ท้องฟ้ามืดมิดยามค่ำคืน ณ รีสอร์ทแห่งนี้ กำลังสร้างความสุขในหัวใจของพราวฟ้าด้วยว่า ดวงดาวระยิบระยับที่ส่องประกายให้เห็นนั้นช่างสวยงาม หลังจากอาบน้ำชำระร่างกายจนรู้สึกสดชื่นขึ้น พราวฟ้าจึงออกมานั่งรับลมเย็นๆ ที่ระเบียงเล็กๆ ของห้องพัก ซึ่งเมื่อมองไปบนท้องฟ้าก็จะได้เห็นความสวยงามของธรรมชาติ เธอนั่งยิ้มมองดวงดาวที่ส่องประกายอยู่บนท้องฟ้าที่มืดมิดนั้น
“ดาวสวยนะคะ” เสียงของอักษราดึงความสนใจของพราวฟ้าจากดวงดาวที่แสนสวยงามนั้น
“บุ๊ค”
“ดูด้วยคนได้ไหม” อักษราถามพร้อมรอยยิ้มอันสดใส
“ได้สิ พราวไม่ใช่เจ้าของท้องฟ้านะคะ จะไปห้ามใครไม่ให้ดูได้”
“ขอนั่งดูด้วยข้างๆ ได้ไหมคะ” อักษราถามอีกครั้ง
“นั่งสิ” พราวฟ้าขยับให้อักษรานั่งลงข้างๆ เธอ
“สวยจัง” อักษราพูด หากแต่ว่าสายตาที่มองนั้นกำลังจ้องมองอยู่ที่ใบหน้าของพราวฟ้าแทนที่จะเป็นดวงดาวบนท้องฟ้า
“ตกลงที่ขอดูน่ะ ใช่ดวงดาวไหม” พราวฟ้าถามเสียงเข้ม
“ดวงตาของพราว สวยกว่าดวงดาวบนท้องฟ้าอีกนะ” อักษราพูดแล้วก็แหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
“หวานแบบนี้นี่เอง มิน่าพี่ศศิถึงได้พูดถึงอยู่ตลอดเวลา” พราวฟ้ารำพึงเบาๆ
“คงต้องพูดหวานๆ ให้มากขึ้น เผื่อใครบางคนจะใจอ่อน” อักษราพูดยิ้มๆ โดยไม่ได้สนใจว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ กำลังหันมาจ้องเธอเขม็ง
“มาอยู่ที่ไร่นานแล้วหรือคะ” พราวฟ้าเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะรู้ดีว่าขืนปล่อยให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ พูดจาหวานๆ ต่อไปเธอคงจะยอมใจอ่อนอย่างที่อักษราพูด
“ตั้งแต่พราวไปต่างประเทศ บุ๊คก็ลาออกมาอยู่ที่ไร่เลยค่ะ พราวล่ะ อยู่ที่โน่นทำอะไรบ้าง” อักษราบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของเธอ
“ก็ช่วยแม่ค่ะ แล้วช่วงหลังมาก็เขียนเรื่องท่องเที่ยวส่งนิตยสารถึงได้กลับมาเมืองไทยเพื่อหาข้อมูลเขียนงาน” พราวฟ้าบอก
“เคยคิดถึงกันบ้างไหม บุ๊คหมายถึงว่า คิดถึงบ้านบ้างไหม” อักษราอยากได้คำตอบจากคำถามแรกมากกว่า แต่ก็คิดว่าคงไม่มีคำ
ตอบใดสำหรับเธอ
“คิดถึงสิ ถึงได้กลับมา” คำตอบไม่ชัดเจนนักว่าเป็นการตอบคำถามแรกหรือคำถามที่สอง หากแต่ว่าความไม่ชัดเจนจากคำตอบ
ของพราวฟ้า ก็ได้สร้างความรู้สึกดีๆ ในหัวใจของอักษราขึ้นมา
“กลับมาอยู่เลยหรือแค่มาทำงานคะ” อักษราถามและขยับตัวเล็กน้อยให้ นั่งสบายขึ้น โดยขยับเข้าไปนั่งใกล้พราวฟ้ามากขึ้นอีก จนไหล่ของอักษราเบียดโดนไหล่ของพราวฟ้าที่ก็ไม่ได้ขยับหนีและยังคงนั่งอยู่ท่าเดิม
“คงต้องดูอีกทีค่ะ ยังให้คำตอบตอนนี้ไม่ได้ บุ๊คล่ะทำไมถึงมาปลูกผักปลอดสารพิษ ถ้าใครเล่าให้ฟังล่ะก็พราวคงนึกภาพไม่ออกแน่ ถ้าไม่ได้มาเห็นเองกับตา บุ๊คดูดีขึ้นนะ ผิวสีแทน ดวงตาดูมีความมุ่งมั่น ดูเป็นผู้หญิงเข้มแข็ง เปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับตอนที่ทำงานอยู่ด้วยกันเลย” พราวฟ้ายิ้ม เมื่อได้พูดถึงรูปร่างผิวพรรณและแววตาอันมุ่งมั่นของอักษราที่มีเสน่ห์ขึ้นมาก
“บุ๊คสัญญาเอาไว้กับใครบางคน แต่เขาคงจำไม่ได้แล้วล่ะ ว่าจะทำงานเก็บเงินสักก้อนเพื่อที่จะมาทำไร่ผักปลอดสาร บุ๊คอยากให้ใครคนนั้นมีสุขภาพดีแข็งแรงที่สำคัญเขาชอบทานผัก ถ้าสุขภาพแข็งแรงก็คงจะได้อยู่ด้วยกันไปนานๆ”
“ใครคนนั้นโชคดีจังเลยนะคะ” พราวฟ้าจำได้กับคำสัญญาที่อักษราเคยพูดกับเธอ หากแต่ว่า ณ เวลานั้นความเป็นไปได้แทบจะไม่มีให้เห็นเพราะผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอในเวลานั้นเป็นสาวสำนักงานเต็มตัวดูอ้อนแอ้นไม่เหมือนกับสาว
ชาวไร่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ในเวลานี้
“ถึงเขาจะจำไม่ได้แต่บุ๊คก็ได้ทำตามความฝัน อย่างน้อยใครหลายๆ คนก็ไม่ต้องทานผักที่ปนเปื้อนไปด้วยยาฆ่าแมลง โดยเฉพาะ
เด็กๆ ที่อยู่ที่ไร่”
“เขาคงจำได้นะ พราวว่า” พราวฟ้าพูดขึ้นลอยๆ อยากให้กำลังใจคนที่มีความตั้งใจดีอย่างอักษรา บางทีตัวเธออาจจะเป็นแค่เพียงแรงผลักดันเท่านั้น ความฝันต่างหากที่ทำให้อักษรามีวันนี้ ได้ทำตามสิ่งที่หวังไว้และตัวเธอเองก็ได้รับรู้ว่าคำสัญญาที่ดูเลื่อนลอย ณ เวลาหนึ่งเป็นจริงขึ้นมาได้ พืชผักเหล่านั้นปลูกขึ้นเพื่อเธอ
“ใช่บุ๊คปลูกรอพราว หวังว่าสักวันพราวจะได้ทานและวันนี้บุ๊คก็สมหวัง เชื่อไหมบุ๊คคิดแค่ว่า ผักที่ส่งออกไปขายจากไร่แห่งนี้ หวังว่าพราวคงได้ทานมันเข้า สักวันคิดเพียงแค่นั้น ไม่คิดว่าพราวจะได้มาทานที่ไร่แบบนี้” อักษราพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ รู้สึกเหมือนมีก้อน
อะไรมาจุกที่อกทำให้หายใจติดขัดและพูดไม่ออก
“ขอบคุณมาก ขอบคุณจริงๆ ค่ะ ดีใจที่บุ๊คได้ทำสิ่งที่ฝันไว้” พราวฟ้าบอก ขอบคุณและเข้าสวมกอดอักษราที่เริ่มมีน้ำตาไหลรินให้เห็น
“แย่จริงแค่นี้ก็ร้องไห้ด้วย เป็นชาวไร่ที่ขี้แยที่สุดในละแวกนี้แน่เลย” อักษราหัวเราะเล็กๆ เช็ดน้ำตาของตัวเอง หลังจากที่พราวฟ้า
คลายอ้อมกอดจากเธอและกำลังช่วยเช็ดน้ำตาให้ ดวงตาคู่สวยของพราวฟ้ามีมนต์เสน่ห์เสมอในความรู้สึกของอักษรา เพราะทำให้หัวใจหวั่นไหวได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกัน
“พราวก็ปลอบไม่ค่อยเป็นเหมือนกัน เคยแต่ร้องไห้ให้คนอื่นปลอบ”
ความใกล้ชิดผนวกกับความคิดถึงที่มีในหัวใจทั้งสองดวงค่อยๆ ได้เผยความในใจออกมา นอกจากช่วยเช็ดน้ำตาให้แล้ว พราวฟ้ายังนำมือของตัวเองไปทาบทับไว้ที่แก้มอันอบอุ่นของอักษรา ซึ่งกำลังแนบแก้มให้ใกล้ชิดกับมือของ พราวฟ้าด้วยเช่นกัน
“บุ๊คคิดถึงพราว” อักษรารำพึงเบาๆ ก่อนที่จะจูบไปที่ริมฝีปากเรียวบางอันสั่นระริกของพราวฟ้าที่นิ่งอยู่ได้สักครู่ แล้วจึงค่อยๆ ตอบรับสัมผัสอันอ่อนโยนนั้น
“พราวกลัวนะบุ๊ค” พราวฟ้าบอกความรู้สึกของเธอกับอักษรา
“กลัวอะไรกันคะ” อักษราเริ่มพรมจูบไปที่แก้มและริมฝีปากอันได้รูปของพราวฟ้าอีกครั้ง
“กลัวที่จะรัก” พราวฟ้ากำลังตอบรับกับสิ่งที่เธอโหยหามาตลอดเวลาหลายปีทั้งที่คิดว่าตัวเองจะสามารถลืมเลือนผู้หญิงคนนี้ไป
ได้ แต่พอกลับมาพบกัน เธอก็ ได้คำตอบว่า ผู้หญิงที่ชื่ออักษราได้ฝังความรักไว้กลางหัวใจของเธอมานานแล้ว
เรื่องราวในอดีตกำลังหวนกลับมาตอกย้ำความรู้สึกดีๆ ที่พราวฟ้าพยายามเก็บงำมันเอาไว้ ความรู้สึกที่คิดว่าเป็นเพียงแค่เพื่อนนั้น
เป็นกำแพงที่เธอสร้างขึ้นเพื่อป้องกันหัวใจตัวเองและความรักของอักษราที่มีให้เธอ
“บุ๊คเคยคิดไหมว่าจะแต่งงานตอนอายุเท่าไหร่”
“ไม่เคยคิดค่ะ เพราะบุ๊คยังไม่เคยตกหลุมรักผู้ชายคนไหนเลยไม่รู้ว่าจะคิดไปทำไมเรื่องแต่งงานน่าจะเป็นเรื่องของคนที่มีแฟน
แล้ววางแผนชีวิตมากกว่า” อักษราตอบในขณะที่เดินเข้ามาในห้องประชุมพร้อมพราวฟ้า
“ก็จริง แล้วมีฝันไหมว่าอยากทำอะไร ถ้าไม่ได้คิดเรื่องแต่งงาน” พราวฟ้าถามขณะที่ลงนั่งที่เก้าอี้ของเธอ ซึ่งกำลังรอผู้เข้าร่วมประชุม
“ปลูกผักปลอดสารพิษ”
“สาวชาวไร่อย่างนั้นหรือคะ” พราวฟ้าอมยิ้ม แล้วมองดูรูปร่างผมบางของอักษราที่กำลังนั่งลงข้างๆ เธอ
“น้ำเสียงเหมือนไม่ค่อยเชื่อเลยนะคะ บุ๊คอยากปลูกผักให้พราวทานก็เห็นชอบทานผักมาก ถ้ามันปลอดสารพิษน่าจะดีกับสุขภาพ สัญญาเลยนะว่าต้องได้ทานผักจากฝีมือการปลูกของบุ๊คแน่ๆ” อักษราพูดด้วยความมั่นใจ
“แล้วจะรอ แต่จากรูปร่างแล้วน่าจะไปเป็นนางแบบมากกว่าสาวชาวไร่นะบุ๊ค” พราวฟ้าพูดยิ้มๆ
“ดูถูกกันอยู่รู้ไหม รอดูก็แล้วกัน” อักษราพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความมั่นใจ
เรื่องราวเมื่อครั้งที่ได้ทำงานร่วมกันผ่านเข้ามาในความคิดของพราวฟ้าซึ่งทำให้นึกอายที่ตอนนั้นพูดเหมือนดูแคลนคนที่กำลังจูบเธออยู่ในเวลานี้ คนที่ได้รู้จักกับอักษราในเวลานั้นก็คงคิดไม่ต่างกับเธอนัก แต่ด้วยความมุ่งมั่นและหัวใจที่เด็ด
เดี่ยวก็ทำให้อักษราได้ทำในสิ่งที่ฝันไว้และผลที่ได้ก็เป็นไปในทางที่ดีเสียด้วย
“ขอโทษค่ะที่เคยดูแคลน เมื่อครั้งแรกที่บุ๊คบอกว่าจะปลูกผักปลอดสารให้พราวทาน ตอนนั้นนึกขำเสียด้วยซ้ำ” พราวฟ้าบอกสิ่งที่เธอคิดเมื่อนานมาแล้ว
“ช่างเถอะค่ะ ฝันจริงๆ มีอีกอย่าง” อักษราอมยิ้มมองสบตากับคนที่ใบหน้าอยู่ห่างกับเธอเพียงแค่คืบ
“อะไรคะ”
“ฝันอยากได้อยู่ใกล้ๆ กับพราวแบบนี้น่ะสิ” อักษรายิ้มอายๆ เมื่อได้บอกออกไป แต่ที่อายมากกว่าคงจะเป็นพราวฟ้าที่รีบแหงนหน้ามองดูดวงดาวบนท้องฟ้าในทันที
“ไม่เห็นเคยบอกเลย” พราวฟ้าพูด
“เคยค่ะ แต่พราวคงจำไม่ได้ หรือไม่ได้สนใจที่จะฟังมากกว่า ขอบคุณนะพราว ขอบคุณที่ให้โอกาสบุ๊คได้ใกล้ชิดกับพราว” อัก
ษรายิ้มมองดูสาวสวยที่กำลังอมยิ้มแหงนมองดูดวงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้า
“จ่ายเป็นค่าผักปลอดสารก็แล้วกันเนอะ” พราวฟ้าพูดยิ้มๆ หันมาสบตากับอักษราที่ยิ้มกว้างขึ้น
“ถ้ายกให้ทั้งไร่ คงได้กอดไว้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงสินะ”
พราวฟ้ารู้สึกหัวใจชื่นบานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ริมฝีปากอุ่นๆ ของอักษราทำให้หัวใจของเธอพองโต สิ่งที่วิลาวัลย์ได้พูดกับเธอเอาไว้ว่า อย่างไรเสียตัวเธอนั้นก็ไม่อาจจะหนีหัวใจตัวเองได้มันคงเป็นแบบนี้นี่เอง
ภาพที่ศศิมาได้เห็น ถึงแม้จะไม่ได้ยินการสนทนาของสองสาวชัดนักแต่ก็ทำให้หัวใจของเธอแตกสลาย ศศิมาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างอักษรากับพราวฟ้าที่ท่าทางดูสนิทสนมกันรวดเร็วมากมายขนาดนี้ อะไรในตัวพราวฟ้าที่ทำให้อักษรากล้าที่จะจูบ อะไรที่พราวฟ้ามีแล้วตัวเธอไม่มี
หลายปีที่เธอเฝ้าหวังว่าสักวันอักษราจะยอมคบหากับเธอในฐานะคนรัก
ผู้หญิงคนนั้นไม่เคยปฏิเสธการโอบกอดหรือการจูบจากเธอ แต่ก็ไม่เคยที่จะเริ่มก่อนเหมือนกับที่ทำกับพราวฟ้า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ศศิมาคิดและตัดสินใจที่จะยกเครื่องดื่มกลับไปเพราะการเข้าไปในตอนนี้ บางทีเธออาจจะแสดงอาการไม่ดีออกมาก็เป็นได้ ในเมื่อ ณ เวลานี้ พราวฟ้ากำลังจะได้หัวใจของคนที่เธอรักไป ศศิมาพยายามคิดว่า ควรจะทำอย่างไรกับภาพที่เห็น เธอควรจะถามความจริงจากอักษราเลยดีหรือไม่
“อ้าว คุณพราวหลับแล้วหรือคะ” พนักงานของรีสอร์ทถามขึ้น เพราะเห็นศศิมาเดินถือถาดเครื่องดื่มกลับมา
“ปิดไฟนอนแล้ว พี่ขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะ เราเองก็เหมือนกันไปพักได้แล้วล่ะ” ศศิมายิ้มจางๆ ให้พนักงานของรีสอร์ท แล้วเดินไปที่ห้องพักของตัวเองในทันที ไม่อยากให้ใครเห็นความไม่สบายใจของเธอในเวลานี้ แต่ว่าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะหลับตาลงได้หรือไม่ เพราะภาพของอักษรากับพราวฟ้านั้นยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของเธอ