บทที่1.3

1218 คำ
เพราะไม่ชอบความวุ่นวาย เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน...ผมจึงขังตัวเองอยู่ในห้องเรียนเพียงลำพัง ปล่อยให้คนอื่น ๆ ทยอยกันออกไปจนหมดเพื่อหลีกเลี่ยงการเบียดเสียด รวมถึงหลบหนีจากสายตาหลายสิบคู่ที่มักจะมองผมด้วยความรังเกียจอยู่เสมอ ผมนั่งกอดกระเป๋าเป้ใบโปรดประหนึ่งกลัวว่าจะมีใครมาพรากมันไป สองตาจับจ้องโต๊ะเรียนซึ่งเต็มไปด้วยข้อความหยาบคายจากเพื่อนร่วมห้อง ไม่สิ...พวกมันไม่เคยมองผมเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ แค่ปฏิบัติกับผมเยี่ยง ‘มนุษย์ธรรมดา ๆ คนหนึ่ง’ ยังทำกันไม่ได้ อย่าหวังกับสถานะนั้นที่ชาตินี้ทั้งชาติผมคงไม่มีทางได้รับนั่นเลย ฝันเฟื่องไปวัน ๆ ก็...คงได้อยู่ ทว่าถ้าเลือกได้ ผมคงเลือกหนีไปจากที่นี่ หรือไม่ก็...เอาคืนพวกมันทั้งหมดอย่างสาสม แค่จินตนาการภาพที่พวกมันร้องขอความเห็นใจจากผมบ้าง...ความสุขเล็ก ๆ ที่ผมปรารถนาก็ผุดขึ้นมาในอกอย่างเจือจาง ผมบิดยิ้มภายใต้สีหน้าอันเรียบเฉย มองดูข้อความด่าทอเหล่านั้นโดยไม่แสดงอาการอะไรออกมา ไอ้เฉิ่ม ไอ้ลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่ ไอ้ขี้แพ้ ไปตายซะ มีชีวิตไปทำไมเนี่ย และอีกมากมาย...ที่แม้ไม่อยากจดจำ แต่การได้เห็นมันในทุก ๆ วันทำให้สมองของผมบันทึกคำครหาเหล่านั้นไว้ในสมอง ท้ายที่สุดก็สลักแน่นจนจำได้ขึ้นใจ ผ่านไปหลายนาที เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ รวมถึงเสียงฝีเท้ามากมายเริ่มเบาลง ตอนนั้นเองผมจึงมีความกล้าที่จะลุกขึ้นจากเก้าอี้ หยิบกระเป๋าเป้มาสะพายแล้วเดินออกจากห้องเรียน จริงว่าผมมักมองพื้นมากกว่าผู้คนรอบข้าง ทว่าทุกย่างก้าวกลับเต็มไปด้วยการเฝ้าระวัง เพราะเป็นเวลาเลิกเรียนแล้ว...อย่างน้อยก่อนกลับถึงบ้าน ผมก็ไม่อยากให้คุณย่าได้เห็นบาดแผลบนตัวผมมากไปกว่านี้ ผมขี้เกียจตอบคำถาม ไม่อยากเห็นน้ำตาของท่าน ทั้งหมดนั้นมันทำให้ผมสมเพชตัวเอง โกรธและเกลียดตัวเองที่ปล่อยให้ร่างกายนี้และหัวใจดวงนี้บอบช้ำไม่เว้นวัน “ทีหลังต้องสู้กลับบ้าง อย่าปล่อยให้พวกนั้นทำร้ายนายอยู่ฝ่ายเดียว” “แขนขายาวอย่างนาย เอาชนะพวกนั้นได้แน่” ในวินาทีนั้น เสียงหวานของนักเรียนใหม่ดังขึ้นมาท่ามกลางความรู้สึกอันหนักอึ้ง เธอเป็นคนแรกที่พูดแบบนี้กับผม แม้ว่าใจจริงแล้วจะไม่ได้ร้องขอให้คนอย่างเธอมาเห็นอกเห็นใจก็ตาม ปึก! ออกมาจากรั้วโรงเรียนไม่ทันไร การก้าวเดินของผมก็เกิดอุปสรรคขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากมีใครบางคนจงใจเดินชนแล้วใช้ไหล่กระแทกกันจนผมเซไปด้านขวาซึ่งเป็นขอบฟุตบาท ซ่า!! จังหวะที่เสียหลัก รถคันหนึ่งพุ่งมาจากด้านหลัง เหยียบแอ่งน้ำเน่าเหม็นจนความเปียกชื้นเหล่านั้นสาดกระจายเต็มชุดนักเรียนผม “ฮ่า ๆ ๆ!” สิ่งที่ผมได้ยินท่ามกลางโสตประสาทอันอื้ออึงคือเสียงหัวเราะระงมจากรอบทิศทาง ผมไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง พยายามไม่สนใจ ได้แต่ยกปลายนิ้วขึ้นปัดหยดน้ำออกจากเลนส์แว่นอันร้าวแตก เหตุการณ์จบลงเหมือนทุกครั้ง เมื่อผมไม่โต้ตอบ คนพวกนั้นก็จะเลิกให้ความสนใจและเดินจากไปในที่สุด ผมหิ้วร่างกายที่บอบช้ำ รวมถึงความเปียกชื้นนี้มานั่งตรงป้ายรถเมล์ ระยะทางจากโรงเรียนถึงบ้านไม่ไกลนัก โดยปกติแล้วผมมักเดินทางด้วยเท้าเสมอเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย และดูเหมือนว่าวันนี้...ผมอาจจะต้องกลับช้ากว่าเดิมหน่อย เพราะจากเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ส่งผลให้เสื้อนักเรียนของผมเปียกไปมากกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ จึงมีความจำเป็นต้องนั่งอยู่ตรงนี้จนกว่าเสื้อจะแห้งเหือด หากกลับไปในสภาพเปียกซก คุณย่าจะต้องเป็นห่วงและถามผมไม่หยุดแน่ ทว่าระหว่างนั่งมองรถวิ่งผ่านไปผ่านมาบนท้องถนน สลับกับเฝ้ามองนักเรียนคนอื่น ๆ ซึ่งกำลังเดินจับกลุ่มคุยกันอย่างสนุกสนาน อีกฟากหนึ่งของถนน...รถยนต์คันหรูสีดำสนิทพลันเบรกเอี๊ยด ชั่วครู่เดียวนักเรียนหญิงคนหนึ่งก็เปิดประตูลงจากรถด้วยท่าทางฉุนเฉียว นักเรียนใหม่คนนั้น ผมยังคงสีหน้าราบเรียบขณะมองดูเธอตะเบ็งเสียงใส่ชายชุดดำที่เพิ่งลงมาจากรถ เขาคนนั้นมีท่าทีอ่อนอกอ่อนใจ ก้มหัวปลกเป็นสิบ ๆ ครั้ง คล้ายอ้อนวอนขอให้เธอกลับขึ้นไปเหมือนเดิม ทว่าเมย์กลับตะคอกใส่ชายคนนั้นว่า “ไปบอกพ่อนะว่าคืนนี้เมย์ไม่กลับบ้าน! แล้วคุณพีทก็ไม่ต้องตามเมย์มาด้วย ไม่งั้นเมย์จะเอาเรื่องที่คุณพีทแอบเล่นชู้กับนักศึกษาไปฟ้องน้าแพร ถ้าอยากลองดีก็เชิญค่ะ อย่าคิดว่าเมย์ไม่กล้า!” ก่อนสะบัดหน้าแล้วเดินข้ามสะพานลอยมาฝั่งนี้... จากประกาศิตอันเอาแต่ใจ ส่งผลให้ชายชุดดำยืนอึกอักอยู่พักใหญ่ ก่อนจะต่อสายหาใครบางคนอย่างร้อนรน ทว่าคุยกันได้ไม่นานถึงยอมขึ้นรถแล้วขับจากไป ผมค่อย ๆ ลากสายตากลับมา พบว่าผู้หญิงที่เพิ่งสร้างเรื่องจนคนรอบข้างมองกันเป็นตาเดียวนั้นเพิ่งทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ กัน ...อีกแล้ว “ไม่ต้องตกใจนะ ปกติ” และนั่นเป็นประโยคแรกที่เธอกล่าวกับผม ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เอ่ยถามแม้สักคำเดียว “...” ผมดึงสายตากลับมา ก้มมองนาฬิกาข้อมือที่ปรากฏเวลาห้าโมงเย็น “รอรถเมล์เหรอ” เหตุการณ์แทบไม่ต่างจากตอนเที่ยง เมย์ยังคงเป็นฝ่ายชวนคุย ส่วนผมปิดปากเงียบเพราะไม่อยากเสวนากับเธอ “ไม่สิ ปกตินายเดินกลับนี่เนอะ” “...” ประโยคนั้นส่งผลให้ผมหันขวับไปทางเธอทันที ถามผ่านสายตาว่ารู้ได้ยังไง “นายอาจไม่ทันสังเกต แต่ตอนนั่งรถกลับบ้าน รถเราขับผ่านตอนนายเดินกลับตลอด” “...” “นี่ การ์วิน ช่วยพูดอะไรสักอย่างได้ไหม” ดูเหมือนเธอจะหมดความอดทนแล้วจึงขอให้ผมตอบโต้อะไรบ้าง ทว่าปฏิกิริยาของผมยังคงเหมือนเดิม “เราอยากเป็นเพื่อนกับนายนะ” เพื่อนเหรอ “ไม่” ปฏิเสธสั้น ๆ และเผลอกลืนน้ำลายลงคอ เพราะเมย์นั้นไม่เพียงกล่าวอย่างดื้อดึง แต่ยังขยับหน้าเข้ามาใกล้คล้ายต้องการพิจารณาอะไรบางอย่างอย่างใกล้ชิด “ช่วย...อย่าเข้ามาใกล้” “ทำไม?” เธอถามพลางเอียงคอ “รังเกียจเราเหรอ?” “เราเหม็น” หยิบยื่นคำตอบให้อีกฝ่ายโดยไม่มีการมองสบตาแม้แต่นิดเดียว ทว่าเพียงสองวินาทีหลังจากนั้นเมย์กลับแค่นหัวเราะออกมา และทำในสิ่งที่ผมคาดไม่ถึงด้วยการ...ขยับหน้าเข้ามาใกล้อีกระดับ “ไหน” เธอทำจมูกฟุดฟิดจนลมหายใจอุ่นร้อนรดรินซอกคอผม “ไม่เห็นเหม็นเลย” นักเรียนใหม่คนนี้...เป็นคนประเภทไหนกันแน่ End Describe.
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม