บทที่1.2

1563 คำ
พรึ่บ! ไม่ทันไร การ์วินลุกขึ้นยืนด้วยสองขาอันสั่นเทาได้สำเร็จ เขาไม่มองใครอีกเลยนอกจากพื้น ก่อนแหวกฝูงชนเดินออกไปจากห้องเรียน การจากไปอย่างฉุกละหุกทำเอาเจ้าของคำครหาหยาบคายเมื่อครู่นี้ดุนลิ้นในกระพุ้งแก้ม แสดงสีหน้าไม่พอใจแล้วสาดวาจาอย่างฉุนเฉียว “เห็นปะเมย์ เมย์ใจดีกับมันขนาดนี้ คำขอบคุณสักคำมันยังไม่มีให้” ไม่เห็นเป็นไรนี่ ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องได้รับคำขอบคุณเป็นสิ่งตอบแทนอยู่แล้ว ฉันช่วยเพราะทนดูภาพนั้นไม่ได้เฉย ๆ เมื่อการ์วินรอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกอันธพาล ฉันที่หมดเรื่องให้สะสางจึงลุกขึ้นยืน หมุนตัวเดินกลับไปยังโต๊ะประจำท่ามกลางสายตาของคนมากมายที่ยังคงจับจ้องฉันเป็นตาเดียว การทำในสิ่งที่ควรทำ มันเป็นเรื่องแปลกประหลาดมากเลยเหรอ หรือเพราะ...อยู่กับอะไรแบบนี้จนชาชินกันแน่ “ไม่เห็นต้องเอาตัวเข้าไปยุ่งกับพวกนั้นเลยเมย์ แค่ปล่อยให้พวกมันเล่นสนุกกันไป...” ก้นสัมผัสเก้าอี้ปุ๊บ ก็เป็นพระพายที่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเทากว่าปกติเล็กน้อย ฉันแค่นหัวเราะในลำคออย่างเงียบงัน ยกเรียวแขนทั้งสองขึ้นรองหน้าผากแล้วฟุบหน้าลงบนโต๊ะ ยังมีเวลาหลายนาทีก่อนคาบแรกจะเริ่ม งีบสักหน่อยดีกว่า... ทว่าเปลือกตายังไม่ทันปิดสนิท เสียงหนึ่งกลับลอยมาตามลม “ไม่เคยมีใครกล้าขวางทางไอ้หิน เมย์เป็นคนแรกเลย แบบนี้ไอ้เฉิ่มนั่นจะไม่ลำบากกว่าเดิมเหรอวะ” Garwin Describe. ช่วงพักเที่ยง หลังตึกวิทยาศาสตร์ ตุ๊บ!! “อย่าคิดเข้าข้างตัวเองล่ะว่าเมย์ชอบมึง” “...” ผมนอนขดตัวอยู่บนพื้นแบบนี้มานานหลายนาทีแล้ว ไม่ส่งเสียงออกมาสักแอะเดียว แม้จะถูกไอ้หินใช้เท้ากระหน่ำเตะด้วยความรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่านับครั้งไม่ถ้วน ตุ๊บ!! “เมย์แค่สมเพชมึงเท่านั้นแหละ ถุย!” บันดาลโทสะจนพอใจเสร็จก็ถ่มน้ำลายลงบนใบหน้าอันบอบช้ำ คล้ายกับเป็นการทิ้งทวน เมื่อเห็นว่าผมไม่โต้ตอบ ยังคงนอนหมดสภาพอยู่บนพื้นไม่ต่างจากศพ มันก็ยกยิ้มอย่างพอใจแล้วเดินจากไปพร้อมพวกลิ่วล้อ ผมใช้เวลานานเป็นนาทีกว่าจะพยุงร่างกายอันยับเยินขึ้นจากพื้นได้ ก่อนยกมือปัดคราบดินและรอยเท้าบนเสื้อนักเรียน จากนั้นจึงหอบหิ้วตัวเองเข้าไปในห้องน้ำเพื่อชะล้างคราบเลือดและน้ำลาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้...เคยเกิดกับผมมาแล้วหลายครั้ง อย่างเดียวที่ไม่เหมือนเดิมคือ... นักเรียนหญิงใหม่คนนั้น ไอ้หินพูดถูก ผู้หญิงคนนั้นแค่สมเพชผมเท่านั้น ผมไม่ริอ่านตีความการกระทำของเธอว่าเป็นความชอบได้อยู่แล้ว ไม่กล้า และไม่มีสิทธิ์ ผมมองเงาสะท้อนของตัวเองผ่านกระจก จับจ้องความน่าอดสูนั่นได้ไม่นานก็ขึ้นไปยังชั้นดาดฟ้าของตึกวิทยาศาสตร์ ที่ที่ผมใช้กบดานเมื่อต้องการปลีกวิเวกจากความวุ่นวาย ทว่าเมื่อมาถึง...ปลายจมูกกลับได้กลิ่นฉุนกึกของบุหรี่เป็นสิ่งแรก ครั้นเดินตามกลิ่นนั้นไป พลันพบภาพนักเรียนหญิงคนหนึ่งนั่งไขว้ห่างอยู่บนเก้าอี้ไม้ผุ ๆ ตรงมุมอับของชั้นดาดฟ้า มือขวาที่ดูบอบบางเป็นพิเศษคีบมวนบุหรี่ติดไฟด้วยท่วงทีอันช่ำชอง...เสมือนว่ามันคือสิ่งที่เธอดูดเป็นประจำ ผมยืนนิ่ง มองริมฝีปากได้รูปที่กำลังพรูกลุ่มควันสีจางออกมา เมื่อปรับระดับสายตาขึ้นสูงอีกนิดพบว่าเธอเองก็กำลังจับจ้องผมอยู่เหมือนกัน คนที่ใคร ๆ ต่างขนานนามว่าเป็นนางฟ้าตกสวรรค์ ผู้หญิงที่ถูกโหวตว่าสวยที่สุดของโรงเรียนนับตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้ามา ผู้หญิงที่แม้แต่ผมเองยังมองว่าเพอร์เฟ็กต์ทุกกระเบียดนิ้วคนนั้น...คือเมย์ เมื่อคำตอบประจักษ์ว่าเธอคือคนที่ตัวเองควรอยู่ให้ห่างที่สุดในเวลานี้ สัญชาตญาณก็ร้องเตือนให้ก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว เตรียมหมุนตัวเดินจากไป ทว่า... “นาย” สรรพนามสั้นกระชับดังขึ้นพร้อมเสียงขยับเก้าอี้ “อยู่นี่แหละ” ผมไม่แน่ใจว่านั่นเป็นคำขอหรือคำสั่งกันแน่ “...” หูได้ยินคำพูดของเธอทุกคำ แต่ด้วยรู้ว่าการอยู่ใกล้เธอรังแต่จะนำปัญหาเข้ามาในชีวิต ผมจึงมุ่งหน้าสู่ประตูท่าเดียว ไม่ขอเสวนาด้วย แม้เมื่อเช้าเธอจะเป็นเพียงคนเดียวที่ปฏิบัติกับผมต่างไปจากคนอื่นก็ตาม ใครจะรู้ ความเห็นใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เธอหยิบยื่นให้อาจเป็นของปลอมก็ได้ “การ์วิน” ก้าวเท้าจากมาได้แค่สามเก้าเท่านั้น เสียงเรียกของนักเรียนใหม่ดังขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่สรรพนามเปลี่ยนไปจากนาย...กลายเป็นชื่อของผม ชื่อที่ไม่มีเพื่อนคนไหนใครอยากจำ “ตั้งใจขึ้นมาบนนี้ตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอ” ใช่ และเดิมทีแล้ว...พื้นที่ตรงนี้เคยเป็นของผมแค่คนเดียว ผมหลบหนีจากความวุ่นวาย หลีกเร้นจากคนพวกนั้น ใช้เวลาช่วงพักเที่ยงที่ดาดฟ้าทุกวันเพราะรู้ว่าไม่มีนักเรียนคนไหนกล้าขึ้นมา “...” สิ่งที่ผมให้เธอไปคือความเงียบเช่นเคย “โดนทำร้ายมาอีกแล้วเหรอ” “...” แล้วเธอมายุ่งอะไรด้วย ไอ้ขี้แพ้อย่างผม...มีค่าขนาดทำให้เธอต้องมานั่งตั้งคำถามเกี่ยวกับบาดแผลพวกนี้เลยเหรอ อย่าลืมว่าที่ผ่านมาเธอเพิกเฉยเหมือนคนอื่น ๆ แล้ววันนี้นึกครึ้มอะไรถึงอยากจะเห็นใจผมขึ้นมา ไม่ต้องหรอก ผมไม่ต้องการ “ยังเหลือเวลาอีกเป็นชั่วโมงกว่าจะถึงคาบบ่าย” ยังคงเป็นเธอฝ่ายเดียวที่พูดไม่หยุด “เพราะงั้นอยู่ที่นี่เถอะ” หลายนาทีต่อมา ผมยังอยู่บนชั้นดาดฟ้าตามเจตนาแรกเริ่มของตัวเอง เพียงแต่พื้นที่ประจำของผมนั้นถูกนักเรียนใหม่อย่างเมย์ช่วงชิงไปแล้ว และด้วยไม่กล้าเปิดปาก จึงขยับมานั่งอีกฝั่งหนึ่งอย่างเงียบเชียบเสียเอง โดยไม่ลืมรักษาระยะห่างจากผู้หญิงคนนั้นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ทำไมไปนั่งไกลขนาดนั้น” ทิ้งตัวลงนั่งเพียงครึ่งนาที เสียงหวาน ๆ ที่ลอยมาจากฝั่งซ้ายมือก็ดังขึ้นเคล้ากับสายลมเอื่อยเฉื่อยช่วงกลางวัน “...” ผมไม่สนใจเธอ เพียงนำกระเป๋าเป้ที่มักสะพายติดตัวไปไหนมาไหนด้วยเสมอวางไว้บนตัก ใช้เวลาคุ้ยไม่นานก็หยิบสมุดการบ้านที่ต้องส่งวันมะรืนขึ้นมาหวังสะสางให้เสร็จสิ้นก่อนคาบบ่าย “ทำการบ้านเหรอ” “...!” อยู่ดีไม่ว่าดี นักเรียนใหม่ซึ่งเดิมทีนั่งห่างกันราวสองเมตรดันเดินเข้ามาหาและนั่งลงข้าง ๆ กัน ผมที่ไม่ทันตั้งตัวจึงตกใจจนปลายปากกาตวัดขึ้นบนแผ่นกระดาษ เมื่อรับรู้ได้ถึงไออุ่นอ่อนจางและกลิ่นหอมผสานกับกลิ่นบุหรี่จากเธอ สิ่งที่ผมทำคือเขยิบก้นไปทางขวา หวังหลีกหนีความใกล้ชิดที่ตัวเองไม่ต้องการ โชคดีที่ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ตามติดกันทุกย่างก้าว เธอแค่นหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นปฏิกิริยาของผม ก่อนพูดออกมาอย่างประหลาดใจ “นายเป็นคนแรกเลยที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากคุยกับเรา” “...” แล้วมีเหตุผลอะไรต้องคุย เธอไม่จำเป็นต้องมายุ่งเกี่ยวกับผมให้ตัวเองพลอยมัวหมองไปด้วยเลยสักนิด อันที่จริง คนดังอย่างเธอไม่ควรมาปรากฏตัวที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว เธอปลีกตัวมาอยู่ที่นี่คนเดียว...มั่นใจว่าต้องมีคนสงสัยแน่ และหากมีคนรู้ว่าเธออยู่ที่นี่กับผม บทลงเอยคงหนีไม่พ้น... “แล้วนั่นมองเห็นเหรอ เลนส์แว่นนายแตกขนาดนั้น” แม้ไม่มีการโต้ตอบจากผม ทว่าเธอก็ยังคงถามไปเรื่อย “...” “แล้วดูนั่น มือนายมีแผลเต็มไปหมด ตอนจับปากกาไม่เจ็บเหรอ” “...” ผมเม้มริมฝีปาก ถ้าถามถึงความเจ็บ...ตอนนี้มันเปลี่ยนเป็นความชาไปแล้ว “ทีหลังต้องสู้กลับบ้าง อย่าปล่อยให้พวกนั้นทำร้ายนายอยู่ฝ่ายเดียว” วินาทีที่พูดประโยคยาวยืดนั่นออกมา ปลายนิ้วเรียวเล็กของเธอพลันยื่นมาจิ้มแขนผมอย่างผิวเผิน “แขนขายาวอย่างนาย เอาชนะพวกนั้นได้แน่” ท้ายที่สุด ผมก็ละสายตาจากสมุดการบ้านเป็นผู้หญิงที่นั่งอยู่เคียงข้างกัน พบว่าเธอกำลังจับจ้องผมด้วยแววตาอ่านยาก ใบหน้าสวยหวานไร้รอยยิ้มอย่างสิ้นเชิง อะไร... ผมตั้งคำถามอย่างไม่เข้าใจ แต่ไม่นานนักก็ลากสายตากลับมาเหมือนเดิม เก็บความคาใจนั้นไว้ในใจก่อนก้มหน้าทำการบ้านต่อ และแล้วผู้หญิงที่ผมเดาเจตนาไม่ออกก็ไม่ได้พูดหรือถามอะไรอีก เธอนั่งอยู่ข้าง ๆ ผมไปตลอดการพักเที่ยง รับบท ‘เพื่อนใหม่ที่ผมไม่ต้องการ’ กระทั่งคาบบ่ายเดินทางมาถึง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม