กล่องใส่อาหารถูกวางไว้ที่โต๊ะ พราวฟ้ามองมันด้วยความแปลกใจเพราะตัวเองคิดว่าเป็นคนแรกที่มาทำงาน หากแต่ว่ากล่องใส่อาหารสีฟ้าที่วางอยู่ได้บอกกับเธอว่า มีใครบางคนมาถึงที่ทำงานก่อนเธอ
“ของใครกันนะ” พราวฟ้าพูดกับตัวเอง เดินมานั่งลงที่โต๊ะ เหลือบไปเห็น มีกระดาษแผ่นเล็กๆ ติดอยู่ที่กล่อง ลายมือขยุกขยิกนั้น ถึงแม้อ่านยากไปสักหน่อย แต่ชื่อที่ลงท้ายก็ได้สร้างรอยยิ้มให้
“อาหารเช้าค่ะ บุ๊คทำทานเองเลยทำมาเผื่อ ทานอาหารเช้าในกล่องน่าจะดีกว่ากาแฟกับคุกกี้นะคะ” พราวฟ้าอ่านข้อความที่กระดาษแผ่นเล็กนั้น แล้วอมยิ้มค่อยๆ เปิดกล่องออกมา
“ข้าวไข่เจียว” พราวฟ้าหัวเราะ และนึกถึงข้อความที่ได้อ่านไปเมื่อสักครู่ ไอ้ข้าวไข่เจียว ดีกว่ากาแฟกับคุกกี้ตรงไหนกันคะ คุณหนังสือ พราวฟ้ามักจะเรียกชื่ออักษราลับหลังว่าคุณหนังสือ แต่ทั้งหมดก็อยู่ในความคิดไม่เคยได้เรียกออกไปอย่างนั้นสักที
เช้านี้มีประชุมร่วมกับทุกฝ่าย พราวฟ้ายิ้มมองไปที่กล่องที่มีข้าวไข่เจียวมาวางอยู่เมื่อตอนเช้า และตอนนี้ก็ลงไปอยู่ในท้องของเธอเรียบร้อยแล้ว ตอนยังไม่ได้ลองลิ้มชิมรสก็ไม่ได้รู้สึกว่าแตกต่าง หรือดีกว่ากาแฟกับคุกกี้ที่เป็นอาหารเช้าของเธออยู่บ่อยๆ แต่อย่างใด หากแต่ว่าตอนนี้รู้แล้วว่า มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อาจจะด้วยเพราะน้ำใจของคนทำด้วยก็เป็นได้
“ขอบคุณค่ะ ท่าทางจะทำอาหารเก่งนะคะ” พราวฟ้าเดินเข้าห้องประชุมมาก็เห็นอักษรานั่งอยู่เพียงลำพัง จึงเดินมานั่งลงข้างๆ แล้วส่งกล่องสีฟ้าคืนให้
“ข้าวไข่เจียว ใครๆ ก็ทำได้ค่ะ” อักษราอมยิ้มรับกล่องสีฟ้าคืนมาวางไว้บนตัก แต่ภายในก็มีเสียงก๊อกแก๊กเหมือนมีอะไรอยู่ภายใน
“กล่องล้างแล้ว มีของฝากอยู่ข้างในไว้แก้ง่วงตอนประชุม ขอบคุณนะบุ๊ค” พูดจบพราวฟ้าก็ลุกขึ้นไปนั่งที่ของตัวเอง ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับอักษรา และขณะนี้ก็เริ่มมีคนเดินเข้ามาภายในห้องหลายต่อหลายคน มีเสียงพูดคุยกันในหลายๆ เรื่อง อักษราเปิดกล่องนั้นดูก็ยิ้มกับสิ่งที่อยู่ภายใน โดยไม่รู้ตัวว่าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็กำลังลอบมองมาที่เธอ
“บ๊วยหวาน” อักษรารำพึงกับตัวเอง
ความเป็นเพื่อนเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาทำงานที่นี่ อักษราสัมผัสได้จากความมีน้ำใจของพราวฟ้า ดังนั้นคนมาใหม่จึงนึกถึง
อยู่เสมอว่า เพื่อนคนแรกที่นี่ก็คือ ผู้หญิงที่ชื่อ พราวฟ้า ซึ่งความช่วยเหลือเกื้อกูลในเนื้องานและความห่วงหาอาทรในยามเจ็บป่วยหรือมีปัญหาเรื่องงาน ก็ได้พราวฟ้าที่คอยช่วยแนะนำ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจที่ทำให้อักษรารู้สึกสนิทสนมกับพราวฟ้าได้รวดเร็ว จนคิดไปว่าตัวเองกับพราวฟ้าเป็นเพื่อนกันมานาน
“ถ้าไม่ได้ข้าวไข่เจียวของบุ๊คเมื่อเช้าต้องแย่แน่ๆ เลย” พราวฟ้าพูดขึ้นหลัง จากเลิกประชุมในเวลาบ่ายโมงกว่าๆ
“ทำไมคะ” อักษราถาม
“ก็คงหิวตายแน่ๆ ว่าแต่บ๊วยหวานช่วยแก้ง่วงได้ไหม เห็นแอบหาวเอามือปิดปากอยู่สองสามครั้ง ท่าทางจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยนะคะ” พราวฟ้าพูดยิ้มๆ แล้วเดินออกมาจากห้องประชุมพร้อมกับอักษรา
“ยังไม่ได้ลองชิมเลยค่ะ พราวชอบทานบ๊วยหวานหรือคะ”
“ก็เคี้ยวๆ เวลาง่วงก็ดีนะคะ ชอบไหม ก็ไม่ได้ชอบมากมายขนาดนั้น ว่าแต่ตอนนี้ไปทานข้าวกันดีกว่า เลี้ยงคืนข้าวไข่เจียวเมื่อเช้า
บุ๊คอยากทานอะไร”
“พราวอยากเลี้ยงอะไร บุ๊คทานได้ทั้งนั้นคะ” อักษรายิ้มและจะขอแยกตัวกลับไปที่โต๊ะทำงานเพื่อหยิบกระเป๋าสตางค์ แต่พราวฟ้าก็ดึงตัวไว้
“เลี้ยงไม่ต้องเดินกลับไปเอากระเป๋าสตางค์สิ รับรองได้ว่าไม่ทิ้งขว้างแน่ๆ” พราวฟ้าหัวเราะเล็กๆ เมื่อเห็นอักษราทำหน้าตาแปลกๆ กับคำพูดที่ได้ยินแต่ก็เดินตามมาแต่โดยดี โดยพราวฟ้าเองไม่รู้ตัวเลยว่ามือของเธอยังจับอยู่ที่ข้อมือของอักษรา
“ถ้าโดนทิ้งล่ะก็แย่แน่” อักษราพูดเบาๆ แต่ก็ยิ้มเดินตามพราวฟ้าไป
มื้อกลางวันตอนบ่ายแก่ๆ ผ่านไป อักษราอมยิ้มเดินตามพราวฟ้าที่ยังคงเลือกซื้อของทานเล่นเล็กๆ น้อยๆ แต่ไอ้ที่ไม่คิดว่าสาวสวยและดูทันสมัยจะเดินไปซื้อ อักษรานึกขำหยุดยืนดูพราวฟ้าเดินเข้าไปที่หาบของแม่ค้าสูงวัย ภาพของหญิงชรากับหาบเก่าๆ ซึ่งประกอบไปด้วยสินค้าประเภทมันต้ม เผือกต้ม และถั่วต้มมีให้เห็นอยู่บ่อยๆ บริเวณที่เป็นสถานที่ขายของหรือตามท้องถนนทั่วไป อักษราเริ่มคิดเพราะไม่รู้ว่าที่ซื้อ เพราะด้วยความอร่อย หรือว่าซื้อด้วยเพราะความสงสารกันแน่
“ชิมสิบุ๊ค” พราวฟ้ายื่นมันต้มหัวเล็กๆ หนึ่งหัวให้อักษรา ซึ่งกำลังยืนมือ ไปรับไว้ แต่พราวฟ้าชักมือกลับไปยอมให้
“ทำไมล่ะคะ”
“ก็ถือของสองมือแล้ว เดี๋ยวพราวป้อนเอง” พราวฟ้ายิ้มทะเล้นและยื่นมันต้มไปให้อีกครั้ง อักษราปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย แต่ก็รู้สึกว่าหน้าร้อนๆ และแอบคิดว่าไม่รู้ว่าแก้มแดงด้วยหรือเปล่า
“ขอบคุณนะ พราว อร่อยจริงๆ ด้วย ตกลงว่าซื้อเพราะอร่อยหรือสงสารแม่ค้ากันคะ” อักษราถาม
“ทั้งสองอย่าง สงสารป้าด้วย แล้วมันต้มก็อร่อย มีของบุ๊คถุงหนึ่งด้วยนะ” พราวฟ้าชูถุงที่ถือให้ดู
“น่ารักและใจดีจริงๆ” อักษราพูดงึมงำอยู่ในลำคอ
“ทำไมแก้มแดงขนาดนั้นล่ะ ร้อนหรือบุ๊ค” พราวฟ้าแกล้งถามทั้งๆ ที่รู้ว่าอักษราคงอายที่เธอยืนป้อนขนมให้อยู่ริมถนน
“ก็แดดร้อน” อักษราก้มหน้า พราวฟ้าก็ยิ้มๆ หยิบผ้าเช็ดหน้ามาช่วยซับเหงื่อให้
“ฤทธิ์ส้มตำเผ็ดๆ ด้วยละมั้งคะ แก้มแดงน่ารักดี” พราวฟ้ายังคงพูดหยอกเอินอักษรามากขึ้น แก้มที่แดงอยู่ก็ยิ่งแดงมากขึ้น
“แซวแบบนี้ก็แย่สิ ขึ้นตึกดีกว่าค่ะ มาเถลไถลกันนานแล้ว” อักษรารู้สึกว่าหน้าของตัวเองคงจะแดงมาก สังเกตจากรอยยิ้มของ
พราวฟ้าที่ยิ้มทะเล้นให้ จึงรีบเดินดุ่ยๆ ขึ้นไปยังตึกสำนักงานโดยไม่ยอมรอคนที่รีบเดินตามมาด้วยรอยยิ้ม
“ป้อนขนมแค่นี้ก็อายด้วยนะ คนเรา” พราวฟ้าหัวเราะเล็กๆ และรีบเดินตามอักษราไปทันที
ศศิมานั่งสังเกตอาการของพราวฟ้าซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเธอและอักษราที่จ้องไปที่จานมันต้มที่ตั้งอยู่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม ซึ่งดู
น่ารักและดูน่ามองเป็นอย่างมาก ศศิมาคิดนี่ขนาดเธอเป็นผู้หญิงยังเห็นความน่ารักของพราวฟ้าขนาดนี้ ถ้าเป็นหนุ่มๆ ล่ะก็คงเดินเข้ามาขอทำความรู้จักเป็นแน่ แต่อีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ กับศศิมานั่นต่างหากที่จ้องมองอย่างไม่วางตา
“คนเราก็นะ นั่งยิ้มกับมันต้มก็ได้” ศศิมาอมยิ้มเมื่อได้พูดแหย่พราวฟ้าที่ยิ้มอายๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองสบตากับศศิมาและคนที่นั่งข้างๆ ที่มองจ้องเธอตาแทบจะไม่กระพริบ
“กำลังคิดถึงที่ทำงานเก่าน่ะคะ พี่ศศิ มีแม่ค้าขายมันต้มเจ้าอร่อย คนที่ได้ยินพราวบอกว่ามันต้มอร่อยคงแปลกใจ ก็แค่มันต้มจะแตกต่างอะไรกันนักหนาแต่ลองให้ใครบางคนชิมก็ติดใจอยู่นะคะ” พราวฟ้าพูดยิ้มๆ และสบตากับอักษรา
“มีอดีต ต้องลองของสาวชาวไร่ที่นี่ค่ะ ปลูกเองกับมือและดูแลเองที่สำคัญอร่อยมากที่สุดในโลกเลยนะ พี่รับรองได้เลยค่ะ ถ้า
อร่อยน้อยกว่าที่ทำงานเก่าของพราวล่ะก็อนุญาตให้ทุบคนปลูกได้เลย” ศศิมาหันไปหัวเราะกับอักษราที่ทำหน้าจ๋อยอยู่ข้างๆ เธอ
“บุ๊คปลูกเองหรือคะ” พราวฟ้าถาม
“ตั้งใจปลูกไว้ให้ทาน” อักษราพูดอ้อมแอ้ม คำว่า ให้ ได้ยินไม่ค่อยชัดนักแต่สายตาที่จ้องมองมาพราวฟ้าพอจะเดาออก
“ตอนที่บุ๊คปลูกนะ พี่ยังแอบหัวเราะเลย คนอะไรปลูกมันไว้กินเอง มีอะไรตั้งหลายอย่างที่น่าจะปลูกเช่นผลไม้ แต่บอกว่าอยากปลูกมัน” ศศิมาหันไปยักคิ้วแล้วยิ้มทะเล้นให้อักษรา
“แล้วอร่อยหรือเปล่าล่ะคะ เวลาจะมาทานข้าวที่นี่ทีไร ก็บอกเวลาหุงข้าวให้เอามันหัวเล็กๆ ใส่ลงไปด้วย สุดท้ายพี่ศศิก็ติดใจกับเจ้ามันธรรมดาๆ ไม่ใช่หรือคะ” อักษรายิ้มให้ศศิมาที่พยักหน้ายอมรับกับสิ่งที่ได้ยิน
“ก็จริงค่ะ ถึงต้องมาขอข้าวทานบ่อยๆ แต่เราก็ไม่ค่อยจะอยู่เลย” ศศิมาพูดต่อว่า แล้วหันไปยิ้มให้พราวฟ้าที่ยิ้มจางๆ มองไปที่ศศิมาและอักษรา
“ท่าทางพี่ศศิจะสนิทกับเจ้าของไร่นะคะ” พราวฟ้าถามเพราะเห็นว่าศศิมาดูคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับที่นี่
“อยากสนิทด้วยมากค่ะ แต่เจ้าของไร่เล่นตัว ไม่ยอมสนิทกับพี่สักทีใช่หรือเปล่าคะ” ศศิมาถามอักษราที่ยิ้มเจื่อนๆ มองสบตากับ
พราวฟ้าที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ไม่ทราบสิคะ คงต้องถามเจ้าของไร่ดู เอาเป็นว่ายังมีเครื่องดื่มเย็นๆ ให้อีกหนึ่งอย่างค่ะ น้ำใบบัวบกแช่เย็นเจี๊ยบ มีคนเคยบอกกับบุ๊คว่า เวลาทานมันต้มฝืดคอให้ทานน้ำใบบัวบกตาม ยังบอกอีกว่าสองอย่างถ้าทานรวมกันแล้วจะอร่อยมาก สรุปว่าอย่างไรรู้ไหมคะ พี่ศศิ บุ๊คโดนหลอก เพราะน้ำใบบัวบกขมมากขึ้นกว่าเดิม อีก พี่ศศิว่าคนแกล้งบุ๊คใจร้ายไหมคะ” อักษราทำเป็นพูดคุยกับศศิมาโดยไม่ได้สนใจคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามที่แอบอมยิ้ม เมื่อได้ยิน และนึกถึงหน้าตาเหยเก๋ของอักษรา เมื่อครั้งที่ถูกเธอหลอกให้ดื่มน้ำใบบัวบกเข้าไป
“ไม่นะ น่ารักดีออกคงแกล้งขำๆ มากกว่านะคะ พี่ว่า” ศศิมาแกล้งพูดไปแบบนั้น เพราะรู้ว่าคำถามชี้นำของอักษราต้องการจะให้เธอพูดเข้าข้างและเห็นด้วย ดังนั้นจึงพูดชมคนที่แกล้ง
“พี่ศศิใจร้ายกว่าอีก แต่คนที่แกล้งก็น่ารักจริงๆ ค่ะ เพราะไม่อย่างนั้นบุ๊คคงจำคนแกล้งมาไม่ได้ถึงทุกวันนี้แน่ๆ” อักษราอมยิ้มมองสบตากับพราวฟ้าที่ไม่กล้าสบตาด้วยจึงหันมองไปทางอื่น
“ใครกันนะ ช่างโชคดีจริงๆ ที่บุ๊คจำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้ละเอียดขนาดนี้ใช่แฟนหรือเปล่าคะ” ศศิมาอยากรู้จริงๆ ว่าใช่แฟนหรือไม่ เพราะอักษราไม่เคยพูดถึงเรื่องเหล่านี้ให้เธอฟังเลย
“อย่างบุ๊คใครจะมามองคะ พี่ศศิก็กล้าถามนะคะ ว่าแฟนหรือเปล่า” อักษราแกล้งทำคิ้วขมวดให้ศศิมา
“มองก็ไม่เคยเห็นจะสนใจ” ศศิมาพูดขึ้นลอยๆ
“หาวเสียแล้ว แขกของเรา บ๊วยหวานไหมคะ แก้ง่วง” อักษรายิ้มทะเล้นให้อักษรา ซึ่งหยิบบ๊วยหวานออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วยื่นให้พราวฟ้าที่ทำหน้าดุให้ก่อนที่จะขอตัวไปเข้าห้องน้ำ
พราวฟ้ายืนมองกระจกอยู่สักครู่ กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องราวในอดีตไม่อยาก จะเชื่อว่า อักษราจะใส่ใจในทุกเรื่องราว ถึงแม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ กับเรื่องขนมและเครื่องดื่มอย่างน้ำใบบัวบก ทำไมถึงได้จดจำอะไรได้ดีมากมายขนานนี้นะ พราวฟ้าคิด
“ง่วงหรือว่าเหนื่อยคะ” อักษราเดินตามมา เพราะเห็นว่าพราวฟ้าหายมานานพอสมควรแล้ว
“ง่วงนิดหน่อยค่ะ เดินตามมาพี่ศศิไม่ว่าเอาหรือคะ” พราวฟ้ามองออกไปทางด้านนอก
“พี่ศศิกลับไปแล้วค่ะ พอดีพนักงานที่รีสอร์ทโทรมาตาม” อักษราบอก
“ถ้าอย่างนั้นพราวก็ควรจะกลับได้แล้ว” พราวฟ้าเบี่ยงตัว เพื่อจะเดินออก มา เพราะอักษราเอาตัวยืนขวางทางออกเอาไว้
“เรื่องพี่ศศิ”
“ไม่เป็นไร พราวไม่อยากรู้” พราวฟ้ารีบพูดสวนขึ้นทันที
“แล้วเรื่องของพราวเองล่ะ อยากรู้หรือเปล่า” อักษราถามและมองสบตากับคนที่กำลังจ้องมองเธออยู่เช่นกัน
“เรื่องพราว เรื่องอะไรกัน”
“เรื่องทุกเรื่องที่บุ๊คไม่เคยลืม” อักษราพูดเสียงอ่อยๆ แล้วก้มหน้ามองพื้นเพราะทุกครั้งที่มีความในใจที่จะพูดกับพราวฟ้า เธอมักจะไม่ค่อยกล้าสบตาด้วยนัก
“พราวรู้ค่ะ รู้ตั้งแต่เรื่องมันต้มแล้ว เพราะพราวเห็นก็นึกถึงอยู่เหมือนกันจำรอยยิ้มกับแก้มแดงๆ ตอนบุ๊คอายได้ด้วย” พราวฟ้ายิ้มจางๆ หัวใจของเธอกำลังอ่อนแอ เพียงเพราะความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นอย่างไม่ตั้งใจเมื่อตอนบ่าย และตอนนี้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็กำลังบอกกับเธอว่า ไม่เคยลืมเลือนทุกเรื่องราวที่ผ่านมาตั้งแต่เริ่มรู้จักกัน ใส่ใจแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ผู้หญิงคนนี้ทำให้เธออ่อนไหวเสมอ เมื่อเวลาได้อยู่ใกล้ ความนิ่ง ความเขินอาย ความเอาใจ เป็นเสน่ห์ที่พราวฟ้าจำได้ดีและก็มานึกถึงคำพูดของวิลาวัลย์ที่ให้เธอลองเปิดใจ เพื่อนของเธอคนนี้บอกกับเธอว่าอันที่จริงก็ไม่น่าจะแปลกอะไรกับคนที่เราจะรู้สึกดีดีด้วย แต่เขาคนนั้นไม่ใช่ผู้ชายแต่กลับกลายเป็นผู้หญิง มันเป็นคำพูดของเพื่อนเมื่อห้าปีก่อน พราวฟ้ายังจำได้ดี
“อันที่จริงมันก็นานมาแล้ว คิดว่าพราวลืมไปแล้วเสียอีก” อักษราพูดเสียงอ่อยๆ
“ถ้าแค่มันต้มล่ะก็จะไม่แปลกใจเลย นี่ตามมาด้วยน้ำใบบัวบกพร้อมด้วยบ๊วยหวาน บุ๊คยังจะเก็บเรื่องราวเหล่านี้ไว้ทำไมกัน ในเมื่อ
มันจะทำให้หัวใจเจ็บปวด”
“พยายามแล้วนะ พราว แต่บุ๊คไม่เคยลืมได้ กลับยิ่งทำโน่นทำนี่ตอกย้ำความเจ็บปวดของตัวเองอยู่ตลอดเวลา แต่พราวรู้ไหมใน
ความเจ็บปวดมันก็ปะปนไปด้วยความสุข ความรู้สึกดีๆ ในใจ กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ บุ๊คพกบ๊วยหวานใส่กระเป๋าก็ได้เอาไปแจกลูก
หลานคนงานในบางครั้ง มันต้มหลายคนก็ชอบเวลาเอาไปหุงปนกับข้าวก็ได้เพิ่มความอร่อย น้ำใบบัวบกก็ดีกับสุขภาพโดยเฉพาะกับบุ๊ค ไม่รู้เหมือนกันว่ามันช่วยรักษาอาการเจ็บปวดได้บ้างหรือเปล่า แต่เรื่องราวเหล่านี้ก็ทำให้บุ๊คมีความสุข แล้วก็ยิ้มได้นะ อีกอย่างก็คือ แอบมีความหวังว่าสักวันจะได้เจอกับพราวอีก” อักษราพูดทั้งหมดออกมาจากหัวใจของเธอเอง
“ไม่เคยเปลี่ยน เวลาผ่านมาห้าปีกว่า บุ๊คก็ยังเป็นบุ๊คคนเดิม” พราวฟ้ายิ้มกับคนที่ยังคงยืนก้มหน้าอยู่ตรงหน้า
“คนอื่นที่ดีกว่า อย่างพี่ศศิ ทำไมไม่ลองเปิดใจดูบ้างล่ะคะ” พราวฟ้าไม่รู้ทำไมตัวเองถึงได้รู้สึกเจ็บแปลบกับสิ่งที่ได้พูดออกไป
“ไม่รู้สิ ไม่ต้องผลักไสไล่ส่งกันก็ได้นะคะ บุ๊ครู้ว่าบุ๊คไม่ใช่และไม่มีสิทธิ์อะไร แต่ไม่ต้องหนีไปไหนก็ได้ แค่เป็นเพื่อนกันก็พอ” อัก
ษรารู้สึกอึดอัดกับคำว่า เพื่อนซึ่งมันแปรผันมานานแล้วกับมิตรภาพและความสัมพันธ์แบบนั้น
“ที่จูบพราว ที่กอดพราวไว้แน่น บุ๊คแค่อยากให้พราวกลับมาเป็นเพื่อนอย่างนั้นหรือคะ” พราวฟ้าถามเสียงเข้ม
“เป็นอะไรก็ได้ที่พราวต้องการ ขอแค่ได้พบได้เจอกันบ้าง ไม่ต้องหนีไปไกลแบบนั้น พราวจะให้บุ๊คทำอย่างไรก็ได้นะคะ ขอแค่ได้เจอได้เห็นได้รู้ข่าวคราวว่าพราวอยู่สุขสบาย ถึงจะแต่งงานมีลูกก็ยังดีเสียกว่าที่บุ๊คจะไม่รู้อะไรเลย เหมือนเมื่อห้า หรือหกปีที่ผ่านมา” อักษราพูดไปก็เช็ดน้ำตาที่ไหลรินออกมาโดยไม่อยากให้พราวฟ้าได้เห็น
“มานี่มา บุ๊คกำลังทำให้พราวรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนใจร้ายที่สุด” พราวฟ้ากอดอักษราเอาไว้แนบแน่น เมื่อได้ยินสิ่งที่คนที่เธอกอดเอาไว้บอกกับเธอ แค่เพียงข่าวคราว ผู้หญิงที่แสนดีคนนี้ แค่อยากรู้ข่าวคราวว่าเธออยู่สุขสบายดีไหม ทำไมถึงได้ใจร้ายขนาดนี้นะ พราวฟ้ากำลังต่อว่าตัวเองด้วยความคิด และกอดกระชับอักษราที่เริ่มร้องไห้มากขึ้นเอาไว้แนบแน่น
“ขอแค่ไม่ไปไหน ส่งข่าวกันบ้าง และไม่ยัดเยียดบุ๊คให้คนโน้นคนนี้ แค่นี้ก็พอแล้ว พราว” อักษราพูดฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่องนัก
“บ้ามากเลยที่ไม่ยอมเปิดใจ เพียงเพราะว่า บุ๊คเป็นผู้หญิง” พราวฟ้าพูดต่อว่าตัวเองเพียงในใจไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูดให้ใครได้ยิน