นางเอกสาวเรียกเสียงดุ พอเห็นสีหน้าซีดๆ ของแม่ก็ถึงกับจ้องผู้จัดการของตัวเองตาไม่วาง จนอีกฝ่ายเอ่ยขอโทษขอโพยนั่นแหละถึงได้หันมากระชับมือของแม่ไว้แน่น “แม่คะ อย่าถือสาพี่รัชช่าเลยนะคะ พี่เขาก็แค่เป็นห่วงเท่านั้น”
“แม่เข้าใจจ้ะ” นางราตรียิ้มอ่อน “ถ้าแก้วมุกดาอยู่ บุปผาก็คงไม่ต้องลำบาก”
“แม่คะ”
หญิงสาวสอดแขนโอบรอบเอวแม่ ซบหน้าเข้ากับต้นแขนข้างหนึ่ง “ไม่ต้องคิดมากนะคะ หนูบอกแล้วว่าจะดูแลแม่เอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หนูจะไม่มีวันทิ้งแม่”
“บุปผา”
คนเป็นแม่สะอื้นไห้ ทำเอาคนปากไม่ดีอย่างรัชช่าถึงกับต้องลอบเช็ดน้ำตาเช่นกัน แต่จู่ๆ รถที่เคลื่อนตัวช้าๆ กลับต้องเบรกอย่างกะทันหัน ทำเอาผู้โดยสารภายในรถกรีดร้องด้วยความตกอกตกใจ หนำซ้ำเด็กตัวน้อยก็ยังพลอยแผดเสียงร้องจ้าไปด้วย ทว่ากว่าทุกคนจะรู้สึกตัว ภายในรถก็เหลือเพียงนางราตรีกับผู้จัดการปากมากเท่านั้น
บุปผาสวรรค์ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าภายในไม่กี่วินาทีนั้นมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง หญิงสาวรู้สึกถึงข้อมือข้อเท้าที่อ่อนแรง จู่ๆ หัวสมองก็มึนงง และทุกอย่างที่เคยดังจอแจอยู่รายล้อมตัวก็เงียบสนิท และเธอก็ไม่รับรู้อะไรอีก นอกเสียจากก้าวเข้าไปสู่ดินแดนลึกมืด และใช้เวลาอยู่ในนั้นเนิ่นนาน
แพขนตาโค้งงอนราวกับคันศรค่อยๆ กะพริบขึ้นอีกครั้งก็ในเวลาที่ได้ยินเสียงร้องจ้าคุ้นหู ถึงแม้จะขยับตัวได้ยากลำบากแต่ก็สามารถประคองตัวเองลุกขึ้นนั่ง แต่วินาทีแรกที่มองเห็นสภาพโดยรอบก็ถึงกับอ้าปากค้าง
ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเธอ ไม่ใช่สิ่งแวดล้อมคุ้นเคย แต่เสื้อผ้าทุกชิ้นที่เธอสวมใส่ก็ยังอยู่ครบ แถมเครื่องประดับนาฬิกาหรือแม้แต่กระเป๋าถือ กระเป๋าเดินทางก็วางอยู่ใกล้ๆ สิ่งที่ทำได้ก็คือวิ่งไปยังผนังห้องที่กรุด้วยกระจกหนาแล้วกวาดสายตามอง
“ที่นี่ที่ไหน” บุปผาได้แต่พึมพำออกมา แต่ยังไม่ได้คำตอบก็ต้องเบิกตาโตเมื่อได้ยินเสียงของหลานชายดังก้อง เธอไม่รีรอเลยที่จะวิ่งไปยังห้องนั้น เพียงเปิดประตูเข้าไปก็ต้องยืนนิ่งเป็นหุ่น เพราะหลานของเธอถูกอุ้มโดยผู้ชายแปลกหน้า
เขาสวมชุดสูทเรียบหรู เส้นผมด้านบนนั้นยาวนิดหน่อยแต่ถูกจัดทรงป้ายไปด้านหลัง นัยน์ตาสีสนิมคู่นั้นทำเอาก้าวขาไม่ออก รูปร่างของเขาสูงใหญ่กว่าพระเอกดังๆ ในเมืองไทย แววตาสีหน้าเยือกเย็นจนเธอไม่กล้าพูดอะไร นอกเสียจากจับจ้องหลานตัวน้อยๆ ที่ถูกเขาอุ้มแนบอกตาไม่วาง เธอตัดสินใจพุ่งเข้าไปหาแต่ก็ถูกขวางด้วยผู้ชายอีกคน ที่แต่งตัวได้เนี้ยบไม่แพ้ผู้ชายคนนั้น
“วางเด็กคนนั้นลงเดี๋ยวนี้” บุปผาสวรรค์สูดหายใจแรงๆ ขณะสั่งออกมา “อย่าแตะต้องเขา”
“เด็กนี่”
ไคล์ปรายตามองเด็กในอ้อมแขนนิ่งนาน ยอมรับว่าวินาทีแรกที่ได้เห็นเด็กชายตัวน้อยเขาก็ปรารถนาจะอุ้มและสัมผัสเนื้อนุ่มๆ อยากทักทายเพราะถึงอย่างไรเด็กคนนี้ก็เป็นลูกแท้ๆ ของน้องชายที่เขารัก แต่พอเห็นผู้ปกครองของเด็กทำทีท่าหวงราวกับเป็นลูกในไส้ของตัวเองก็อดกลั่นแกล้งไม่ได้ “ฉันจะทำอย่างไรกับเด็กคนนี้ มันก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเธอ”
นัยน์ตาสีสนิมจับจ้องนักแสดงสาวตาไม่วาง “บอกฉันสิ บุปผาสวรรค์ ว่าเธอจะไปอยู่กับฉันดีๆ”
“อยู่กับคุณ”
คิ้วเล็กที่เรียงเส้นสวยอยู่เหนือดวงตากลมโตถึงกับขยับเข้าหากัน เธอเดินตรงไปหาผู้ชายแปลกหน้าช้าๆ แล้วจ้องมองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างพินิจพิเคราะห์ “ทำไมฉันต้องไปอยู่กับคุณด้วย”
พริบตาเดียวเขาก็กดมุมปากเป็นรอยยิ้มร้าย แล้วเอ่ยออกมาชัดถ้อยชัดคำ “เพราะฉันคือพ่อของเด็กคนนี้”
“พ่อของหลานชายฉัน”
“คิงส์ แซกเคอร์มันน์ลูกพ่อ”
ปลายจมูกโด่งเคลียคลอแก้มนุ่มของเด็กน้อยวัยเดือนเศษไปมา สีหน้าและแววตาเปี่ยมไปด้วยท่าทีรักใคร่ การแสดงออกของเขาทำเอาบุปผาสวรรค์ถึงกับทรุดไปกองอยู่กับพื้น
เธอรู้สึกว่าดวงตากำลังพร่าเลือน ยิ่งมองเขาคนนั้นอุ้มหลานรักนานเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกหายใจไม่ออก เธอไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะเป็นพ่อของหลานชายตัวเอง น้องของเธอไม่เคยพูดถึงผู้ชายที่รักให้ฟังเลยสักครั้ง ตั้งแต่แก้วมุกดาตั้งท้องจนกระทั่งคลอดลูกและตายจาก ผู้ชายคนนี้ก็ไม่เคยมาแสดงตัว แต่จู่ๆ ก็เปิดเผยตัวในเวลาที่สายเกินไป
“ทำไมคุณไม่มาให้เร็วกว่านี้” หญิงสาวเอาแต่สะอึกสะอื้นแล้วมองเขาด้วยความโกรธเคือง “ถ้าคุณมาเร็วกว่านี้อีกสักนิด หลานของฉันก็คงไม่ต้องสูญเสียแม่ของเขาไป น้องสาวของฉันก็จะได้มีชีวิตอยู่กับคุณไปอีกนานแสนนาน แต่ทำไม...ทำไมคุณถึงมาตอนนี้...เปิดเผยตัวออกมาให้มันได้อะไร ในเมื่อแก้วมุกดาไม่สามารถกลับมาได้อีกแล้ว”
ไคล์ยอมรับว่าน้ำตาของผู้หญิงคนนี้ทำเอาเขาพูดไม่ออกเหมือนกัน แต่ว่าด้วยความตั้งใจเขาก็ไม่อาจปล่อยให้อารมณ์อ่อนไหวมีอิทธิพลเหนือสิ่งที่เป็นอยู่ได้
“เพราะฉันไม่ต้องการผู้หญิงคนนั้นแล้ว”
“คุณ...บอกว่าไม่ต้องการน้องสาวของฉันอย่างนั้นหรือ”
บุปผาสวรรค์รู้เลยว่าใจตัวเองวูบโหวงแค่ไหน ยิ่งเห็นรอยยิ้มเยือกเย็นบนใบหน้าคมคายของเขาก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังหายใจไม่ออก
“ฉันต้องการเพียงเด็กคนนี้เท่านั้น...เด็กที่เป็นสายเลือดของฉัน”
บุปผาสวรรค์พูดไม่ออก เธอไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีผู้ชายแบบนี้อยู่บนโลก จึงเอาแต่จับจ้องด้วยความชิงชัง “คนเลวๆ อย่างคุณ ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ ทำไมคนที่ตายไปถึงไม่ใช่คุณ ทำไมน้องสาวของฉันต้องเป็นฝ่ายตายด้วย”
“นั่นเพราะโลกใบนี้มันโหดร้ายกว่าที่เธอคิด”
หญิงสาวจ้องมองอีกฝ่ายอยู่นานนับนาที ถึงได้ค่อยๆ ตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงมาหาเขาช้าๆ ดวงตากลมโตสีดำที่โอบอุ้มด้วยความร้อนจ้องมองใบหน้านิ่งสนิทไร้ความรู้สึกผิดของเขาแล้วกัดฟันเอ่ยออกมา
“คืนเด็กคนนั้นมาให้ฉัน!”
เขาคลี่ยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มเย็นยะเยือกน่ากลัว
“เธอไม่มีสิทธิ์ในตัวเด็กคนนี้”
“มีสิ...เพราะว่าฉันคือป้าของเขา”
“ก็แค่ป้า แต่ฉันคือพ่อแท้ๆ พ่อที่มีสิทธิ์ในตัวเด็กคนนี้ทุกอย่าง”
“คุณหมายความว่าอะไร”
ในหัวใจของบุปผาสวรรค์รู้สึกเป็นกระวนกระวายนักก็ไม่รู้ ยิ่งเห็นนัยน์ตาสีสนิมกวาดมองใบหน้าของหลานชายก็ยิ่งทำเอาเธอต้องยืนตัวแข็งทื่อ แววตาของเขามันไม่ใช่แววตาที่พ่อมองลูกเลยสักนิด มันเหมือนว่าเขาสามารถตัดใจคร่าชีวิตน้อยๆ นั่นได้โดยไม่ลังเล
“สั้นๆ ง่ายๆ ก็คือ ฉันจะทำให้เขาเป็นหรือตายก็ได้”
“คุณมันไม่ใช่คน! เลวยิ่งกว่าสัตว์นรกเสียอีก แม้แต่หมามันยังไม่ฆ่าลูกของตัวเองเลย”
“เข้าใจเปรียบ” เขาหัวเราะหึๆ ไม่สะทกสะท้านกับน้ำคำผรุสวาทที่หลุดออกจากปากอิ่มเรื่อ นั่นอาจเป็นเพราะความจริงแล้วเขาอาจเลวบัดซบยิ่งกว่าคำด่าทอพวกนั้นเสียอีก “ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ฉันก็จะให้สิทธิ์เธอในตัวเด็กคนนี้ด้วย”
“คุณจะทำอะไร”