บทที่ 8 คลุมถุงชน

1306 คำ
"อืม..." พริมพิจิกาละเมอออกมาในขณะที่กายบอบบางพลิกตัวเชื่องช้า หญิงสาวรับรู้ได้ถึงความปวดเมื่อยจากฤทธิ์ไข้ที่กำลังเล่นงานตนในขณะนี้ ปักษ์ซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลนักเห็นว่าคนตัวเล็กรู้สึกตัวแล้วจึงหยัดกายลุกขึ้นเพื่อเดินเข้าไปดูอาการ "ฉันคิดว่าเธอจะไม่ตื่นขึ้นมาแล้วซะอีก" พ่อเลี้ยงหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ แม้พริมพิจิกาจะรับรู้ได้ถึงคำทักทายแสนไร้มารยาททว่าเธอกลับไม่มีแรงที่จะเถียงออกไป "ทำไมต้องแช่งกันแบบนี้ด้วย" หญิงสาวพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจ "ตื่นแล้วก็ดีจะได้กินข้าวแล้วก็กินยา เธอไม่สบายเพราะโง่ลงจากรถไปตากฝนเมื่อคืน" "ฉันรู้แล้วน่า ตอนนี้ฉันปวดหัวแล้วก็ปวดไปทั้งตัวเลย นี่ฉันอยู่บ้านคุณอยู่หรอ?" "ก็ใช่ไง" พริมพิจิกากวาดสายตามองไปรอบห้องนอนหรูหรา อยู่ๆก็นึกถึงความฝันแปลกประหลาดเมื่อคืนพร้อมกับเกิดความรู้สึกร้อนผ่าวบนใบหน้าขึ้นมาอย่างไม่ทราบต้นสายปลายเหตุ "ฝันไปจริงๆด้วย..." เธอพึมพำพลางนึกถึงกายบอบบางเปลือยเปล่าของตนกำลังถูกเรียวลิ้นของบุรุษสัมผัสไปทั่วจนเกิดความวาบหวาม หญิงสาวปัดความรู้สึกในฝันนั้นออกไปแล้วจึงก้มหน้าลงมองเสื้อผ้าที่ตนเองค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเป็นอย่างมาก "ฝันอะไร?" ปักษ์เลิกคิ้วถาม "ปะ...เปล่าค่ะ ใครเปลี่ยนชุดให้ฉันคะ?" เจ้าของใบหน้าสีแดงราวลูกตำลึงเฉไฉถามเรื่องอื่น "แม่บ้านเขาเป็นคนเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอ" ปักษ์ตอบกลับทันควัน เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้วชายหนุ่มก็นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ความรู้สึกวาบหวามและความโหยหายังคงเเล่นพล่านอยู่ในกายกำยำของเขา "ฉันลงไปข้างล่างดีกว่าค่ะ จะได้โทรให้ที่บ้านมารับด้วย" ร่างบางหยัดกายลุกขึ้นนั่งและหย่อนเท้าลงจากเตียงนอน จังหวะที่กำลังพยุงตนเองให้ลุกขึ้นกลับรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาจนเกิดอาการทรงตัวไม่อยู่ โชคดีที่ปักษ์โอบรั้งเอวบางไว้ได้ทันก่อนที่หญิงสาวจะเสียหลักล้มลง "เธอยังไม่ได้กินข้าวและยาไข้มันก็เลยยังไม่ลด นอนรอที่นี่แหละเดี๋ยวแม่บ้านยกอาหารขึ้นมาให้" "แต่ว่า..." "อย่าเพิ่งอวดเก่ง" เขาพูดเสียงดุและประคองร่างบางให้นั่งลงบนเตียงนอนเช่นเดิม จากนั้นจึงถอยกลับไปนั่งที่โซฟาเช่นเดิม "นี่ฉันหลับไปตั้งแต่อยู่บนรถเมื่อคืนเลยหรอคะ?" พริมพิจิกาถามขึ้นในขณะที่แม่บ้านยกสำรับอาหารและยาเดินเข้ามาพอดี "ก็ใช่ไง เป็นภาระมากเลยรู้ตัวหรือเปล่า ฉันต้องอุ้มเธอเข้าบ้านแล้วก็อุ้มขึ้นมาชั้นสอง ต้องไปปลุกแม่บ้านตอนห้าทุ่มให้เขามาเช็ดตัวเป็นเสื้อผ้าให้เธออีก" ปักษ์พูดเสียงประชดประชัน "พ่อเลี้ยงไม่ได้ปลุกป้าเมื่อคืนนี่คะ คุณเพิ่งให้ป้ามาเช็ดตัวให้คุณหนูเมื่อเช้านี้เอง" แม่บ้านพูดขึ้นเสียงซื่อจนปักษ์ต้องตวัดสายตาดุดันใส่แม่บ้าน พริมพิจิกามองเจ้านายและลูกน้องสลับกันไปมาด้วยความรู้สึกงวยงง "พูดเรื่องอะไรกันหรอคะ?" "ฉันหมายถึงปลุกแม่บ้านอีกคน ออกไปได้แล้ว" ปักษ์รีบออกปากไล่เพราะกลัวว่านางจะหลุดพูดอะไรออกมาอีก "กินข้าวแล้วก็กินยาซะ" ร่างสูงกำยำหยัดกายลุกขึ้นยืน "คุณจะไปไหนคะ?" "ฉันต้องออกไปที่ไร่ไง ที่จริงฉันต้องออกไปตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่โผล่ แต่เพราะว่าเธอเป็นภาระของฉันอยู่นี่ไงฉันถึงต้องยังอยู่ที่บ้านรอจนกว่าเธอจะตื่น" เขาพูดจบแล้วจึงเดินออกไปจากห้องนอนทันที "ตายแล้ว! คนลือเรื่องของตาปักษ์กับหนูพริมแล้วหรอ ทำไมถึงได้ลือเร็วกันขนาดนี้" คุณปักษิณาอุทานตกใจเสียงดังจนปักษ์ที่กำลังเดินลงมาจากชั้นสองได้ยินเสียงของมารดา "มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับคุณแม่?" ปักษ์เดินเข้ามาหามารดาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด "แย่แล้วลูก ตอนนี้คนเอาเรื่องที่หนูพริมมาค้างกับแกที่นี่ไปลือกันทั้งตลาด ป่านนี้คงถึงหูคุณพ่อคุณแม่ของหนูพริมเขาแล้วมั้ง" คุณปักษิณาหันมาพูดกับบุตรชายด้วยสีหน้าร้อนรน "ก็แค่ขี้ปากชาวบ้าน ผมกับพริมไม่ได้มีอะไรกันนะครับคุณแม่" "ตาปักษ์! พูดแบบนี้ได้ยังไงลูก ถึงลูกจะไม่ได้มีอะไรกับหนูพริมแต่เมื่อชาวบ้านเขาร่ำลือกันแบบนี้แล้วหนูพริมก็ย่อมเสียหายกว่าใครทั้งนั้น พ่อแม่เขาจะยอมหรอลูก" "นั่นน่ะสิครับ! เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับตระกูลของผมมากนะครับ" ทันใดนั้นเสียงพ่อเลี้ยงพฤกษ์ก็ดังขึ้นจากทางประตูหน้าบ้าน พ่อเลี้ยงปักษ์หันขวับไปยังผู้มาเยือนที่กำลังเดินตรงเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด "สวัสดีครับ" ปักษ์ยกมือไหว้พ่อเลี้ยงพฤกษ์ตามมารยาท "ตั้งแต่พริมเติบโตมาผมก็ไม่เคยคิดว่าจะมีข่าวที่เสียหายแบบนี้กับลูกสาวของผม เธอเป็นเด็กดีและก็ไม่เคยสร้างเรื่องเสื่อมเสียแบบนี้มาก่อน ดูเหมือนว่าคุณปักษ์กำลังทำให้ชื่อเสียงลูกสาวของผมป่นปี้ไม่มีชิ้นดีนะครับ" พ่อเลี้ยงพฤกษ์สวมบทว่าที่พ่อตาผู้ดุดัน "นี่มันเรื่องอะไรกันครับ ก็แค่ชาวบ้านเขาพูดคุยกันโดยที่เขาไม่รู้ว่าอันไหนจริงไม่จริง อีกอย่างที่พริมมานอนค้างที่ไร่ก็เพราะว่าเมื่อคืนพายุเข้าฝนตกหนักเลยกลับบ้านไม่ได้" "แต่พริมเป็นถึงหลานสาวเจ้าเปรมปรีดิ์นะครับ เรื่องเสียหายแบบนี้เราปล่อยผ่านไม่ได้เด็ดขาดเพราะมันคือเกียรติและศักดิ์ศรีของยายพริมและตัวคุณเองด้วย" แท้จริงแล้วพ่อเลี้ยงพฤกษ์ไม่ได้มีจุดประสงค์จะยกเรื่องเชื้อสายวงศ์ตระกูลขึ้นมาอ้าง ทว่าเรื่องนี้เขาจำเป็นต้องช่วยคุณปักษิณาจึงยอมพูดเท็จ "หมั้นหมายไว้ก่อนก็ได้นะลูก" ผู้เป็นมารดารีบเอ่ยรวบรัดตัดตอน นางพิจารณาสีหน้าของบุตรชายแล้วก็เห็นว่ามีปฏิกิริยาต่อต้านน้อยกว่าที่ตนคาดการณ์ไว้ "ก็ได้ครับ ผมไม่มีปัญหาเรื่องอะไรพวกนี้เพราะผมไม่แคร์ อีกอย่างถ้าคุณแม่จะให้ผมหมั้นหรือแต่งงานกับพริมแม่ก็ไปคุยกับฝ่ายนั้นเอง" "ผมจะคุยกับลูกสาวเองครับ" พ่อเลี้ยงพฤกษ์เอ่ยขึ้น "งั้นผมก็ไม่ติดครับ นึกอยากมีเมียขึ้นมาเหมือนกัน ขอตัวออกไปที่ไร่ก่อนนะครับ" ปักษ์พูดจบก็เดินออกไปทันที "แปลกจังเลยนะคะ ฉันคิดว่าตาปักษ์จะค้านหัวชนฝาบ้านยังไงก็ไม่ยอมซะอีก นี่ตอบตกลงง่ายๆจนน่าแปลกใจเลยนะคะ" คุณปักษิณาขมวดคิ้วพูดกับพ่อเลี้ยงพฤกษ์ "นั่นน่ะสิครับ ผมเองก็คิดว่าจะยากที่คุณปักษ์จะยอมตอบตกลง งั้นตอนนี้คนที่น่าเป็นห่วงก็คือลูกสาวของผมนะครับ น่าจะค้านหัวชนฝาชนกำแพงชนแล้วก็ชนทุกอย่างเลยล่ะ" คุณพฤกษ์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักอกหนักใจ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม