“เด็กคนนี้จะมีชีวิตรอดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเธอ”
ไคล์กวาดมองหญิงสาวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ โดยปล่อยให้เด็กตัวเล็กอยู่กั้นกลางระหว่างเขาและเธอ “เด็กจะรอดตาย ถ้าเธอยอมไปอยู่กับฉัน”
“อยู่กับคุณ”
บุปผาสวรรค์ทวนคำอย่างไม่อยากเชื่อ “ฉันต้องอยู่กับคุณ เด็กคนนี้ถึงจะมีชีวิตรอดอย่างนั้นหรือ”
“ใช่”
“ถ้าฉันไม่ตกลง”
“เด็กนี่ก็จะตาย”
ถ้อยคำนั้นมาพร้อมกับอ้อมแขนที่รัดเจ้าตัวเล็กแน่นขึ้น แน่นเสียจนเด็กตัวน้อยๆ แผดเสียงร้องจ้า วินาทีแรกที่ได้ยินข้อเสนอของเขา บุปผาสวรรค์ก็แทบจะปฏิเสธออกมาดังลั่น ทว่าเพียงได้ยินเสียงกรีดร้องแห่งความเจ็บปวดของหลานในไส้ หญิงสาวก็พูดไม่ออก เธอไม่รู้จริงๆ ว่าเขาเป็นใครกันแน่ เป็นพ่อของหลานชายจริงๆ หรือ แล้วทำไมเขาถึงได้หยิบยื่นข้อเสนอแสนโหดร้ายขนาดนี้กับเธอ
“ฉันไม่...”
ทันทีที่คำว่าไม่หลุดออกมาจากกลีบปากชมพูสวย ไคล์ก็รีบโยนทารกวัยแบเบาะให้กับคนสนิทแล้วสั่งการด้วยท่าทีโหดเหี้ยม
“ฆ่าเด็กนั่นซะ”
“ไม่นะ อย่าทำร้ายเขา”
บุปผาสวรรค์ถึงกับทรุดลง ยกมือปิดใบหน้าชุ่มน้ำตาของตัวเองไว้แน่น “ได้โปรด...อย่าฆ่าเขา”
“นั่นก็แสดงว่าเธอตกลง”
หญิงสาวสะอึกสะอื้นออกมาจนตัวหอบโยน “ฉันยอมแล้ว...ฉันยอมไปอยู่กับคุณ ได้โปรด...อย่าทำร้ายเด็กคนนี้อีกเลย”
มีเพียงวอนโดเท่านั้นที่มองเห็นประกายตาพึงพอใจของผู้เป็นนาย เพราะตอนนี้คนที่ตอบตกลงเอาแต่ร้องห่มร้องไห้ ตั้งสติได้ก็รีบพุ่งมาอุ้มหลานชายตัวน้อยไปกอดไว้อย่างหวงแหน ริมฝีปากสีหวานแนบจุมพิตบนหน้าผากกับแก้มนุ่มๆ ของเด็กคนนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างปลอบประโลม ทำให้ไคล์ แซกเคอร์มันน์รู้สึกเหมือนมีหินขนาดมหึมาทับอยู่กับอก เป็นแบบนี้แล้วเขาจะปล่อยให้พ่อบังเกิดเกล้าคร่าชีวิตของสองคนนี้ไปได้เช่นไรกัน โดยเฉพาะเด็กคนนั้น เด็กที่เขาโอบอุ้มและตั้งชื่อให้ว่า คิงส์ แซกเคอร์มันน์
ผ่านไปเกือบสองชั่วโมงแล้วที่ไคล์หันหลังออกจากห้องนั้น ตอนนี้ชายหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ เอนหลังแนบกับเบาะพิง ปลายหัวแม่มือลูบปลายคางไร้หนวดเครานิ่งนาน จนกระทั่งคนสนิทก้าวเข้ามานั่นแหละถึงได้ดึงความสนใจหันไปมอง นัยน์ตาคู่นั้นฉายแววนิ่งสนิทก็จริง แต่เพราะทำงานด้วยกันมานาน วอนโดถึงได้รายงานออกมาโดยที่ผู้เป็นนายไม่ต้องถาม
“ตอนนี้คุณบุปผาสวรรค์หยุดร้องไห้แล้วครับ”
มีเพียงสีหน้าเครียดขรึมขึ้น พอเหลือบมองนาฬิกาก็เอ่ยถาม
“พร้อมเดินทางเมื่อไร”
“อีกสิบนาทีครับ”
“จำไว้ว่า การเดินทางครั้งนี้ต้องไร้ร่องรอยและรอดพ้นสายตาของพ่อฉัน”
“ผมจะจัดการตามที่สั่งครับ”
ไคล์พยักหน้าพอใจ หลังจากนั้นก็หยัดกายขึ้นเต็มความสูง ทอดนัยน์ตามองผ่านกระจกหนาออกไปไกล เขาก็ได้แต่หวังว่า สถานที่ที่พาตัวสองคนนั้นไปซุกซ่อนคงจะรอดพ้นหูตาของคนเป็นพ่อได้ อย่างน้อยก็คงช่วยให้คนทั้งคู่มีชีวิตอยู่ได้อีกนับเดือน
หลังจากนั้นสิบห้านาทีไม่ขาดไม่เกิน บุปผาสวรรค์ก็ต้องกอดหลานชายไว้แนบอกด้วยท่าทีสั่นเทา เธอไม่เข้าใจเลยว่าคนที่พูดออกมาเต็มปากเต็มคำว่าเป็นพ่อแท้ๆ ของหลานเธอ ความจริงแล้วเขาต้องการอะไรกันแน่ ทำไมถึงต้องใช้การข่มขู่เอาชีวิตมาเป็นข้อต่อรองกับเธอด้วย หรือว่าสำหรับเขาไม่มีใครสำคัญพอ เพราะแบบนี้สินะ แก้วมุกดาถึงไม่ยอมบอกว่าพ่อแท้ๆ ของลูกเป็นใคร
ดวงตาอาบรื้นด้วยความร้อนเอาแต่ปรายมองคนที่นั่งอยู่บนเบาะถัดไป เธออยากถามว่าเขาจะพาไปแห่งหนใดกันแน่ แต่ก็ต้องกลืนถ้อยคำทั้งหมดลงคอ เพราะรู้ดีว่าคำตอบที่ได้รับจากเขาอาจจะมีแค่เพียงความเฉยชาเท่านั้น
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่พาเธอไปฆ่าแน่ๆ” ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าคิดอะไรถึงได้พูดออกมาหน้าตาเฉย “อย่างน้อยก็ยังไม่ตายในอีกสี่สิบแปดชั่วโมงข้างหน้า”
“คุณจะพาฉันไปที่ไหน” ในที่สุดก็กัดฟันพูดออกมา “คุณต้องการอะไรกันแน่”
“พาไปบ้าน”
เขาตอบสั้นๆ หลังจากนั้นก็ปิดเปลือกตาลงราวกับต้องการยุติบทสนทนาทั้งหมด ทำเอาคนจ้องซักถามทำได้เพียงก้มลงมามองเด็กที่ครางอ้อแอ้ เธอจึงปรายตามองไปรอบๆ ก่อนจะกลั้นใจถามออกมา
“มีนมให้เด็กไหม”
คนนั่งใกล้ๆ เขาปรายตามองมาที่เธอแวบหนึ่ง แวบเดียวนั้นเธอรู้สึกว่าเขาจับจ้องหน้าอกกลมกลึง สีหน้าและแววตาคู่นั้นทำเอารู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัว จึงได้ทำคอแข็งพูดขึ้น
“ฉันไม่ใช่แม่ของเด็กนะ”
เขาครางรับรู้ก่อนจะยกตะกร้าใบหนึ่งให้ “จัดการซะสิ”
บุปผาสวรรค์เอาแต่เม้มปากแน่น ตัดสินใจชงนมให้กับหลานรัก แต่ว่าการอุ้มเด็กไปพร้อมๆ กับการชงนมมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย การกระทำของเธอคงจะขัดหูขัดตาเขาไม่น้อย อีกฝ่ายถึงได้เป็นคนแย่งขวดนมไปจัดการ หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีก็ได้เห็นเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนมีความสุขอยู่กับการดูดนม โดยไม่รู้เลยว่าในระหว่างนั้นมีใครอีกคนลอบมองเธอตาไม่วางเช่นกัน