บทที่4.3

1446 คำ
แม่จากไปด้วยโรคประจำตัวตอนผมเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่หก แม้ไม่ใช่ความตั้งใจตั้งแต่แรก แต่ด้วยความพลาดพลั้งเผลอทำแม่ตั้งครรภ์พ่อจึงขอรับผิดชอบส่วนที่เหลือต่อ ผมกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวอันใหญ่โต หากทว่าได้รับการปฏิบัติแตกต่างไปจากคนอื่น ๆ ภายในบ้านอย่างสิ้นเชิง เพียงเพราะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่ง...ที่ในครั้งอดีตเคยทำอาชีพขายบริการ ผมไม่เคยบ่น มีที่ซุกหัวนอนก็พอใจ ไม่เคยเรียกร้องอะไร ใช้ชีวิตอย่างเงียบเชียบมาเสมอ แต่ด้วยนิสัยไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา หมกมุ่นอยู่กับการอ่านหนังสือท่าเดียว จึงทำให้บรรดาญาติพี่น้องวัยไล่เลี่ยกันซึ่งอยู่ในวัยคึกคะนองรวมกลุ่มกันหาเรื่องผม สรรหาสารพัดวิธีมากลั่นแกล้ง เพราะรู้ดีว่า...ผมคงไม่กล้าเอาเรื่องนี้ไปฟ้องพ่อ หรือถ้าฟ้อง พ่อก็คงไม่เชื่ออยู่ดี ผมใช้ชีวิตอยู่ในขุมนรกนั่นเนิ่นนานกระทั่งอายุสิบห้า หนึ่งในลูกชายคนโปรดของพ่อซึ่งเกิดจากเมียอีกคนเข้ามาเห็นผมนั่งเช็ดอัลบัมรูปถ่ายของแม่พอดีจึงทั้งแย่ง ทั้งฉีก และจุดไฟเผาจนมอดไหม้ ทั้งยังลามปามถึงแม่ผู้ล่วงลับอย่างอวดดี ที่พูดกรอกหูว่าพ่อไม่ได้รักผม เรื่องนี้ผมรู้ดีแก่ใจ ไม่เคยล้ำเส้นหรือเรียกร้องอะไรมากไปกว่านี้ แต่การที่มันแตะต้องแม่ พูดจาถึงท่านเสีย ๆ หาย ๆ ส่งผลให้คนที่มีภาวะเก็บกดอย่างผม...หมดความอดทนขึ้นมา ผมอัดมัน ต่อยมัน ใช้แจกันฟาดหัวมันจนเลือดอาบ และบีบคอคนปากดีกระทั่งเริ่มเห็นลิ้นของอีกฝ่ายจุกปาก กว่าจะรู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป ก็ตอนเสียงร้องทุกข์ทรมานนั้นสงบลง แม้ภายหลังหมอจะสามารถช่วยชีวิตมันเอาไว้ได้ แต่ตัวผมก็ไม่อาจหลีกหนีจากความจริงที่ตัวเองเป็นคนก่อไว้ บรรดาญาติฝั่งพ่อลงความเห็นกันว่าจะให้ผมออกไปอยู่ที่อื่น ไม่อยากให้บ้านหลังนั้นต้องมาแปดเปื้อน มีเพียงคนเดียวเท่านั้น...ยืนหยัดขออยู่เคียงข้างแม้ร่างกายจะไม่แข็งแรง คนที่รู้ความจริงทุกอย่างและคอยเอาใจช่วยผมอยู่เสมอ...คุณย่า นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา...ผมจึงได้ใช้ชีวิตอยู่กับคุณย่าสองคน คุณย่าผู้เปรียบเสมือนแม่คนที่สอง และคุณย่าที่เป็นเหมือนโลกทั้งใบของผม “...” ผมสะกดกลั้นความรู้สึกอันหลากหลายไว้ภายใต้ใบหน้าที่ใครต่อใครต่างบอกว่าราบเรียบไร้อารมณ์ ก่อนเอี้ยวตัวกลับด้านหลัง เอื้อมมือหยิบแว่นสายตาที่วางไว้บนหัวเตียง ตอนนี้เป็นเวลาตีห้าครึ่ง ต้องทำอาหารเช้าให้คุณย่ากินอีก คงไม่สามารถนอนต่อได้แล้ว คิดได้ดังนั้นจึงจัดการตัวเองในระยะเวลาไม่สั้นไม่ยาวตามความเคยชิน แต่เพราะต้องเผื่อเวลาเดินทางไปโรงเรียนด้วย ผมจึงสวมยูนิฟอร์มของสถาบันเสร็จสรรพ เรียบร้อยแล้วก็ตรงเข้าครัวทำเมนูง่าย ๆ อย่างแกงจืดตำลึง ซึ่งเป็นเมนูโปรดของคุณย่า และยังเป็นเมนูโปรดของแม่ของผมอีกด้วย สุดท้าย สมองก็ไม่วายผุดภาพความทรงจำขึ้นมา เป็นภาพที่เราสองคนนั่งกินเมนูนี้ด้วยกัน และเป็นวันที่แม่สังเกตเห็นรอยช้ำตรงท้องแขนของผมเข้า เมื่อค้นพบว่าผมถูกกลั่นแกล้ง แทนที่แม่จะเอาเรื่องไปฟ้องครู กลับถกแขนเสื้อขึ้น ชี้นำอย่างแน่วแน่ว่าให้ต่อยคืน อย่าปล่อยให้ใครมาทำเราอยู่ฝ่ายเดียวได้ แต่ผมแค่ไม่อยากให้ท่านต้องมาคอยตามเช็ดตามล้างหากตัวเองไปมีเรื่องกับคนอื่นจริง ๆ จึงยังทำตัวอ่อนแอ ไม่ตอบโต้ใคร กระทั่งถึงเหตุกาณ์รุนแรงที่บ้านพ่อคราวนั้น... จากเหตุการณ์ที่ผมเกือบกลายเป็นฆาตกร ทำให้ไม่กล้าลงไม้ลงมือกับใครอีก ยอมเป็นเหยื่อ...เพราะกลัวประวัติศาสตร์มันจะซ้ำรอย ยิ่งเป็นตัวผมที่มีภาวะเก็บกดด้วยแล้ว หากใช้โทสะชี้นำ คนที่ต้องมาแบกรับปัญหาต่อจากผมคงหนีไม่พ้นคุณย่า ฉะนั้นไม่เป็นไร ยังไงคนที่ทำตัวแย่ ๆ กับผมก็ต้องได้รับการตอบแทนที่สาสมอยู่ดี ผมแค่รอวันเอาคืน ‘ที่เหมาะสมที่สุด’ เท่านั้น ติ๊ง! เสียงแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันไลน์กระชากผมออกจากภวังค์ความคิด ผมละความสนใจจากหม้อต้มจืด ล้วงสมาร์ตโฟนสภาพจอแตกลายขึ้นเช็กว่าใครส่งไลน์ขึ้นมาหาตั้งแต่เช้า ไม่สิ...อันที่จริงพอเดาได้ ผมไม่มีเพื่อนที่สนิทพอจะแชตกันเหมือนวัยรุ่นคนอื่น ๆ อยู่แล้ว เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หรือก็คือวันที่ผมเอาเล็กเชอร์ไปให้นักเรียนใหม่ เป็นเมย์เองที่ปริปากขอไลน์ผมก่อนแยกทางกัน ครั้นเปิดช่องแชตแล้วพบว่าเป็นเธอจริง ๆ ฝ่ามือพลันเย็นเยียบขึ้นมากะทันหัน May Maturyn : มอนิ่งการ์วิน May Maturyn : วันนี้เราไปรร. เจอกันนะ ^^ ความรู้สึกแปลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นอย่างเฉียบพลันทำเอาผมนิ่งค้างเป็นก้อนหินอยู่ครู่ใหญ่ กว่าจะหาคำตอบให้ตัวเองได้ว่าควรทำยังไงต่อไป ข้อความจากอีกฝ่ายก็เด้งขึ้นมาต่อหน้าต่อตา May Maturyn : อ่านแต่ไม่ตอบเหรอเนี้ยย 555 จับจ้องข้อความที่เมย์ส่งมาราวครึ่งนาที สุดท้ายผมจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจรดปลายนิ้วลงบนแป้นอย่างงุ่มง่าม แต่ก็จิ้มผิดจิ้มถูก เดี๋ยวพิมพ์เดี๋ยวลบอยู่นั่น เสียเวลาไปนานโขกว่าจะมีความกล้ามากพอ อืม ส่งไปแบบนี้…น่าจะโอเคละมั้ง... Garwin. : อ่านแล้ว ตอบแล้ว หากให้ตีเป็นตัวเลข คะแนนปฏิสัมพันธ์ในชีวิตจริงของผมคือศูนย์ แต่การสนทนากับใครสักคนผ่านช่องทางโซเชียลที่รกร้างไม่ต่างจากป่าช้านั้นเลวร้ายยิ่งกว่า May Maturyn : โอเค ๆ ~ เมย์ส่งกลับมาหาเป็นเชิงรับรู้ และเงียบหายไปดื้อ ๆ ทิ้งผมค้างเติ่งกับหน้าแชตอันเงียบงันนั่นนานเป็นนาที ผมมุ่นคิ้ว พลางตั้งคำถามกับตัวเองว่าแบบนี้คือปกติแล้วใช่ไหม หรือผมต้องพิมพ์อะไรกลับไปอีก? ไม่… วินาทีที่ปลายนิ้วสัมผัสกับแป้นพิมพ์อีกครั้ง ผมพลันได้สติ รีบดึงตัวเองกลับมายังโลกแห่งความเป็นจริง กระทั่งพบว่าแกงจืดในหม้อสเตนเลสที่ตั้งอยู่บนเตากำลังเดือดปุด ๆ ประท้วงให้ผมรีบหรี่ไฟ ปล่อยให้นักเรียนใหม่คนนั้นเข้ามามีบทบาทกับชีวิตของตัวเองขนาดนี้ได้ยังไง ไม่ได้เรื่องเลยการ์วิน ชั่วโมงกว่า ๆ ต่อมา ที่โรงเรียน หลังทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ สิ่งแรกที่ผมทำเพื่อหลีกหนีจากเสียงจ้อกแจ้กจอแจโดยรอบคือล้วงเอาหูฟังแบบมีสายออกมาจากเป้ จัดการเสียบกับมือถือแล้วปล่อยให้เมโลดีของเสียงเพลงกลบทับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเกลียดชังจนหมดสิ้น ตึง! ทว่าไม่ทันได้ใช้เวลาช่วงเช้าไปกับโลกที่ตัวเองสร้างขึ้น โต๊ะเรียนที่ผมวางเป้ไว้ดันมีขายาว ๆ ของใครบางคนยกขึ้นมาพาดอย่างถือวิสาสะ ผมเพียงชำเลืองมองอย่างเงียบงันเพราะรู้ดีว่าเจ้าของการกระทำนี้เป็นของใคร “โต๊ะมึงนี่ เหมาะที่จะใช้วางตีนกูจริง ๆ ว่าปะ?” “...” ผมยังคงเฉยชาอยู่เสมอเมื่อถูกไอ้หินและพรรคพวกหาเรื่องหรือรุกรานความเป็นส่วนตัว ทำเพียงนิ่งงันไม่ตอบสนอง ไม่โต้ตอบทั้งทางคำพูด แม้กระทั่งภาษากาย พรึ่บ! เพราะไม่สนใจพวกมันแม้แต่นิดเดียว หนึ่งในกลุ่มเกเรจึงกระชากหูฟังออกอย่างทนไม่ไหว แน่นอนว่าแรงรั้งกะทันหันนั้นส่งผลให้โทรศัพท์มือถือที่จะพังแหล่ไม่พังแหล่ของผมลงไปนอนกองบนพื้นตามแรงโน้มถ่วงด้วยเช่นกัน ผมสูดลมหายใจเข้าปอด ค่อย ๆ ก้มหน้าลงหมายเอื้อมมือหยิบมันขึ้นมา แต่... กึก! “กูถามแล้วไม่ตอบ ไอ้สัดนี่...พอมีคนคอยหนุนหลังแล้วอวดดีเหรอ?” ไอ้หินที่ดูมีน้ำโหมากเป็นพิเศษใช้รองเท้านักเรียนเหยียบหลังมือผม ทั้งยังออกแรงขยี้ให้อวัยวะส่วนนั้นของผมกดแนบกับพื้นห้องอย่างไร้ทางขืน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม