด้วยกัน ไม่ต้องกลัวไม่ต้องกังวลนะคนดี” อักษราจูบไปที่เส้นผมของคนที่กอดกระชับเธอเอาไว้แนบแน่น
บ้านพักของอักษราหลังนี้ ถือเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ไม่ค่อยมีใครจะเข้ามาก่อนที่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าของ คนงานและพนักงานของไร่ทราบดีถึงความสงบส่วนตัวที่เจ้าของไร่ต้องการจึงไม่มีใครที่จะล่วงล้ำเข้ามาในบริเวณนี้ แต่ ณ เวลานี้ใครบางคนมายืนอยู่นานพอสมควรแล้ว ภาพที่เห็นกับการพูดคุยที่ได้ยินทำให้ศศิมารู้สึกสับสน แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนก็คือหัวใจของเธอที่รู้สึกอ่อนแรงและกำลังสิ้นหวังกับสิ่งที่ตัวเองคิดว่า คือ ความรัก ในเวลานี้ชัดเจนแล้วว่าคนที่เธอรักมีคนที่รักอยู่แล้ว
ศศิมาพยายามควบคุมความรู้สึกของตัวเองและเดินหนีออกมาจากสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวด
“สวัสดีค่ะ คุณศศิ” คนงานของไร่ทักทายศศิมาที่พยายามฝืนยิ้มให้
“สวัสดีค่ะ”
“มาหาคุณบุ๊คหรือคะ เห็นเดินไปที่บ้านพักทิวเขา”
“มาสั่งผักค่ะ บุ๊คอยู่ที่บ้านไม่รบกวนดีกว่า ฝากใบสั่งของไว้ก็แล้วกันนะคะ”ศศิมาบอกกับคนงานของไร่พร้อมยื่นเอกสารให้
“โทรไปก็ได้ค่ะ คุยกับคุณบุ๊คเองน่าจะดีกว่า” คนงานอึกอักเพราะเห็นท่าทางผิดปกติของศศิมา
“ไม่เป็นไร ฝากเอกสารไว้ แล้วจัดส่งของไปที่รีสอร์ทพรุ่งนี้เช้าด้วยนะคะ”ศศิมารีบพูดตัดบท เพราะเกรงว่าตัวเองจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ถ้าคนงานของไร่ ยังคะยั้นคะยอให้เธอรอพบอักษรา
“ออเดอร์กับเจ้าของไร่ได้ราคาพิเศษนะคะ พี่ศศิ” เสียงของอักษราดังมาจากทางด้านหลัง คนงานของไร่ยิ้มและขอตัวออกไป
ก่อน
“แต่พี่ไม่ได้พิเศษอะไร ราคาเดียวกับคนทั่วไปก็ได้ค่ะ” ศศิมาพูดเสียงเรียบคนที่ได้ยินรู้สึกแปลกใจเพราะปกติศศิมาจะร่าเริงสดใสเสมอเมื่อได้พบกัน
“อารมณ์ไม่ดีมาจากไหนนะ เสียงดุเชียว บุ๊คกลัวนะคะ พี่ศศิ” อักษราอมยิ้มเมื่อเห็นศศิมามองเธอด้วยสายตาแปลกๆ
“ใช่สิ พี่ไม่ได้มีความสุขเหมือนบุ๊คนี่ หน้าตาสดใส ยิ้มก็สวยขึ้นเยอะ”
“วันนี้แปลกๆ ไปนะคะ ไปดื่มอะไรเย็นๆ ก่อนไหมคะ จะได้อารมณ์ดีขึ้น” อักษราเอ่ยชวน และเฝ้าสังเกตอาการแปลกๆ ของศศิมา
“ไม่ดีกว่า ไม่อยากรบกวน” ศศิมาพูดด้วยน้ำเสียงห้วนๆ
“ไม่มีเรื่องไหนเลยที่บุ๊คทำให้พี่ศศิ แล้วรู้สึกว่าเป็นการรบกวนบุ๊ค พี่ศศิให้โอกาสบุ๊คตั้งมากมาย ให้คำปรึกษาในหลายๆ เรื่อง ไร่ที่เป็นรูปเป็นร่างมาได้ทุกวันนี้ก็เพราะพี่ศศิ บุ๊คไม่เคยลืมเลยนะคะ ตกลงโกรธบุ๊คเรื่องอะไรกันแน่” อักษราถามตรงๆ เพราะคิดว่าศศิมาก็จะพูดตรงๆ กับเธอเช่นกัน
“โกรธเหรอ พี่จะไปโกรธบุ๊คได้อย่างไร ใครจะกล้าไปโกรธบุ๊คล่ะ พี่ไม่มีสิทธิ์อะไรสักนิดเลยนี่นา” ศศิมาพูดเสียงเข้มมองจ้องอักษราที่กำลังมองมาด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ถ้าไม่โกรธแล้วเป็นอะไรล่ะคะ บอกบุ๊คได้ไหม หรือใครทำอะไรให้พี่ศศิไม่พอใจ บุ๊คจะไปจัดการให้” อักษราพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความห่วงใย
“ไปแสนดีกับคนอื่นเถอะบุ๊ค” พูดจบศศิมาก็ทำท่าจะเดินจากไป
“เดี๋ยวค่ะ” อักษราจับมือของศศิมาเอาไว้ไม่ให้เดินหนี
“ปล่อยพี่แล้วก็ขยับออกไปอย่าเข้ามาใกล้อีก” ศศิมาหันมาจ้องเขม็งไปที่มือของอักษราซึ่งจับมือของเธออยู่
“ก็ได้ค่ะ พี่ศศิดูเหมือนรังเกียจบุ๊คเลยนะคะ ไม่เป็นไรค่ะ ก็ตามที่พี่ศศิบอก ห้ามถูกเนื้อต้องตัวห้ามเข้าใกล้” อักษราเดินถอยหลัง
ออกมาจากศศิมาและมองดูคนที่ยืนอยู่ห่างๆ อย่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น นั่นยิ่งทำให้หัวใจของศศิมาเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น เพราะสายตา
แบบนี้ของอักษราถ้าเป็นในยามปกติเธอคงเข้าไปสวม กอดปลอบโยนเอาไว้ แต่เวลานี้คงทำให้แค่ยืนมองแล้วหันหลังเดินจากไป
“พี่ศศิ” อักษราไม่กล้าที่จะเดินตามไปเพราะน้ำเสียงและสายตาที่ดูเด็ดเดี่ยวของศศิมาซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อนทำให้อักษราเลือกที่
จะปฏิบัติตาม ศศิมาเดินจากไปโดยไม่หันมามองอักษราอีกเลย