คนที่อยู่ในอ้อมกอดของเธอ ณ เวลานี้เป็นผู้หญิง พราวฟ้าพูดเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าคนที่ตัวเองรู้สึกดีๆ ด้วย อยากอยู่ใกล้ๆ นั้นเป็นผู้หญิง รู้ทั้งรู้ว่ายิ่งเตือนตัวเองก็ยิ่งถลำลึกมากยิ่งขึ้น ความรู้สึกดีๆ ทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความน่ารักและความจริงใจที่อักษรามีให้
“สุขสันต์วันเกิดค่ะ” เช้าวันทำงานซึ่งยังไม่มีใครมา อักษราทำงานอยู่ที่นี่ ได้ปีกว่าๆ และเพื่อนทานอาหารเช้าเป็นประจำ ก็คือพราวฟ้า ซึ่งทราบว่าวันนี้เป็นวันเกิดของอักษราจึงได้ซื้อทองหยิบที่บรรจุอยู่ในกล่องเล็กๆ พร้อมปักเทียนหนึ่งเล่มถือมาอวยพร ภายหลังจากรับประทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้ว เจ้าของวันเกิดอมยิ้มเมื่อได้เห็น
“ทองหยิบปักเทียน” อักษราพูดแล้วยิ้มกว้างขึ้น
“เก๋ไหมล่ะ ขนมเค้กเชย ทองหยิบนี่แหละ ขอให้เพื่อนที่แสนดีของพราวหยิบจับอะไรเป็นเงินเป็นทอง ขอให้หน้าที่การงานก้าวหน้าเจริญรุ่งเรือง และสมความปรารถนากับทุกๆ เป้าหมายในชีวิต” พราวฟ้าอวยพรให้คนที่ยืนอมยิ้มมองจ้องเธออยู่ สายตาที่มองมาดูแปลกๆ ในความรู้สึกของพราวฟ้า
“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณที่ใส่ใจ ทั้งๆ ที่ไม่เคยบอกว่าวันนี้เป็นวันเกิดแต่คิดไปคิดมาพราวดูแลฝ่ายบุคคล ก็ต้องรู้อยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมีอะไรแบบนี้ขอบคุณมากค่ะ” อักษราบอกขอบคุณและสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับพราวฟ้ากับจูบเบาๆ จากเจ้าของวันเกิดซึ่งประทับเข้าที่แก้มของเธอ ริมฝีปากอันอบอุ่นและนุ่มนวลทำให้พราวฟ้ายืนนิ่ง รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้ ไม่รู้เหมือนกันว่ายืนนิ่งอยู่นานแค่ไหน แต่ยิ้มของคนที่จ้องมองเธออยู่กลับจางไป เมื่อเห็นหน้านิ่งๆ ไม่มีรอยยิ้ม หลังจากถูกจูบเข้าที่แก้ม ใบหน้ารู้สึกร้อนผ่าวและรู้ตัวเองดีว่าป่านนี้แก้มคงมีสีแดงจนเป็นลูกตำลึงไปแล้ว
“วันหลังอย่าขอบคุณแบบนี้อีกนะคะ” พราวฟ้าพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ หากแต่ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ซึ่งก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเมื่อเห็นรอยยิ้มของพราวฟ้าเปลี่ยนไป แต่ไม่นานนักอักษราก็เดินเข้าไปสวมกอด หลังแสดงอาการกล้าๆ กลัวๆ อยู่สักครู่
“บุ๊คแค่อยากขอบคุณ อยากบอกให้พราวรู้” อักษราพูดเสียงอ่อยๆ ค่อยๆ กอดกระชับพราวฟ้าให้แน่นขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะคลายอ้อมกอดมองดูแววตาของพราวฟ้าที่ดูสับสนกับการแสดงความขอบคุณแบบนี้
“แค่พูดก็พอแล้ว ถ้าคนอื่นมาเห็นเข้าจะคิดอย่างไร” พราวฟ้าพูดเสียงเข้ม
“ขอโทษค่ะ พอดีๆ ใจมากเกินไปเลยทำไปโดยไม่ทันคิด” อักษราพูดเสียงอ่อยๆ ก้มหน้าลงเล็กน้อยไม่กล้าสบตากับพราวฟ้าที่แสดงอาการไม่พอใจนักกับสิ่งที่เธอได้แสดงออกไป
“ช่างเถอะ มันแล้วไปแล้ว สุขสันต์วันเกิดอีกครั้งค่ะ พราวขอตัวก่อนนะคะ”พราวฟ้ายื่นกล่องใส่ขนมทองหยิบที่มีเทียนปักอยู่ส่งให้
อักษราที่ยิ้มเจื่อนๆ รับขนม มาถือไว้ เทียนวันเกิดยังไม่ทันจะได้จุด การฉลองวันเกิดของเธอก็ต้องจบลงเสียก่อนเพราะเผลอไผลไปกับความสนิทสนมคุ้นเคยโดยไม่ระมัดระวัง อักษรายืนมองพราวฟ้าที่เดินกลับเข้าห้องทำงานไปแล้ว
“ขอโทษค่ะ” อักษรายังคนยืนนิ่งอยู่ ณ ที่นั้น ไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากพูดคำว่าขอโทษ ถึงแม้คนที่เธออยากบอกนั้นจะไม่ได้ยินก็ตาม
พราวฟ้ากำลังนึกถึงครั้งแรกที่เธอโดนประทับรอยจูบเข้าที่แก้ม ครั้งแรกจริงๆ นอกจากบิดากับมารดาแล้ว ไม่เคยมีใครหอมแก้มเธออย่างที่อักษราทำ และการสวมกอดที่ดูเหมือนอยากบอกอะไรบางอย่างในตอนนั้นก็เป็นกอดแรกที่ทำให้รู้สึกแปลกๆ ต่างจากอ้อมกอดของเพื่อนที่ทักทายกัน แต่วันเวลาที่ผ่านมาเหล่านั้นยังถูกเก็บเอาไว้ในส่วนของความทรงจำที่ดีโดยไม่เคยบอกให้อักษราได้รับรู้ว่า สิ่งที่ผู้หญิงที่เธอโอบกอดอยู่ในเวลานี้เคยทำ ณ วันนั้นมันยังคงอยู่ในความทรงจำของเธอและไม่เคยจางหายไปไหน ทั้งๆ ที่พยายามจะลืม แต่ดูเหมือนยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ความ ทรงจำเหล่านั้นยิ่งกลับฝังแน่นอยู่ในหัวใจ และตัวเธอเองก็จดจำทุกสิ่ง ทุกอย่างที่เกี่ยวกับอักษราได้ตั้งแต่ก้าวแรกที่อักษราเดินเข้ามาพบเธอ พราวฟ้ากอดกระชับอักษราให้แน่นขึ้นอีก ความคิดถึงที่มีอยู่ในหัวใจกำลังบงการให้กอดอักษราเอาไว้
“คิดอะไรอยู่คะ” อักษราถามขึ้นในขณะที่พยายามเบียดตัวเข้าหาอ้อมกอดของพราวฟ้าให้แนบแน่นขึ้นอีก
“กำลังนึกถึงขนมทองหยิบปักเทียน วันเกิดของบุ๊คในปีแรกที่เรารู้จักกัน” พราวฟ้าบอกกับอักษรา เมื่อได้ยินอักษราก็ยิ่งกอดกระชับพราวฟ้าให้แน่นขึ้นอีก
“จำได้ด้วยหรือคะ”
“มีแต่เรื่องทำให้บุ๊คเสียใจทั้งนั้นเลยตั้งแต่วันนั้น” พราวฟ้ายิ้มจางๆ กับตัวเอง
“ขอบคุณค่ะ ที่จำได้” สองสาวคลายอ้อมกอดออกจากกัน หากแต่ว่าก็ไม่กล้าที่จะสบตากัน
“พราวขอตัวก่อนนะคะ” พราวฟ้าไม่กล้าแม้จะสบตา หลังจากบอกเล่าว่าตัวเธอเองก็จำเรื่องราวในอดีตได้ดีไม่ต่างกับอักษรานัก
“ถ้าจะย้ายที่พัก ที่นี่ยินดีต้อนรับนะคะ” อักษราบอกกับพราวฟ้า
“ขอบคุณมากค่ะ สำหรับความมีน้ำใจกับการต้อนรับที่แสนดี” พราวฟ้าบอกกับอักษรา ริมฝีปากเรียวบางอันอบอุ่นของพราวฟ้า
ทาบทับไปที่แก้มของอักษราที่ยืนนิ่งๆ อยู่สักครู่ รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้น ถึงแม้พราวฟ้าจะเดินจากไปแล้วแต่ก็ทิ้งบางสิ่งบางเอาไว้ให้หัวใจของอักษราที่เอามือทาบทับไปที่แก้ม ซึ่งริมฝีปากอันอบอุ่นได้กระทบไปเมื่อครู่
“ไม่คิด ไม่หวัง ห้ามคิดเกินเลยไปกว่าที่ควร เจ็บแล้วไม่รู้จักจำหรืออย่างไรกันนะ” อักษราพูดเตือนตัวเองแต่รอยยิ้มที่เกิดขึ้นทั้งบนใบหน้าและหัวใจก็ดูจะปก ปิดความรู้สึกที่อยู่ภายในเอาไว้ไม่มิด
พราวฟ้ากลับมาถึงรีสอร์ทของศศิมาด้วยตั้งใจว่าจะกลับมาเขียนถึงเรื่อง ราวของไร่มีรักที่เธอเพิ่งไปเยี่ยมเยือนมา มัวแต่คิดอะไรเพลินจนไม่ได้สังเกตว่าเจ้า ของรีสอร์ทนั่งอยู่ที่มุมสบายๆ ที่ยื่นออกไปเป็นระเบียงให้เห็นทิวเขาเขียวขจีซึ่งเป็นมุมที่สวยงามมาก
“พราว” ศศิมาส่งเสียงเรียกพราวฟ้าที่หยุดชะงักในทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น
“อ้าวพี่ศศิ ขอโทษทีคะ พราวไม่เห็นว่าพี่นั่งอยู่แถวนี้” พราวฟ้าบอกเมื่อเดินเข้ามาใกล้บริเวณที่ศศิมานั่งอยู่
“นั่งคุยกันก่อนไหมคะ ทำไมกลับเร็วนักล่ะ ยังดูไม่ทั่วไร่ไม่ใช่หรือคะ” ศศิมาถามพราวฟ้าเพื่อนรุ่นน้องของเธอ ที่ออกแรงเชียร์ก็
ด้วยหวังว่าไร่มีรักจะได้รับการเขียนแนะนำจากพราวฟ้า ซึ่งก็จะเป็นโอกาสดีสำหรับอักษรา
“เอาไว้ค่อยไปวันหลังค่ะ ตอนเช้าๆ น่าจะสวยกว่า ถ่ายภาพมาได้ไม่กี่ภาพเองค่ะ” พราวฟ้าบอก
“ที่นั่นสวยมาก บอกให้บุ๊คทำเป็นรีสอร์ทด้วยก็ไม่ยอม แต่ก็มีเป็นโฮมสเตย์นะคะ พี่แนะนำให้ลองไปพักดู ถ้าชอบวิถีชาวบ้านล่ะก็
รับรองได้ว่าจะต้องตกหลุมรักไร่มีรักแน่ๆ” ศศิมาพูดแล้วยิ้มแววตาดูมีความสุขที่ได้บอกเล่าเรื่องราวของไร่มีรัก ซึ่งก็น่าแปลกใจที่แนะนำสถานที่อื่นๆ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เป็นเจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้ แทนที่จะโฆษณารีสอร์ทตัวเอง กลับไปพูดถึงอีกสถานที่หนึ่ง
“พี่ศศิรู้จักกับบุ๊คนานแล้วหรือคะ” พราวฟ้าถามด้วยความที่อยากรู้เรื่อง ราวของอักษราในมุมมองของคนอื่นๆ
“ห้าหรือหกปีได้ค่ะ ตอนนั้นบุ๊คเข้ามาพักที่นี่เพื่อที่จะติดต่อซื้อที่ดิน”
“เดี๋ยวก่อนค่ะ พี่ศศิกำลังจะบอกว่าบุ๊คเป็นเจ้าของไร่มีรักอย่างนั้นหรือคะ”พราวฟ้าถาม แต่ลึกๆ ก็ไม่ได้แปลกใจนัก
“ใช่ ตอนที่ได้พบกัน บุ๊คเล่าให้พี่ฟังว่าอยากทำไร่ผักปลอดสารพิษ พี่ยังนึกเลยว่าจะไหวไหมล่ะ ตอนนั้นดูเป็นสาวออฟฟิศมากเลยค่ะ ขาวสวยและรูปร่างดีดูเป็นสาวเมืองกรุงเต็มตัว” ศศิมาบอกเล่าเรื่องราวของอักษรา
“ตอนนี้ผิวเป็นสีแทน ดูแข็งแรงขึ้นเยอะ” พราวฟ้าพูดสิ่งที่เธอคิดจนลืมไปว่าศศิมาไม่รู้ว่าเธอกับอักษราเคยรู้จักมาก่อน เพราะจากการพูดคุยกันทำให้เข้าใจได้ว่าอักษราไม่เคยบอกเล่าเรื่องราวของเธอให้กับศศิมาได้รับรู้
“ใช่เปลี่ยนเป็นชาวไร่เต็มตัว แต่ชื่อของไร่ไม่รู้ว่าบอกนัยอะไรหรือเปล่านะ ตอนแรกที่ได้รู้จัก พี่คาดเดาเอาเองจากการสังเกตดู บุ๊คเหมือนคนอกหักแต่ก็ไม่เคยปริปากบอกอะไรพี่ ซึ่งพี่ก็ไม่ได้สนิทพอที่จะไปถามไถ่ พูดก็น้อยมาก กว่าจะยอมพูดด้วยเยอะๆ ก็เกือบสองปี ต้องบอกว่ากว่าจะได้ความไว้เนื้อเชื่อใจพี่ต้องใช้เวลาอยู่ตั้งเกือบสองปีเห็นจะได้” ศศิมาพูดไปยิ้มไป แววตาดูมีความสุขที่ได้พูดถึงอักษรา
“หรือคะ เท่าที่รู้จักมาก็คุยเก่งนะคะ” พราวฟ้าเผลอพูดออกไป แต่ศศิมาก็ไม่ได้พูดว่าอะไร คงจะคิดว่าเป็นการพูดคุยของคนที่ได้พบกันครั้งแรก
“ก็ต้องดูแลคนตั้งเยอะ โดยเฉพาะคนที่เข้าไปเยี่ยมชมไร่ ในฐานะเจ้าของก็ต้องดูแลอย่างดี ไม่พูดเหมือนเมื่อก่อนคงไม่ได้ แต่สำหรับพี่นะคะพี่ก็ยังคิดว่าบุ๊ค พูดน้อยอยู่ดี กับลูกค้าพูดจ๋อยๆ แต่พอคุยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงานหรือเรื่องทั่วๆ ไปก็ออกแนวถามคำตอบคำ เชื่อไหมพราวตอนแรกๆ พี่ยังแอบคิดเลยว่า บุ๊คคงไม่ค่อยชอบหน้าพี่สักเท่าไรนัก” ศศิมาหัวเราะกับสิ่งที่ได้บอกไปกับพราวฟ้า
“ไม่มีใครที่ไหน ที่ไม่ชอบพี่ศศิหรอกค่ะ บุ๊คอาจจะเกรงใจก็ได้”
“คงมี” ศศิมานึกถึงอักษราเมื่อได้ยินพราวฟ้าพูดขึ้น
“ใครกัน แปลกคนแล้วแบบนั้น”
“เพราะแปลก พี่ถึงได้ชอบ” ศศิมาอมยิ้มมองสบตากับพราวฟ้าที่พอจะเดาออกว่าศศิมาพูดถึงใคร
“พี่ศศิรู้ตัวไหม ว่าอาการออกเหมือนคนตกหลุมรักเลยนะคะ”
“อยากให้คนที่พี่ตกหลุมรัก มองเห็นอย่างที่พราวเห็นบ้างจริงๆ” ศศิมาพูดยิ้มๆ กับเพื่อนรุ่นน้องที่ยิ้มจางๆ ให้อยู่
ภาพในอดีตย้อนกลับมากอีกครั้ง กับจูบเล็กๆ ที่แก้ม แทนคำขอบคุณจากอักษราที่มีให้เธอ มันก็คงเป็นการแสดงออกให้เห็นถึงอาการตกหลุมรัก ซึ่งพราวฟ้ารู้ดีแต่ก็พยายามปิดกั้นมันไว้ ไม่ให้คนที่แสดงออกเข้าใจว่าเธอก็รู้สึกไม่ต่างกับคนที่หยิบยื่นจูบเล็กๆ นั้นนัก และ ณ เวลานี้ ถึงเธอกับอักษราจะกลับมาอยู่ใกล้กันอีกครั้ง แต่คำบอกเล่าและอาการตกหลุมรักที่ได้เห็นจากศศิมากำลังเริ่มผลักอักษราออกห่างไปจากชีวิตเธออีกครั้ง โดยตัวเธอไม่ต้องหนีไปเหมือนเมื่อครั้งก่อน
แต่เวลานี้ผู้หญิงที่เพียบพร้อมซึ่งกำลังนั่งอมยิ้มอยู่ตรงหน้าคนนี้ กำลังจะนำความทรงจำดีๆ ของเธอถอยห่างออกไป ศศิมาดูดีและเหมาะสมที่สุดที่จะดูแลหัวใจอันอ่อนโยนของอักษรา พราวฟ้าคิด