"ไม่นะคะคุณพ่อ! ไม่หมั้นแล้วก็ไม่แต่งเด็ดขาดนะคะ พริมกับคุณปักษ์เราไม่ได้มีอะไรกันอย่างที่ชาวบ้านพูดกันนะคะ เมื่อคืนพริมตากฝนก็เลยไม่สบาย"
"เลิกอธิบายเรื่องนี้ซะทียายพริม ประเด็นมันอยู่ที่ชื่อเสียงวงศ์ตระกูล"
"นี่มันปีสองพันยี่สิบเอ็ดแล้วนะคะคุณพ่อ ทำไมคุณพ่อเอาแต่ห่วงแต่ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลโดยที่ไม่ห่วงความรู้สึกของหนูเลยล่ะคะ?"
"ที่พ่อห่วงชื่อเสียงวงศ์ตระกูลก็เพราะว่าพ่อรักแม่ของหนูมากไง แม่แล้วก็คุณตาคุณยายจะจริงจังกับเรื่องนี้มาก"
"แต่คุณพ่อคะ เรื่องอื่นหนูไม่เคยขัดใจคุณพ่อเลยนะคะ คุณพ่ออยากให้หนูเรียนอะไรหนูก็เรียน อยากให้หนูทำงานยังไงหนูก็ทำหนูทำตามคำสั่งของคุณพ่อทุกอย่าง แต่เรื่องนี้หนูขอสักเรื่องเถอะนะคะ"
"เรื่องนี้ลูกก็ต้องทำตามคำสั่งของพ่อเหมือนกัน จำไว้ว่าการแต่งงานกับปักษ์คือหน้าที่"
"คุณพ่อได้ผลประโยชน์อะไรจากการแต่งงานของหนูกับพ่อเลี้ยงปักษ์คะ?" เพราะผู้เป็นบิดามักจะพูดเสมอว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำนั้นย่อมมีผลประโยชน์เสมอ หญิงสาวจึงตัดสินใจถามผู้เป็นบิดาออกไปตามตรง
"ถ้าในเชิงธุรกิจก็คือที่ดินของพ่อเลี้ยงปักษ์ตั้งอยู่บนทำเลที่มีมูลค่าสูง อนาคตพื้นที่เหล่านั้นจะกลายเป็นโรงแรมรีสอร์ทและสถานที่ท่องเที่ยวที่สร้างกำไรมหาศาล พริมจงจำไว้ว่าพ่อทำทุกอย่างเพื่อลูก"
"ที่ดินบางผืนมันมีคุณค่ามากกว่าที่คุณพ่อจะเอามาทำเป็นโรงแรมรีสอร์ทได้อย่างที่คุณพ่อต้องการนะคะ"
"พ่อรู้ แต่มันเป็นสิ่งที่พ่อแค่คิดไว้ในอนาคตอีกไกล สิ่งสำคัญคือพ่อเองก็รู้จักตัวตนที่แท้จริงของปักษ์มาตลอด เพราะฉะนั้นการที่ลูกต้องแต่งงานกับเขามันก็เป็นเพราะว่าพ่ออยากให้ลูกมีความสุข" พ่อเลี้ยงพฤกษ์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงใจ เพราะพริมพิจิกาเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของตน เขาจึงต้องการผู้ชายที่ดุดันและเด็ดขาดเช่นพ่อเลี้ยงปักษ์เข้ามาคอยปกป้องบุตรสาวและคอยประคับประคองธุรกิจของตนด้วย
วันถัดมา
โรงแรม พริมธารา แกรนด์ โฮเต็ล
"สวัสดีค่ะคุณผู้หญิง" พนักงานโรงแรมสาวยกมือไหว้มาริสสาซึ่งเดินลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กตรงเข้ามาบริเวณเคาน์เตอร์เช็คอินของโรงแรม
"เช็คอิน! วันนี้ฉันเป็นแขกของโรงแรมเพราะฉะนั้นฉันมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรในนี้ก็ได้แล้วใช่หรือเปล่า?" หล่อนเหยียดยิ้มเย้ยหยันทำให้พนักงานต่างมองหน้ากันด้วยความเป็นกังวลว่ามาริสสาจะตามหาผู้หญิงคนนั้นจนเป็นเรื่องวุ่นวาย ทว่าทันใดนั้นบุรุษรูปร่างสูงกำยำก็เดินตรงเข้ามา
"คุณพริมมาทำงานหรือยังครับ?" พ่อเลี้ยงปักษ์เอ่ยถามพนักงานต้อนรับสาวโดยที่ไม่ได้สังเกตเห็นว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างกายของตนนั้นเป็นใคร
"ปักษ์คะ บังเอิญจังเลยนะคะที่เจอคุณที่นี่" มาริสาเอ่ยทักทายพ่อเลี้ยงหนุ่มด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หล่อนแสดงท่าทางดีอกดีใจเสียจนออกนอกหน้า
"ไม่บังเอิญหรอก ที่นี่เชียงใหม่ไม่ได้กว้างใหญ่ถึงขนาดที่จะไม่เจอกันเลย" ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบและหันกลับไปหาพนักงานต้อนรับสาวอีกครั้ง
"คุณพริมกำลังเดินมาแล้วค่ะ" ปักษ์หันไปหาหญิงสาวในชุดพนักงานโรงแรมงดงามกำลังเดินตรงเข้ามาหาตน
"คุณปักษ์มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?" พริมพิจิกาเอ่ยถามขึ้นเมื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพ่อเลี้ยงหนุ่ม มาริสสาหันมาจ้องมองสองหนุ่มสาวที่กำลังสบตากันด้วยความรู้สึกแปลกใจกับแววตาสองคู่นั้นที่แลดูลึกซึ้งอย่างเห็นได้ชัด
"ผมมาหาคุณ หายไข้หรือยังครับ?" ปักษ์เปลี่ยนสรรพนามในการเรียกขานทั้งคู่และยังขยับมือหนาขึ้นมาอังหน้าผากมนอีกด้วย
"ดีขึ้นแล้วค่ะ"
"ผมขอโทษนะครับที่ทำให้คุณต้องตากฝน เมื่อคืนเลยไข้ขึ้นทั้งคืนเลย" วงแขนกำยำโอบกอดรอบเอวบางไว้พร้อมกดศีรษะทุยเล็กแนบลงบนแผงอกแกร่งของตน พริมพิจิกาถึงบางอ้อเมื่อดวงตากลมโตของเธอเหลือบไปเห็นมาริสสายืนอยู่
"ปักษ์คะ ผู้หญิงคนนี้เป็นแฟนใหม่ของคุณหรอคะ?" หล่อนถามเสียงดัง คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันและจ้องมองผู้หญิงในอ้อมแขนของอดีตสามีด้วยแววตาขุ่นเคือง
"เรากำลังจะแต่งงานกัน" พ่อเลี้ยงปักษ์ตอบเสียงดังฟังชัดเพราะเขาตั้งใจให้พนักงานคนอื่นๆในโรงแรมได้ยินในสิ่งที่ตนต้องการที่ตนต้องการสื่อสารออกไป พริมพิจิกาแหงนหน้าขึ้นมองเจ้าของใบหน้าหล่อคมคายทว่าดุดันด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองใจเล็กน้อยที่เขากำลังล้อเล่นกับความรู้สึกของเธอเพียงเพราะต้องการที่จะประชดประชันอดีตภรรยาเท่านั้น
"ไม่จริงหรอกค่ะ คนอย่างพ่อเลี้ยงปักษ์จะแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนได้อีกจริงๆหรอคะ?" มาริสสาเหยียดยิ้มมุมปาก
"นั่นมันเป็นความคิดของคุณ ผมเลยไม่มีความคิดเห็น"
"ปักษ์คะ! ที่คุณพูดเรื่องแต่งงานเพราะแค่ต้องการประชดประชันสาใช่ไหมคะ?"
"หึ! คุณกำลังสำคัญตัวเองเกินไปนะ"
"คุณปักษ์คะ ให้คุณมาริสสาเธอขึ้นไปห้องพักเถอะค่ะ วันนี้เธอเป็นแขกของที่นี่" พริมพิจิกาพูดแทรกขึ้นเพราะเกรงว่าจะมีเรื่องโต้เถียงกันกลางโรงแรมเช่นเมื่อวานอีก
"ครับ ออกไปทานข้าวข้างนอกกันนะครับ" ใบหน้าหล่อคมคายโน้มลงมาจนปลายจมูกโด่งสัมผัสแก้มนวลแผ่วเบา หญิงสาวรู้สึกวาบหวามไปทั้งเนื้อตัวเมื่อได้รับสัมผัสแห่งแรงดึงดูดแสนพิเศษไม่ต่างจากรสจูบร้อนแรงที่เพิ่งได้รับมาเมื่อวาน ปักษ์ละสายตาจากมาริสสาและประคองคนตัวเล็กเดินออกไปยังบริเวณลานจอดรถทันที
"คุณกลับไปได้แล้ว" ร่างเล็กกะทัดรัดหยุดชะงักฝีเท้า
"พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?"
"ฉันก็จะกลับเข้าไปทำงานไงคะ"
"ก็ฉันบอกว่าฉันมารับเธอออกไปทานมื้อเที่ยงไง"
"คุณแค่พูดประชดอดีตภรรยาของคุณไม่ใช่เหรอคะ?'
"ตลกละ ฉันตั้งใจมาหาเธอโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ที่นี่"
"เอ่อ...ก็จริง แต่ว่าฉันไม่ออกไปทานข้าวกับคุณหรอกนะคะ ฉันจะกลับเข้าไปทำงาน" พริมพิจิกายืนยันคำเดิม ร่างบางกำลังจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในโรงแรมทว่าถูกมือหนาของปักษ์รั้งเอวบางเข้ามาสวมกอดไว้อีกครั้ง
"ปล่อยนะคะ" พ่อเลี้ยงหนุ่มไม่รับฟังคำทัดทาน เขาเปิดประตูรถและกดหัวไหล่คนตัวเล็กให้นั่งลงในรถ จากนั้นตนจึงเดินอ้อมมาประจำที่ฝั่งคนขับ
"เอาแต่ใจ!" เธอตะคอกว่าให้คนตัวโตเสียงดัง
"อย่าให้ฉันเห็นเธอเอาแต่ใจกับฉันบ้างก็แล้วกัน"
"แล้วก็เรื่องที่คุณไปประกาศต่อหน้าพนักงานว่าเรากำลังจะแต่งงานกันวันนี้ฉันไม่โอเคเลยนะคะ"
"แล้วฉันพูดผิดตรงไหน?"
"ก็ผิดตรงที่มันไม่ใช่เรื่องจริงไงคะ ฉันยืนยันกับคุณพ่อไปแล้วว่าฉันจะไม่มีวันแต่งงานกับคุณ"
"แต่ฉันตอบตกลงไปแล้วว่าฉันจะแต่งงานกับเธอ"
"คุณปักษ์คะ คุณพูดแบบนี้ได้ยังไง เราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรอ?"
"ฉันเกิดเปลี่ยนใจอยากมีเมียขึ้นมา" เขาเหยียดยิ้มมุมปากเท่านั้นก็ขับรถออกจากบริเวณลานจอดรถของโรงแรมทันที
"คนบ้า!"
"อ้อ พรุ่งนี้ที่ไร่จะมีงานเลี้ยงคนงานประจำเดือนแล้วก็ต้อนรับผู้จัดการไร่คนใหม่ด้วย คุณแม่ให้เชิญเธอไปด้วย"
"เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาค่ะ แต่เรื่องแต่งงานยังไงก็ไม่โอเค" หญิงสาวเชิดหน้าเบือนหนีไปทางอื่นพร้อมกับยกมือขึ้นมากอดอกด้วยท่าทางไม่พอใจ
"ถ้าเธอดึงดันที่จะปฏิเสธ ฉันก็จำใจที่จะต้องทำให้เธอเปลี่ยนใจด้วยวิธีของฉัน" ปักษ์หันมาจ้องมองใบหน้าสวยคมด้วยแววตามีเลศนัย จากนั้นจึงหันกลับไปมองหนทางข้างหน้าเช่นเดิม