วรกายสูงใหญ่ในชุดสีทองยาวกรอมข้อเท้าของผู้ชายคนหนึ่งเล็ดลอดทะลุผ่านชั้นของผ้าปิดหน้าสีทองเข้ามาในดวงตาลางเลือน
‘นั่นคงเป็นแผ่นหลังของเจ้าบ่าวของหล่อนสินะ’
รูปร่างสูงใหญ่ยืนหันหลังให้หล่อน รอบๆ ตัวของผู้ชายคนนั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่แสดงท่าทางนอบน้อมและสอพลอออกมา
เจ้าบ่าวของหล่อนคงจะชื่นชอบที่จะฟังคำลวงเสแสร้ง เกินกว่าจะรับฟังความเป็นจริง แต่อย่าหวังเลยว่าหล่อนจะพูดจาชมเชยเขา เหมือนกับที่เขาเคยได้รับจากคนอื่น หล่อนจะต่อต้าน และต่อสู้ จนกว่าเขาจะยอมคืนอิสรภาพให้กับหล่อนนั่นแหละ
มือเล็กกำลังจะยกขึ้นตลบผ้าคลุมหน้าขึ้น เพื่อจะเพ่งมองให้ชัดเจน แต่เสียงเตือนแผ่วเบาของฟาร่าที่ประคองร่างของหล่อนอยู่ขัดขึ้นเสียก่อน
“อย่าทรงเปิดพระพักตร์นะเพคะ”
“แต่ฉันมองอะไรไม่ชัดเลยนี่ เหมือนคนตาบอดไม่มีผิดเลย”
“มันเป็นธรรมเนียมของคาร์มาลย์ พระชายาจะต้องทรงปฏิบัติตามเพคะ”
“สรุปฉันอยู่ที่นี่ในฐานะเชลยสินะ”
“ไม่ใช่เพคะ อยู่ในฐานะพระชายาขององค์รัชทายาทแห่งมหานครคาร์มาลย์ต่างห่างล่ะเพคะ”
หล่อนทำหน้าย่นอยู่ภายใต้ผ้าคลุมหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
นี่ถ้าไม่ใช่เพราะความจำเป็นหล่อนคงไม่ยอมแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่เคยเห็นหน้าอย่างนี้หรอก แล้วพลันสมองก็อดที่จะคิดถึงใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่งขึ้นมาไม่ได้ ผู้ชายที่น้าของหล่อนบอกว่าเป็นคนบ้า
ถ้าเรื่องที่ผู้ชายคนนั้นพูดเป็นความจริงก็คงจะดีสินะ อย่างน้อยๆ การฝืนใจแต่งงานของหล่อนก็คงจะไม่เลวร้ายสักเท่าไหร่ แต่นี่... เจ้าบ่าวคงแก่หงอมเลยทีเดียว
“พระชายาเพคะ เชิญเสด็จไปยังตำหนักเพคะ”
“เรายังไม่ได้แตะต้องอาหารเลยนะฟาร่า”
“พระชายาจะทรงเสวยพร้อมกับองค์รัชทายาทเมื่อทรงเข้าห้องบรรทมเพคะ”
“ว่าไงนะ นี่จะให้เราหิ้วท้องรอจนดึกดื่นอย่างนั้นเหรอ”
“ไม่ดึกหรอกเพคะ อีกแค่ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามเพคะ”
คนฟังชะงัก และก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้ “อีกแค่หนึ่งชั่วยามเองเหรอ ฟาร่า”
“ใช่เพคะ อีกหนึ่งชั่วยาม ก็จะได้ฤกษ์ส่งเสด็จขึ้นพระแท่นแล้วเพคะ”
แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่ายังไงก็ต้องเข้าหอกับผู้ชายแปลกหน้าผู้สูงศักดิ์ แต่พอใกล้ถึงเวลาเข้าจริงๆ หล่อนก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้
“เราอยากพบน้าของเราก่อนจะได้ไหม”
ตอนนี้ดาริกากับสมศักดิ์ถูกแยกไปอยู่ในอีกห้องหนึ่งซึ่งหล่อนก็ไม่รู้ว่าห้องนั้นมันอยู่ตรงไหนของพระราชวังกว้างใหญ่แห่งนี้
“ได้เพคะ แต่คงได้ไม่นานนัก”
“แค่สักห้านาที เราก็ดีใจแล้วล่ะ ฟาร่า”
สีหน้าของสาวใช้ไม่สู้ดีนัก แต่กระนั้นก็ยังอุตส่าห์พาหล่อนออกมาจากงานเลี้ยง ตรงไปยังทางเดินที่ถูกปูไว้ด้วยพรมหนานุ่มสีทอง ลัดเลี้ยวไม่กี่ครั้งก็มาหยุดที่ห้องหนึ่ง
“น้าของเราอยู่ที่นี่เหรอ”
“ใช่ เพคะ”
“งั้นเจ้ารอเราอยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวเราจะเข้าไปคุยกับน้าของเราสักพัก”
“แต่อย่าทรงใช้เวลานานนักนะเพคะ เดี๋ยวจะกลับไปไม่ทันฤกษ์ขึ้นพระแท่น”
หล่อนถอนใจแผ่วเบา และพยักหน้ารับน้อยๆ
“เราไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อนแน่นอน ฟาร่า”
“ขอบพระทัยเพคะ”
หล่อนระบายยิ้มน้อยๆ ให้กับฟาร่า ก่อนจะเดินผ่านบานประตูที่ทหารเฝ้าหน้าห้องเปิดให้
“น้าศักดิ์ น้าดา...”
ภายในห้องพักที่ดูภายนอกแล้วไม่น่าจะหรูหราสักเท่าไหร่ แต่พอก้าวเข้ามาเท่านั้นแหละ หล่อนก็อดที่จะยืนนิ่งตะลึง ทึ่งกับสิ่งรอบๆ ตัวไม่ได้
“อึ้งไปเลยสิท่า ริต้า ข้าวของเครื่องใช้ของที่นี่ ล้วนทำขึ้นจากทองคำแท้ๆ ล้วนๆ”
ดาริกาละล่ำละลักพูดขึ้น นี่ขนาดนั่งลูบคลำมาตั้งหลายวันแล้ว ยังอดตื่นเต้นไม่ได้
“อวดรวยสิไม่ว่า”
แม้จะเห็นจริงอย่างที่ดาริกาว่า แต่ก็อดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้
“อวดก็ยังดีกว่าไม่มีดีให้อวดนะ อ้อ แล้วเห็นไหมล่ะว่าฉันกับน้าศักดิ์ของแกมีความดีความชอบแค่ไหน แกได้ผัวร่ำรวย ชาตินี้ก็กินใช้ไม่หมดแล้ว”
“แต่ริต้าต้องปลอมตัวเป็นพี่แมรี่นะคะ ซึ่งริต้าคงทนอยู่ในคราบของคนอื่นได้ไม่นานหรอก”
“ก็ไม่ต้องอยู่นานสิ แต่งไปสักพักก็ขอหย่าเลย ยังไงซะสินสมสมรสที่แกจะได้ก็คงมากมายพอเลี้ยงฉันกับน้าศักดิ์ของแกไปทั้งชาติอยู่แล้ว”
หล่อนไม่ชอบคำพูดของดาริกาเลย แต่ก็ไม่อยากทำให้สมศักดิ์ไม่สบายใจ
“ถ้าหย่ากัน ริต้าจะไม่เอาสินสมรส”
“อย่ามาโง่หน่อยเลย ริต้า ถ้าไม่เอาสินสมรส แกก็จะเสียตัวฟรีๆ เข้าใจไหม”
“แต่ริต้าไม่ได้แต่งงานกับองค์รัชทายาทเพื่อสินสมรสนะคะน้าดา ที่ริต้ายอมแต่งด้วยก็เพราะไม่อยากให้น้าดากับน้าศักดิ์ถูกข้อหาฉ้อโกงต่างหาก”
ดาริกาทำหน้ายุ่งไม่พอใจ “แกอย่ามาลำเลิกบุญคุณหน่อยเลย”
“ริต้าไม่ได้ลำเลิกบุญคุณนะคะน้าดา แต่ริต้าพูดความจริงต่างหาก”
“พอแล้วล่ะทั้งสองคนนั้นแหละ”
สมศักดิ์ที่กำลังแอบหยิบเครื่องใช้ชิ้นเล็กๆ ภายในห้องใส่กระเป๋าเดินทางหันมาปราม
“เถียงกันอยู่ได้น่ารำคาญ”
“แกก็ดูหลานสาวของแกสิ ไอ้ศักดิ์ เถียงคำไม่ตกฟากเลย” ดาริกาหันไปฟ้อง แต่อาริตาไม่ยอมถูกกล่าวหาฝ่ายเดียว หล่อนเถียง
“ริต้าแค่พูดไปตามความจริงเท่านั้นเองค่ะน้าศักดิ์”