มื้อกลางวันที่ศศิมาได้นัดหมายไว้ไร้เงาของอักษรา ซึ่งนั่นทำให้พราวฟ้ารู้สึกผิดในสิ่งที่ได้ทำลงไปกับคำพูดทิ้งท้ายของอักษราที่ว่าแค่คนรู้จักก็ดีมากพอแล้ว คำพูดที่บอกถึงความรู้สึกเจ็บปวดที่มีอยู่ในหัวใจของผู้พูดก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ได้ยินคำพูดนั้นนัก หากแต่ว่าพราวฟ้าเลือกที่จะนิ่งเพื่อให้อีกคนเข้าใจว่า เธอนั้นไม่ได้รู้สึกอะไรนักกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“พอดีบุ๊คมีงานเลยขอตัวสำหรับมื้อกลางวันนี้ ฝากขอโทษพราวมาด้วย” ศศิมาบอกเล่าสิ่งที่อักษราฝากมาบอกกับพราวฟ้า
“ค่ะ” คำพูดเพียงสั้นๆ แต่ในใจของพราวฟ้าครุ่นคิดอยู่มากมายกับสิ่งที่อักษราบอกกับเธอ เรื่องที่จะไม่มาเจอเธออีกตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ ผู้หญิงที่ไม่เคยจะผิดคำพูดเลยสักครั้งตั้งแต่รู้จักกันมา ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าเป็นคำพูดที่พูดออกมาจากปากของอักษราละก็ ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นไปตามนั้น
“มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าคะ” ศศิมาถาม เพราะสังเกตเห็นคนที่ร่วมรับประทานอาหารอยู่มีอาการครุ่นคิดกับอะไรบางอย่างอยู่
“ไม่มีอะไรค่ะ คิดเรื่องงานอยู่น่ะคะ” พราวฟ้ายิ้มให้ศศิมาที่แสดงความห่วงใยออกมาด้วยคำพูดและแววตา
“มีอะไรที่พี่ช่วยได้ก็บอกนะ ไม่ใช่ในฐานะเจ้าของรีสอร์ท แต่ในฐานะพี่สาวคนหนึ่ง” ศศิมายิ้มให้ด้วยความจริงใจ
“ขอบคุณค่ะ พี่ศศิใจดีกับพวกเราเสมอ เอาเป็นว่าขอคำแนะนำสำหรับสถานที่สวยๆ ให้พอที่จะถ่ายรูปแล้วก็เขียนเรื่องราวได้ดีกว่าค่ะ มีที่ไหนแนะนำบ้างหรือไม่คะ” พราวฟ้าเปลี่ยนเรื่องเพราะเธอไม่รู้ว่าศศิมารู้อะไรมาบ้างเกี่ยวกับตัวเธอและอักษรา แต่จากที่สังเกตดูก็ไม่น่าจะรู้อะไรมากนัก
“มีหลายสถานที่เลย เดี๋ยวพี่ให้เด็กเอาแผ่นพับให้ดูดีกว่า เพราะมันเยอะมากเล่ากันไม่หวาดไม่ไหวแน่ เดี๋ยวทานข้าวเสร็จ พราวก็ลองขับรถไปดู รอบๆ บริเวณนี้ก่อนก็ได้ มีสถานที่ๆ น่าสนใจอยู่ทุกรีสอร์ทเข้าเยี่ยมชมได้หมดค่ะ อนุญาตให้ถ่ายรูปได้ด้วย ยิ่งถ้ารู้ว่าพราวเขียนแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวด้วยแล้วล่ะก็ รับรองได้ว่าพราวจะได้รับข้อมูลอย่างดีแน่นอน” ศศิมาบอกอย่างละเอียด พราวฟ้ายิ้มกว้างนึกขอบคุณในความกรุณาของเพื่อนรุ่นพี่ที่ใจดีแบบนี้กับทุกๆ คน
“ขอบคุณมากค่ะ พราวโชคดีนะคะ สถานที่แรกที่มาก็พบพี่สาวใจดีอย่างพี่ศศิเลย” พราวฟ้ายิ้มให้ศศิมาที่ยิ้มกว้างให้เธออยู่เช่นกัน พราวฟ้าพูดจบก็กลับมาหวนคิดถึงอักษรา ซึ่งทำให้เธอไม่แน่ใจนักว่า ถ้ารวมเรื่องการได้พบเจออักษรากับ ศศิมาเข้าด้วยกันแล้วมันจะยังเป็นความโชคดีหรือไม่
“ยินดีและดีใจมากเลยค่ะที่พราวเลือกที่นี่เป็นที่แรก บางทีเรื่องบังเอิญก็สร้างความสุขกับความรู้สึกดีๆ ให้พวกเราได้โดยไม่รู้ตัว ว่าไหม” เสียงหัวเราะของ สองสาวดังขึ้นพร้อมกัน
พราวฟ้าทำตามคำแนะนำของศศิมา หลังจากรับประทานอาหารมื้อกลาง วันเสร็จ ก็ขับรถออกมาตามคำแนะนำของเจ้าของรีสอร์ท พร้อมกับแผ่นพับอีกจำนวนหนึ่งที่พนักงานของรีสอร์ทมอบให้กับเธอและยังบอกเล่าเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆ พอเป็นแนวทางในการที่จะขับรถเพื่อดูสถานที่ใกล้ๆ บริเวณนี้ ขับรถมาได้สักครู่เธอก็เลี้ยวรถเข้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ตามคำบอกเล่าจากพนักงานของ รีสอร์ท
“ไร่มีรัก” คือ สถานที่แห่งแรกที่พราวฟ้าเลือกเข้ามาขอเยี่ยมชม
“ชื่อน่ารักดีจริง ไร่มีรัก” พราวฟ้ายิ้มหลังจากรำพึงกับตัวเองเมื่อเห็นป้ายชื่อของไร่ เธอขับรถตรงไปยังส่วนที่เป็นสำนักงานของไร่
แห่งนี้ เพื่อขอข้อมูลและพูดคุยสอบถามข้อมูล รวมถึงขอเข้าเยี่ยมชม ซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเจ้าหน้าที่ที่ได้บอกว่าไร่แห่งนี้เปิดเป็นศูนย์ศึกษาและท่องเที่ยวด้วย
“ขอบคุณนะคะ” พราวฟ้าบอกขอบคุณพนักงานที่ช่วยให้ข้อมูลกับเธอ โดยได้บอกกับเธอว่าจะมีเจ้าหน้าที่อยู่ตามจุดต่างๆ คอย
ดูแลคนงาน ซึ่งเจ้าหน้าที่เหล่านั้นจะใส่เสื้อสีฟ้าอ่อน ด้านหลังของเสื้อจะปักตัวอักษรชื่อของไร่ ถ้าอยากได้ข้อมูลอะไรสามารถสอบถามจากเจ้าหน้าที่ๆ อยู่บริเวณนั้นได้ทันที
พราวฟ้าเดินดูแปลงผักหลากหลายชนิด พืชผักที่นี่ปลูกได้งามมากคงจะด้วยการดูแลอย่างดี เพราะคนงานที่นี่มีจำนวนไม่น้อยนักจากที่สังเกตและเดินผ่านมา ที่น่าชื่นชมก็คือ คนงานมีน้ำใจและมีรอยยิ้มให้กับผู้ที่มาเยี่ยมชม ถึงแม้จะมีจำนวนไม่มากนัก แต่ทุกคนก็ดูจะชื่นชมกับความมีอัธยาศัยดีของเจ้าหน้าที่และคนงานของไร่แห่งนี้ ไร่มีรัก คิดถึงชื่อขึ้นมาทีไร พราวฟ้าก็ยิ้มได้ทุกที มัวแต่เพลินกับความคิดของตัวเองจนทำให้ไม่ทันระวัง
“ระวังค่ะ” เสียงใครบางคนพูดขึ้น เมื่อพราวฟ้าเดินลื่นจนเกือบจะล้มลง ดีที่เจ้าของเสียงช่วยประคองเอาไว้ แต่ไม่ใช่การ
ประคองเป็นการโอบกอดเอาไว้มากกว่า
“ขอบคุณค่ะ” เสียงอันคุ้นเคยนั้น ทำให้อักษรากอดเอาไว้แน่นขึ้นกว่าเดิม หมวกที่มีปีกบังใบหน้าของคนที่เธอเข้ามาช่วยกับแว่น
กันแดด ทำให้ตอนแรกไม่รู้ ว่าผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอดนั้นเป็นใคร หากแต่ว่าคำขอบคุณนั้นเป็นเสียงที่คุ้นเคย เป็นอย่างดี หัวใจที่โหยหาและรอคอยทำให้อักษรากอดพราวฟ้าเอาไว้
“พราวอยู่ตรงนี้สักครู่ก่อนได้ไหม” เสียงของคนที่กำลังโอบประคองพราวฟ้าไว้ดังขึ้น ทำเอาหัวใจของคนที่ได้ยินพองโตขึ้น เมื่อรู้ว่าเป็นใคร
“บุ๊ค” พราวฟ้าพูดชื่อของอักษราขึ้นมาและรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกตรึงไว้ไม่ใช่ด้วย เพราะได้อยู่ในอ้อมกอดของอักษราแต่กลับเป็น
หัวใจของตัวเธอเองมาก กว่าที่อยากจะอยู่แบบนี้ ไม่ใช่เพราะการร้องขอของอีกคน แต่เป็นเพราะอยากตามใจหัวใจตัวเอง พราวฟ้าเผลอ
ใจขยับเข้าใกล้ เพื่อที่จะแนบชิดกับคนที่โอบกอดเธออยู่ให้มากขึ้น
“ให้ผมช่วยไหมครับ” เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น
“ขอบคุณค่ะ พี่รวิณ” อักษราค่อยๆ คลายอ้อมกอดออกจากพราวฟ้าใน ทันทีที่ได้ยินเสียงของรวิณ ซึ่งเป็นผู้จัดการของไร่แห่งนี้
“เจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่าครับคุณ” รวิณถามพราวฟ้าที่ยิ้มจางๆ ให้หาก แต่ว่าไม่รู้เลยว่าแก้มตัวเองมีเลือดฝาดให้เห็น จนกระทั่ง
ทำให้รวิณจ้องมองอย่างไม่วางตา
“ฝากพี่รวิณดูแลด้วยนะคะ บุ๊คขอตัวก่อน” อักษราพูดจบก็เดินจากไปปล่อยให้ผู้จัดการไร่ทำหน้าที่ของตัวเอง
“มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ ผมชื่อรวิณ เป็นผู้จัดการไร่ที่นี่ครับ”
“ขอบคุณค่ะ ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ ขออนุญาตเดินดูรอบๆ บริเวณนี้หน่อยนะคะ ที่นี่สวยมากค่ะ ไม่น่าเชื่อว่าแปลงผักจะถูกจัดแต่งให้สวยงามจนสามารถกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้”
“ครับผม มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะครับ ผมดูแลอยู่แถวนี้ครับ”
“ขอบคุณค่ะ” พราวฟ้ามองตามไปทางเดินที่อักษราเพิ่งเดินไป
พราวฟ้าถ่ายรูปไว้จำนวนมากและจดบันทึกลงบนสมุดที่เธอถือติดมือมา รอยยิ้มเล็กๆ เกิดขึ้น เมื่อมองเห็นภาพล่าสุดที่ถ่ายเก็บไว้ ผู้หญิงในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนกับกางเกงยีนสีเข้มและหมวกสานแบบง่ายๆ แต่ก็มองดูเป็นชาวไร่เต็มตัว พราวฟ้ายังคงมองไปทางเดียวกับที่เธอถ่ายรูปไว้เมื่อสักครู่แล้วหัวใจก็กำลังบอกอะไรบางอย่างกับเธอ
“เดินไปสิ ก็แค่ไม่กี่ก้าวเอง” พราวฟ้ารู้ว่าตัวกับหัวใจรู้สึกไม่ต่างกันนัก
“ขอโทษค่ะ ขอคุยด้วยได้ไหม” พราวฟ้าเดินไปหยุดอยู่ไม่ห่างจากผู้หญิงสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าที่เธอเพิ่งถ่ายรูปเก็บไว้
“พราว”
“พราวอยากขอบคุณที่ช่วยไม่ให้ล้มเมื่อสักครู่นี้” พราวฟ้าจำได้ว่าได้บอกขอบคุณไปแล้ว แต่ว่าตอนนั้นเธอไม่รู้ว่าคนที่โอบกอดและช่วยประคองเธออยู่นั้นเป็นใคร ความรู้สึกแปลกๆ จากอ้อมกอดของอักษรา ทำให้ตัดสินใจเดินมาบอกขอบคุณอีกครั้ง
“พราวบอกบุ๊คแล้ว บุ๊คขอโทษที่มาให้พราวเห็นหน้าอีก แต่บุ๊คไม่ได้ตั้งใจแล้วก็ไม่คิดว่าพราวจะมาที่นี่” อักษราพูดโดยที่ไม่กล้าสบตากับพราวฟ้า
“ทำงานที่นี่หรือคะ”
“ค่ะ บุ๊คขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ ถ้ามีอะไรล่ะก็แจ้งเจ้าหน้าที่ได้ค่ะ ทางสำนักงานคงแจ้งให้พราวทราบแล้ว” อักษรายิ้มจางๆ ให้
แต่ก็ยังคงก้มหน้าก้มตาไม่ยอมมองสบตากับพราวฟ้า
พราวฟ้าเปิดสมุดบันทึกเพราะไม่รู้จะพูดอะไรหรือทำอย่างไร การเปิดสมุดบันทึกเป็นอาการหรือการแสดงออกของคนที่กำลังคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าตัวเองอยากให้คนที่พูดคุยอยู่ด้วยอยู่ต่อหรือให้เดินจากไป ทันใดนั้น ดอกไม้แห้งจากสมุดบันทึกก็ปลิวตามลมตกลงบนพื้น
อักษราเห็นเข้าจึงก้มลงช่วยเก็บ มันดูคุ้นเคยในความรู้สึกของคนที่เห็น รอยยิ้มเล็กๆ เกิดขึ้นในใจ ดอกไม้ถูกยื่นกลับมาอยู่ตรงหน้าเจ้าของ
“ยังเก็บไว้อีกหรือ” อักษราถามและมองสบตากับพราวฟ้าทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เธอพยายามที่จะหลบสายตาของพราวฟ้า
“จำได้หรือคะ” พราวฟ้าถาม
“บุ๊คไม่คิดว่าพราวจะยังเก็บไว้”
“พราวรู้ว่าคนให้ตั้งใจให้ก็เลยเก็บไว้ อยู่ในสมุดบันทึกเป็นเพื่อนไปไหนมาไหนด้วยตลอด” พราวฟ้าไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้บอกไป อาจจะเพราะดวงตาอ่อนโยนที่กำลังจ้องมองมานั่นหรือเปล่า
“เพื่อน” อักษราพูดเพียงแค่นั้น
“ให้พราวขอบคุณด้วยการเลี้ยงเครื่องดื่มเย็นๆ สักแก้วได้ไหมคะ แล้วอีกอย่างที่ทำให้โกรธจนเดินหนีมาเมื่อตอนสายๆ วันนี้”
พราวฟ้าเริ่มรู้ตัวว่าตัวเองอ่อนแอเมื่อได้อยู่ใกล้กับอักษรา โดยเฉพาะตอนที่โดนโอบกอดเอาไว้แนบแน่น หัวใจเหมือน
อยากจะแล่นไปอยู่กับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“อยู่ที่ไร่ค่ะ พี่ศศิ” เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าของอักษราดังขึ้น เธอจึงยิ้มจางๆ ก่อนรับสาย ชื่อที่ได้ยินทำให้พราวฟ้าเลือกที่จะเดิน
นำหน้าไปก่อน
“ทำไมรีบกลับไปคะ พราวถามถึงอยู่ว่าทำไมไม่อยู่ทานข้าวด้วยกัน อ้อแต่ที่โทรฯ มาเรื่องสำคัญเลย หนีกลับไร่ไปแบบนี้ไม่คิดบ้างหรือว่าคนที่นี่จะคิดถึง” ศศิมายิ้มเล็กๆ กับตัวเอง เมื่อได้เอ่ยคำว่าคิดถึงไปกับปลายสาย
“ขอบคุณนะคะ มาทานอาหารเย็นที่ไร่ไหมล่ะคะ”
“รอให้ชวนอยู่เลยค่ะ ขอบคุณนะคะ น่ารักแบบนี้ใครไม่รักก็บ้าแล้วเนอะ”เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นก่อนที่ศศิมาจะวางสาย อักษราอมยิ้มกับการพูดทีเล่นทีจริงของศศิมา ซึ่งพูดเล่นกับเธออยู่บ่อยๆ
พราวฟ้าเดินมาทางเรือนเพาะชำของไร่ อักษราเห็นเข้าพอดีจึงรีบเดินตามมา ใจหนึ่งก็ไม่อยากจะไปกวนใจ แต่อีกใจก็คิดว่าขอแค่ได้เห็นได้อยู่ใกล้ๆ ก็คงเพียงพอแล้ว
“อยากได้ผักไปทานบ้างไหมคะ” อักษราถามขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
“ขอบคุณค่ะแต่ไม่รบกวนดีกว่า” พราวฟ้ายิ้มจางๆ ให้ แววตาที่ดูเมินเฉยกลับมาให้เห็นอีกครั้งหลังจากที่อักษรารับโทรศัพท์จาก
ศศิมา
“ทำไมยังเก็บมันไว้ล่ะ”
“เก็บอะไร”
“ดอกมะลินั่น” อักษรามองไปที่สมุดบันทึกที่อยู่ในมือของพราวฟ้า
“ก็มันเป็นของพราว ถ้าจะเก็บไว้ก็คงจะไม่แปลกอะไรไม่ใช่หรือคะ”
“ก็จริง บุ๊คให้พราวแล้วมันก็ต้องเป็นของพราว หลงดีใจนึกว่ารู้สึกดีถึงได้พกพาไปไหนมาไหนด้วย” อักษราพูดเสียงอ่อยๆ
“ไปดูแลพี่ศศิเถอะค่ะ ไม่ต้องห่วงพราว เดี๋ยวเดินดูทั่วๆ แล้วก็จะกลับ”
“ทำไมถึงชอบไล่กันนักคะ” อักษราเข้าสวมกอดพราวฟ้าไว้ไม่ให้เดินหนี
“ปล่อยนะ บุ๊ค”
“ถ้าดิ้นหรือส่งเสียงดังนะ นอกจากไม่ปล่อยแล้วจะจูบด้วย” อักษราพูด เสียงเข้มทำเอาพราวฟ้าหยุดอยู่นิ่งๆ สายตาอันอ่อนโยนที่จ้องมาทำให้หัวใจหวั่นไหว เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าที่อยู่ห่างกันเพียงแค่คืบทำให้หัวใจที่พยายามเข้มแข็งและสร้างเกราะคุ้มกันตัวเองไว้นั้น บอกกับพราวฟ้าว่ามันไม่ได้ผล
“ไหนบอกจะไม่มาให้เห็นหน้าอีก” พราวฟ้าเริ่มกวนโมโหเผื่อว่าอักษราจะยอมปล่อยเธอ
“บุ๊คไม่ได้ไปหา แต่พราวมาหาบุ๊คเองต่างหาก”
“พราวไม่ได้มาหา พราวมาทำงานมาหาข้อมูล มาถ่ายรูป” พราวฟ้าอธิบาย
“แอบถ่ายรูปบุ๊ค ใช่หรือเปล่า” อักษราถามพร้อมกระชับอ้อมกอดให้แน่น ขึ้นอีกเล็กน้อยและจ้องมองดวงตาที่ดูเฉยเมย ซึ่งเริ่มดูอ่อนโยนขึ้นเมื่อได้เห็นใกล้ๆ
“เปล่า บุ๊คมายืนอยู่ตรงที่พราวจะถ่ายรูป พอกดแล้วถึงได้เห็น”
“อยากอยู่อย่างนี้ตลอดไป” อักษรายิ้มแล้วมองจ้องดวงตาคู่สวยคู่นั้น
“แต่พราว” ไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ริมฝีปากอุ่นๆ ของอักษราก็ปิดกั้นคำพูดของพราวฟ้าเอาไว้ ความอบอุ่นและความรู้สึกดีๆ แผ่ซ่าน
ไปทุกอณูของร่างกายโดยเฉพาะในหัวใจที่ดูจะยอมเปิดเผยถึงความโหยหาในความรักด้วยเช่นกัน
“คิดถึงตั้งแต่วินาทีแรกที่บอกว่าจะไปจนวินาทีนี้ทั้งๆ ที่อยู่ในอ้อมกอด บุ๊คก็ยังคิดถึงพราวอยู่ตลอดเวลา รู้ตัวบ้างไหม” อักษรากระ
ซิบบอกแล้วกอดกระชับคนที่เธอบอกว่าคิดถึงเอาไว้แนบแน่น อยากจะเหนี่ยวรั้งเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้
“พราวก็เหมือนกัน” สองแขนที่แนบอยู่กับตัวเองเริ่มโอบกอดไปที่ลำตัวของอักษราและกระชับจนแน่นเช่นกัน ความรู้สึกที่ได้รับการโอบกระชับจากคนที่แสนคิดถึงทำให้อักษรายิ้มทั้งน้ำตาแล้วภาพเก่าๆ เมื่อครั้งที่ได้รู้จักกันก็กำลังหวนกลับเข้ามาหาเธอทั้งสองอีกครั้ง