คาบโฮมรูม
“เมย์ พวกผู้ชายจากห้องอื่นมันมาแอบส่องแกอีกแล้วอะ ดูสิ”
แรงสะกิดแผ่วเบาจากพระพาย เพื่อนร่วมห้องที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะข้าง ๆ กันกระชากฉันออกจากภวังค์ครู่หนึ่ง
ฉันเปลี่ยนจากการเหม่อมองวิวนอกหน้าต่างห้องเรียนเป็นทิศทางของเสียงอึกทึกครึกโครมฝั่งขวามือ พบว่าต้นตอความวุ่นวายชวนปวดหัวนั่นมาจากประตูทางเข้าห้อง
นักเรียนชายจากต่างห้องทั้งรุ่นน้องและรุ่นเดียวกันจำนวนหนึ่งมาออกันแน่นขนัดอยู่ตรงประตูทางเข้า พวกนั้นเดี๋ยวผลักเดี๋ยวดันกัน ดูไปดูมาคล้ายแก่งแย่งทำเลทองเพียงเพราะอยากมองเห็นฉันชัดเจนที่สุดจากตรงนั้น
ฉันพรูลมหายใจใส่คนพวกนั้นอย่างเอือมระอา รั้งสายตากลับมาเหมือนเดิมเพราะไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจ ...เบื่อจัง
เบื่อเพราะมักตกเป็นเป้าสายตาของคนในโรงเรียน
เบื่อเพราะมักถูกเพ่งเล็งอยู่เสมอ ไม่ว่าจะพูด เคลื่อนไหว หรือทำอะไร
ทั้งหมดนี้เพียงเพราะฉันเป็นลูกสาวของ ‘พิชยะ นันทพิวัฒน์’ ผู้ว่าฯ ประจำจังหวัดที่เคยโด่งดังจากการช่วยเหลือคนยากไร้ยาวนานหลายสิบปี ก่อนหันหน้าสู่การเมืองแล้วได้รับตำแหน่งผู้ว่าฯ ในเวลาต่อมา
ใช่ ท่านคือพ่อแท้ ๆ ของฉัน
“โอ๊ย ไม่เคยเห็นคนกันหรือไง!” ต่อมาเป็นเสียงตะคอกของน้ำผึ้ง เพื่อนร่วมห้องซึ่งนั่งถัดจากฉันสองโต๊ะ
ไม่แปลกใจสักนิดที่เธอจะรำคาญ เพราะผู้ชายกลุ่มนั้นไม่เพียงแอบมอง แต่ยังส่งเสียงดังรบกวนสมาธิอ่านหนังสือของเธออีกด้วย
ตั้งแต่ย้ายมาเรียนที่นี่ ฉันเจอเหตุการณ์น่ารำคาญแบบนี้แทบทุกวัน
แต่ถ้าจะย้ายไปที่อื่นอีกก็คงไม่ได้แล้วเหมือนกัน...
ปีสุดท้ายของระดับชั้นมอปลาย ถ้ามัวแต่หาเรื่องย้ายเพียงเพราะรำคาญสภาพแวดล้อมที่ตัวเองไม่คุ้นเคยคงเรียนไม่ทันคนอื่นเขาพอดี
“คนน่ะเคย แต่กูไม่เคยเห็นนางฟ้าโว้ย!” หนึ่งในกลุ่มผู้ชายตอบกลับมา
“โรงเรียนเราไม่เคยมีคนสวยแบบเมย์มาก่อน จะไม่ให้ตื่นเต้นได้ไงวะ” อีกคนแผดเสียงสำทับ
“ใคร ๆ เขาก็อยากมองของสวย ๆ งาม ๆ กันทั้งนั้นแหละ!” เหรอ...
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะเมย์ โดนอวยเบอร์นี้น่าจะดีใจนะ” พระพายหันมาเห็นสีหน้าของฉันที่ดูห่างไกลจากความยินดีปรีดาหลายขุมจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“โดนชมน่ะชอบอยู่แล้ว แต่...” ฉันชำเลืองมองคนพวกนั้นแวบหนึ่ง เตรียมจะสานต่อคำพูดเพื่อให้พระพายเข้าใจเหตุผล ทว่าไม่ทันไร...
ตุ๊บ!!
เสียงคล้ายใครบางคนล้มตึงดังสนั่นหวั่นไหว ดึงให้เราสองคนหันขวับกลับไปมองอย่างพร้อมเพรียงเสียก่อน
สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาทุกคนคือ...ผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งชุดยูนิฟอร์มของสถาบันเนี้ยบทุกกระเบียดนิ้วล้มฟุบอยู่บนพื้นบริเวณหลังห้องเรียน โดยมีพวกผู้ชายอีกกลุ่มยืนกอดอกหัวเราะชอบใจอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ประหนึ่งว่ากำลังชื่นชมผลงานที่ตัวเองเป็นคนสร้าง
“ไอ้เฉิ่มนั่นโดนแกล้งอีกแล้ว” พระพายพึมพำขณะมองดูคนถูกแกล้งยกมือสะเปะสะปะอย่างไร้ทิศทางเหมือนกำลังตามหาแว่นซึ่งหลุดกระเด็นไปไกล จากมุมนี้ ฉันเห็นแล้วว่า...อีกนิดเดียวเท่านั้นปลายนิ้วเขาจะสัมผัสโดนเลนส์แว่นที่แตกร้าว ทว่าไม่ทันไร...หนึ่งในพวกนิสัยไม่ดีก็ใช้เท้าเตะสิ่งนั้นไปอีกทาง ส่งผลให้ความพยายามของเขายากลำบากขึ้นไปอีกเพราะมองอะไรแทบไม่เห็น “อย่าไปสนใจเลย ไม่ใช่เรื่องของพวกเรา”
พระพายลากสายตากลับมาพร้อมยักไหล่ เธอดูชินชากับสิ่งที่เกิดขึ้นจนน่าตกใจ และทุกคนในโรงเรียนใหม่...ก็ไม่ได้ต่างไปจากเธอ
เพิกเฉยกับความรุนแรงว่าหนักแล้ว
แต่หนักกว่าคือมีคนหัวเราะคิกคัก สนุกสนานกับภาพตรงหน้าประหนึ่งกำลังชมละครสัตว์
รอยช้ำ แผลถลอก เลือดที่หลั่งริน คราบฝุ่นคราบดิน รวมถึงรอยรองเท้าบนเสื้อสีขาวที่เขาสวมใส่ ทั้งหมดนี้...ฉันเห็นมันมาตลอดสามสัปดาห์นับตั้งแต่ย้ายมาเรียนที่นี่
เขาไม่ต่อสู้
เงียบเชียบ ไร้สุ้มเสียง
ทำแค่ตะเกียกตะกาย แสร้งเข้มแข็งไปวัน ๆ ทั้งที่บอบช้ำแทบตาย
จนถึงตอนนี้ฉันยังรับบทเป็นหนึ่งในพวกอิกนอร์ เพียงมองภาพนั้นอย่างเงียบงัน จับจ้องเหยื่อความรุนแรงที่กลายเป็นตัวตลกของเพื่อน ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ไม่มีใครคิดจะช่วยเขาจริง ๆ เหรอ
อย่างน้อยก็ช่วยปรามคนพวกนั้นให้ช่วยปฏิบัติกับเขาดีกว่านี้
ฉันได้แต่ภาวนา เพราะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับปัญหาของคนอื่น
กระทั่ง...
“วี๊ดวิ้ว! เอาล่ะครับท่านผู้ชม! มาเอาใจช่วยกันดีกว่าว่าวันนี้ไอ้ลูกหมาจะหาแว่นของมันเจอหรือไม่ หรือจะอยู่แบบคนตาบอดไปตลอดทั้งวัน! ฮ่า ๆ”
ประโยคนี้เป็นของคนที่เพิ่งเตะแว่นเขา ดูทรงแล้วคงเป็นหัวโจก...
แม้ไม่รู้ชื่อ แต่พอจะจำได้ว่าเป็นหนึ่งในคนที่ชื่นชมฉัน
พรึ่บ...
สุดท้าย...ความอดทนที่ฉันมีก็หมดลง ฉันหยัดตัวขึ้นจากเก้าอี้ ก้าวเท้าตรงไปยังจุดเกิดเหตุท่ามกลางความงุนงงของพระพาย เพื่อนร่วมห้องคนอื่น ๆ รวมถึงพวกผู้ชายต่างห้อง ต่างชั้นเรียน
ไอ้ตัวต้นเรื่องนั้น จากตอนแรกสนุกสนานหุบปากฉับทันควัน ค่อย ๆ ก้าวถอยหลังแล้วเฝ้ามองฉันที่ก้มหยิบแว่นขึ้นมา
ก่อนส่งมันคืนเจ้าของ ฉันไม่ลืมเช็ดเลนส์แว่นเปื้อนฝุ่นกับชายกระโปรงนักเรียน เรียบร้อยแล้วถึงยื่นไปตรงหน้า...
มือขาวซีดของเพื่อนร่วมห้องที่ได้รับฉายาว่าไอ้ขี้แพ้รับสิ่งนั้นไปสวมอย่างไม่รอช้า เมื่อการมองเห็นแจ่มชัดกว่าเดิม สิ่งแรกที่เขาทำคือเงยหน้าขึ้นมองฉันผ่านเลนส์แว่นอันแตกระแหง
และนั่นเป็นวินาทีแรกที่เราสองคนได้สบตากัน
“ถอยออกมาดีกว่าเมย์ อย่าไปยุ่งกับมันเลย ตัวไอ้วินแม่งเหม็นอย่างกับขี้ ไม่อยากให้เมย์ต้องแปดเปื้อนครับ”
มองสบตาเพื่อนร่วมห้องผู้น่าสงสารได้เพียงสามวินาที เสียงทุ้มแหบก็ดังแทรกเข้ามา เป็นเหตุให้ฉันย้ายสายตาจากคนตรงหน้าไปยังเจ้าของเสียง
ประโยคนั้นเป็นของคนที่เพิ่งลงมือกลั่นแกล้ง ‘การ์วิน’ อย่างเลือดเย็น
เป็นคนเดียวกันที่เอาน้ำราดหัวเขา บีบซอสมะเขือเทศใส่เสื้อเขา ถีบเขาตกบันได ดักขาเขาจนล้มหน้าคะมำ
เป็นคนที่ทำเรื่องเฮงซวยพวกนี้มาตลอดสามสัปดาห์ และก่อนฉันย้ายมาเรียนที่นี่ ดีไม่ดีการ์วินอาจถูกรุมบูลลี่มาแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยครั้ง
การ์วินมากกว่าไหม...ที่ต้องแปดเปื้อนเพราะการกระทำต่ำ ๆ ของพวกนั้น
ฉันเงยหน้าขึ้นมองมันคนนั้นกับผองเพื่อนที่ยังสงวนท่าทีอยู่บ้าง
แหงล่ะ ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างระมัดระวังเมื่อต้องพูดคุยกับฉัน ผลพลอยได้จากการมีพ่อเป็นผู้ทรงอิทธิผลที่สุดในจังหวัดคือ... ไม่ว่าจะทำอะไรใคร ๆ ก็ต่างเกรงอกเกรงใจ หลีกทาง และเออออไปด้วยทุกอย่าง
ฉันเคยเกลียดอำนาจที่พ่อให้มา แม้แต่ตอนนี้เองความเกลียดนั้นยังคงอยู่ ทว่านาทีนี้ ฉันรู้แล้วว่าจะใช้มันยังไงให้เกิดประโยชน์
“ทำไมเมย์จะยุ่งไม่ได้? เป็นใครมาสั่ง” สังเกตท่วงทีของกลุ่มอันธพาลประจำห้องได้ครู่หนึ่ง ในที่สุดริมฝีปากที่ปิดแน่นมาเนิ่นนานก็ขยับเป็นคำถาม ทำเอาสีหน้าคนฟังปรากฏแววฉงนออกมาจำนวนหนึ่ง
เพื่อน ๆ คนอื่นภายในห้องต่างมองมาที่ฉัน รวมถึงผู้ชายกลุ่มนั้นที่ยังเกาะขอบประตูไม่เลิก
“ไม่ได้หมายความแบบนั้น คือ...” หัวหน้าแก๊งอึกอักเล็กน้อย “เราคิดว่าเมย์อยู่สูงเกินไป ไม่จำเป็นต้องลดตัวมาสงสารมันก็ได้”
คำว่า ‘ลดตัวมาสงสาร’ ดังขึ้นพร้อมหลุบตาลงต่ำ เขามองการ์วินที่ค่อย ๆ พยุงตัวขึ้นจากพื้น
สายตาคู่นั้นยามจับจ้องการ์วิน บอกหมดทุกอย่างแล้วว่าเขามองเพื่อนร่วมห้องคนนี้แตกต่างไปจากคนอื่น