สองอาทิตย์ต่อมา กับงานอภิเษกสมรสที่ยิ่งใหญ่ขององค์รัชทายาทแห่งมหานครคาร์มาลย์ แขกเหรื่อที่ล้วนแต่เป็นผู้นำจากแคว้นต่างๆ ภายในอาณาจักรทะเลทรายไกลโพ้นต่างตบเท้ากันมาร่วมงานอย่างคับคั่ง
ทุกๆ คนต่างเต็มไปด้วยความยินดีปรีดา แต่เจ้าบ่าวของงานกลับหน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับกำลังแบกโลกหนักๆ เอาไว้ทั้งใบ
“ให้กระหม่อม... ลักพาตัวมาริสาไปตัดหัวทิ้งดีไหมพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายอัฟฟานขบกรามแน่น ดวงตาสีน้ำเงินเข้มมืดลึกและเต็มไปด้วยความดุดัน
“อย่าทำบาปเพราะเราเลย มาฮัด”
“แต่ว่า...”
“ในเมื่อโชคชะตาต้องการให้เรามีชายาที่ด่างพร้อย เราก็ต้องก้มหน้ารับมัน”
“ไม่ได้น่ะพ่ะย่ะค่ะ นางไม่คู่ควรกับองค์ชายเลย นางทั้งสำส่อน ทั้งละโมบ โลภมาก ขนาดองค์ชายเสด็จไปเจรจาด้วยตัวเอง นางยังไม่ยอมรับข้อเสนอเลย ผู้หญิงอย่างนางคู่ควรกับความตายเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ในเมื่อนางต้องการลาภยศสรรเสริญเราก็จะให้นาง แต่นางจะต้องตกนรกทั้งเป็น”
“กระหม่อมเกรงว่าองค์ชายจะเป็นฝ่ายตกนรกเสียมากกว่า เพราะได้ชายาเป็นนางกากี” มาฮัดแสนจะเป็นกังวลเหลือเกิน
ศีรษะของเจ้าชายอัฟฟานส่ายน้อยๆ ดวงตามืดลึกอ่านไม่ออก
“นางก็แค่ได้ตำแหน่งชายา แต่นางจะไม่มีสามี นางจะถูกเราขังเอาไว้ด้วยพันธะสมรส”
“องค์ชาย...”
“นี่แหละคือโทษทัณฑ์ของผู้หญิงงามเมืองอย่างนาง”
มาฮัดก็อยากจะเชื่อว่าเจ้าชายอัฟฟานจะทำแบบนั้น หากแต่เขาก็ยังอดกังวลไม่ได้
“แต่นางงามมากนะพ่ะย่ะค่ะ งามกว่าเมื่อครั้งที่กระหม่อมเจอนางเมื่อหลายเดือนก่อนเสียอีก กระหม่อมเกรงว่าองค์ชายจะ...”
“เราไม่มีวันลุ่มหลงในผู้หญิงสำส่อน เจ้าจำเอาไว้เถอะ มาฮัด”
เจ้าชายอัฟฟานขบฟันแน่น ภาพใบหน้าสวยหวานของผู้หญิงคนนั้นเข้ามารบกวนในสมองอีกครั้ง หลังจากที่เขาเพิ่งจะสลัดภาพงดงามของนางออกไปจากหัวได้เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
‘ต่อให้เธอน่าลุ่มหลงสักเพียงใด ฉันก็จะไม่มีวันตกลงไปในบ่วงเสน่ห์ไร้ยางอายของเธอ มาริสา’
ในขณะที่เจ้าชายอัฟฟานกำลังยืนนิ่งอยู่มุมส่วนตัวภายในงานอภิเษก สาวใช้ก็เดินเข้ามาคุกเข่าตรงหน้า และรายงาน
“องค์ชายเพคะ องค์เหนือหัวให้มากราบทูลเชิญไปพบเพคะ”
“ที่ใด”
“ด้านนู้นเพคะ”
ดวงตาคมกล้าของเจ้าชายอัฟฟานตวัดมองไปตามฝ่ามือที่ผายออกของสาวใช้ และด้วยสายตาที่เฉียบคม ทำให้เขาสามารถมองเห็นบิดาอยู่ในกลุ่มของเจ้าผู้ครองแคว้นทั้งหลายอย่างชัดเจน
“เสด็จพ่อคงต้องการให้เราไปพบปะกับสหายของท่าน”
“คงจะใช่พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”
“แต่เราไม่อยากไป เราเบื่อ”
“อีกหน่อยองค์ชายก็จะได้ขึ้นครองบัลลังก์แทนองค์เหนือหัว กระหม่อมคิดว่าองค์ชายควรจะมีพระราชปฏิสันถารกับเจ้าแคว้นเหล่านั้นบ้างนะพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายรูปงามถอนใจแผ่วเบา แต่ก็ยอมทำตามคำแนะนำขององครักษ์คู่ใจแต่โดยดี
“เจ้าไปทูลเสด็จพ่อว่าเราจะไปในไม่ช้า”
“เพคะ องค์ชาย”
สาวใช้คลานเข่าห่างออกไปแล้ว เจ้าชายอัฟฟานจึงหันมามองมาฮัด
“คืนนี้หลังพิธีเข้าหอ เราจะออกไปนอนที่ตำหนักเดิม เจ้าเตรียมการไว้ให้เราด้วย”
“จะดีเหรอพ่ะย่ะค่ะ ถ้าเรื่องรู้ไปถึงพระกรรณขององค์เหนือหัวเข้า อาจจะ...”
“เราจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลหรอก มาฮัด”
“แต่กระหม่อมว่า...”
“เราทนอยู่กับผู้หญิงคนนั้นทั้งคืนไม่ได้หรอก”
เจ้าชายอัฟฟานเค้นเสียงดุดันออกมา ก่อนจะก้าวยาวๆ เดินไปหาบิดา
“องค์ชาย... กระหม่อมจะช่วยองค์ชายยังไงดีพ่ะย่ะค่ะ”
มาฮัดผู้จงรักภักดีคร่ำครวญออกมาด้วยความสงสารในตัวของเจ้านายเป็นที่สุด
อาริตาตวัดผ้าคลุมหน้าสีทองขึ้นไปไว้ด้านบน และมองตัวเองที่สะท้อนออกมาจากกระจกเงาบานใหญ่ที่กรอบด้านนอกทำจากทองคำแท้เลยทีเดียว
“หน้าเจ้าบ่าวก็ยังไม่เคยเห็น แก่เป็นตาเฒ่าหรือเปล่านะ”
หล่อนเดินทางมามหานครคาร์มาลย์ตั้งแต่เมื่อห้าวันก่อน เพื่อมาเตรียมเนื้อเตรียมตัวเพื่อเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับองค์ชายผู้สูงศักดิ์ แต่ตั้งแต่เดินทางมาถึงที่นี่ หล่อนไม่มีโอกาสได้พบพระพักตร์ของว่าที่สามีเลยแม้แต่ครั้งเดียว เหล่านางกำนัลบอกว่ามันคือธรรมเนียม ห้ามเจ้าสาวพบหน้าเจ้าบ่าวก่อนวันเข้าหอ
แล้วไงล่ะ กรรมหนักหน่วงมันก็ต้องมาตกอยู่บนหัวของหล่อน
จะหนีก็หนีไม่ได้ ต้องยอมกล้ำกลืนฝืนใจทำเพราะไม่อาจจะขัดใจผู้มีพระคุณได้
หญิงสาวกำมือแน่น จ้องมองใบหน้าสวยๆ ของตัวเอง และเอ่ยคร่ำครวญถึงพี่สาวฝาแฝดที่ล่วงลับไปแล้ว
“พี่แมรี่... พี่โชคดีนะที่ไม่ต้องมาแบกภาระหนักอึ้งแบบฉัน นี่ถ้าแลกกันได้ ฉันยอมตายแทนพี่เลย”
หล่อนหลับตาลง ความเศร้าหมองวิ่งแทรกเข้ามาในเนื้อหัวใจ เมื่อภาพใบหน้าของผู้ชายที่หล่อนสรุปอย่างงงๆ ว่าเป็นคนบ้าย้อนกลับเข้ามาในหัว
“บ้าจริง ทำไมเอาแต่คิดถึงคนบ้า คนสติไม่ได้แบบหมอนั่นบ่อยนักนะ ป่านนี้ไม่ถูกส่งไปโรงพยาบาลบ้าที่ไหนสักแห่งในกรุงเทพฯ แล้วเหรอ”
หล่อนรีบสะบัดศีรษะแรงๆ เพราะต้องการขจัดภาพของผู้ชายหล่อเหลาคนนั้นให้ออกไปจากหัว แต่ไม่ว่าจะสลัดจนหัวแทบหลุดยังไง เขาก็ไม่ยอมไปจากหัวของหล่อนเสียที
“คนบ้า... นี่นายเป็นตุ๊กแกกลับชาติมาเกิดหรือไงนะ เกาะแน่น เกาะทนจังเลย”
ขณะที่หล่อนกำลังนั่งหงุดหงิด ฟุ้งซ่าน และคล้ายกับกำลังจะเป็นบ้าอยู่นั่น เสียงของนางกำนัลก็ดังขึ้นเสียก่อน หล่อนหันไปมอง
“พระชายาเพคะ ได้เวลาเสด็จออกไปต้อนรับแขกแล้วเพคะ”
หล่อนถอนใจ และเบ้หน้าอย่างเบื่อหน่าย
“อย่าทำหน้าแบบนี้สิเพคะ เดี๋ยวองค์ชายทรงทอดพระเนตรเห็นเข้า จะทรงกริ้วเอาได้นะเพคะ”
“ฉันกลัวที่ไหนกันล่ะ”
“แต่องค์ชายมีสิทธิ์สั่งตัดพระเศียรของพระชายาได้โดยไม่ผิดกฏหมายของที่นี่นะเพคะ”
“ว่ายังไงนะ?”
“คือที่นี่อำนาจเบ็ดเสร็จขึ้นอยู่กับองค์เหนือหัวและองค์รัชทายาทเพคะ”
ยิ่งได้ฟังหล่อนก็ยิ่งไม่พอใจ
“งั้นก็แสดงว่าที่มหานครแสนร่ำรวยทองอย่างคาร์มาลย์ ยังเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความป่าเถื่อนล้าหลังสินะ ใช่ไหม”
“ชูว์... พระชายาเบาๆ เพคะ”
“ฉันไม่กลัว”
“แต่หม่อมฉันกลัวนะเพคะ โทษของหม่อมฉันอาจจะถึงตัดหัวเจ็ดชั่วโคตรก็ได้ หากปล่อยให้พระชายาตรัสคำไม่เสนาะหูออกมา”
“ป่าเถื่อน บ้าอำนาจที่สุด”
“โธ่ พระชายาเพคะ ได้โปรด... ได้โปรดหยุดเถอะเพคะ หม่อมฉันกลัว...”
เมื่อเห็นนางกำนัลที่ถูกส่งมารับใช้หล่อนตั้งแต่วันแรกที่มาถึงคาร์มาลย์หวาดกลัวจนตัวสั่น และร่ำไห้ออกมา หล่อนจึงจำต้องหุบปาก
“ก็ได้ๆ เจ้าไม่ต้องร้องไห้แล้ว”
“ขอบพระทัยเพคะ พระชายา”
“อืม...” หล่อนแสนจะหงุดหงิดยิ่งนัก “แล้วนี่เราจะต้องเข้าหอกับองค์ชายตอนไหนเนี่ย”
“หลังจากพิธีจบเพคะ”
“แล้วเราจะมีโอกาสได้พบกับเจ้าชายก่อนไหม ฟาร่า”
คนที่หล่อนเอ่ยถามส่ายหน้าน้อยๆ
“ไม่มีโอกาสเลยเพคะ นี่คือกฎและห้ามมีใครฝืนเด็ดขาด”
“บ้าจัง นี่เราจะต้องเห็นหน้าผัวตอนเข้าหออย่างเดียวใช่ไหมเนี่ย”
“ต้องตรัสว่าพระสวามีเพคะ พระชายา”
“เราไม่พูดหรอกคำราชาศัพท์น่ะ เราสมองไม่ดี จำคำยากๆ ไม่ได้หรอก”
เมื่อเห็นหญิงสาวเอาแต่อาละวาดฟาร่าจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง เพื่อจะทำให้สถานการณ์คุกรุ่นดีขึ้น
“เอ่อ เชิญเสด็จพระชายาเข้าสู่งานเลี้ยงเพคะ”
อาริตาถอนใจดังพรืด และตวัดผ้าปิดหน้าลงมาเหมือนเดิม
“ก็ได้ แต่เราสาบานว่าจะต้องหย่าให้เร็วที่สุด เราไม่ชอบที่นี่เลย”
“เพคะ พระชายา”
นางกำนัลประจำตัวของหล่อนก็พูดแค่เพคะ เพคะอย่างเดียว และนั่นก็ทำให้หล่อนแสนจะหงุดหงิด อาริตากระแทกลมหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกไปจากห้องแต่งตัว มุ่งหน้าสู่ลานพิธี