ตอนที่ 13
มินรญาไม่ได้วิ่งกลับขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเอง แต่หล่อนวิ่งมานั่งร้องไห้อยู่ภายในศาลากลางสวน แม้ตอนนี้จะยังไม่ดึกมากแต่เพราะเป็นคืนเดือนดับจึงทำให้บรรยากาศรอบๆ กายของหล่อนนั้นเต็มไปด้วยความสลัว หญิงสาวกำลังจะก้าวขึ้นไปหย่อนกายนั่งบนศาลา แต่สายตาของหล่อนก็มองไปเห็นใครคนหนึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“ใครน่ะ”
แสงไฟจากโคมไฟที่ติดเอาไว้รอบๆ สวนทำให้มินรญารู้ว่าคนตรงหน้าเป็นสตรี แต่เค้าโครงหน้าไม่ชัดเจนทำให้หล่อนมองไม่ออกว่าคือใคร หล่อนเห็นผู้หญิงคนนั้นยกมือขึ้นเช็ดหน้า ก่อนจะเอ่ยเสียงสั่นพร่าตอบกลับมา
“ญาดา... ญาดาเองค่ะ”
มินรญาถอนใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็รีบก้าวขึ้นไปนั่งบนศาลาฝั่งตรงกันข้ามกับญาดามินทร์ผู้หญิงที่มีชะตากรรมไม่ต่างจากหล่อนนัก
“ญาดานั่นเอง นี่คงแอบมานั่งร้องไห้คนเดียวอีกสินะ”
“เอ่อ ปละ เปล่านะคะ ญาดาแค่...”
ญาดามินทร์ตั้งใจจะปฏิเสธเพราะไม่อยากให้ใครมองอินทุอรพี่สาวแท้ๆ ของตัวเองในทางที่ไม่ดี แต่มินรญาก็รู้ทัน
“อย่ามาปดฉันเลยญาดา เราก็รู้ๆ กันอยู่นี่ว่าพี่สาวของเธอร้ายกาจแค่ไหน”
คำพูดของมินรญาทำให้คนฟังนั่งก้มหน้าเงียบ
“ฉันรู้ว่าเธอมีกันอยู่แค่สองคนพี่น้อง แต่เธอก็ไม่ควรจะปล่อยให้พี่อินรังแกอยู่แบบนี้นะญาดา อาหารบนโต๊ะทั้งหมดเป็นฝีมือของเธอ แต่พี่สาวหน้าด้านของเธอก็ขโมยผลงานไปทั้งหมด ขณะที่เธอก็ถูกพี่สาวตัวเองใส่ไคล้จนเป็นคนไม่ดีในสายตาของคุณพ่อกับคุณแม่...”
ญาดามินทร์เม้มปากแน่นตั้งใจจะสะกดกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้แต่ในอก แต่มันก็เล็ดลอดออกมาได้อยู่ดี เสียงสะอื้นไห้ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“ญาดาทนได้ค่ะพี่ญะญ๋า...”
“ทนได้กับจำทนมันต่างกันนะญาดา บางทีพี่ว่าญาดาควรจะสู้บ้าง”
ไม่มีทางสู้ได้หรอก หล่อนไม่มีทางทำแบบนั้นได้ ญาดามินทร์บอกกับตัวเองภายในอกด้วยความชอกช้ำ
มินรญาเพ่งสายตามองผ่านความมืดสลัวจ้องหน้าของคู่สนทนา ก่อนจะพูดขึ้นมาอีก
“ถ้ามีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกได้นะญาดา ถึงแม้พี่จะช่วยอะไรไม่ได้มากนักในความสัมพันธ์ของพวกเธอสองคน แต่พี่ก็ยินดีที่จะช่วยเหลือ”
ญาดามินทร์ก้มลงมองมือนุ่มของมินรญาที่วางทับบนหลังมือของหล่อนทั้งน้ำตา ก่อนจะช้อนตาขึ้นมองคู่สนทนอย่างซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณพี่ญะญ๋ามากนะคะที่เอ็นดูญาดา... ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกพี่หรอกญาดา ก็เราเป็นพี่น้องกันนี่ จริงไหม”
มินรญายิ้มบางๆ กระชับมือของตัวเองที่วางอยู่บนมือนุ่มๆ ของญาดามินทร์แน่นขึ้น สองสาวยิ้มให้กันด้วยความจริงใจ โดยหารู้ไม่ว่ามีสายตาของใครคนหนึ่งจ้องมองผ่าความมืดลงมาทางบานหน้าต่างลงมาด้วยความไม่พอใจ
มือขาวสะอาดของญาดามินทร์ยังไม่ทันจะหมุนลูกบิดประตูห้องนอนของตัวเองให้เปิดออกเลย เจ้าบานประตูตรงหน้าก็เปิดกว้างออกเสียก่อน หญิงสาวอุทานด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่ความตื่นตกใจจะตามมาลูกใหญ่ เมื่อเห็นหน้าคนที่เปิดประตูห้องนอนของหล่อนเต็มๆ ตา
“พี่อิน...”
“ทำไม? เห็นหน้าฉันแล้วคิดว่าเป็นผีเป็นสางหรือไงถึงได้หน้าซีดเผือดแบบนี้”
แล้วฝ่ามือของอินทุอรก็ตะปบลงบนเส้นผมของน้องสาวเต็มแรง จากนั้นก็ลากเข้าไปในห้อง เสียงปิดประตูห้องดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของญาดามินทร์ เมื่อถูกพี่สาวผลักให้ล้มลงไปกองกับพื้นห้องอย่างไม่ปรานี
“แกเห็นมันดีกว่าฉันใช่ไหมนังญาดา ใช่ไหม?!”
อินทุอรทรุดตัวนั่งลงบนส้นเท้าของตัวเอง มือจิกผมของน้องสาวอีกครั้ง
“พี่อิน... พี่อินพูดเรื่องอะไร ฉัน... ฉันไม่เข้าใจ...”
ญาดามินทร์ร่ำไห้ วิงวอนพี่สาวให้เลิกกระทำรุนแรงกับตัวเอง แต่ไม่มีหยาดหยดแห่งความเมตตาจากอินทุอรราดรดลงมาบนหัวใจของหล่อนเลยแม้แต่นิดเดียว คงมีแต่ความร้ายกาจเท่านั้นที่เทกระหน่ำลงมาใส่อย่างไม่ลืมหูลืมตา
“แกคิดว่าฉันตาบอดหรือไงนังญาดา ฉันเห็นนะ เห็นแกกับนังญะญ๋านั่งคุยกันอยู่ในสวน แถมยังจับไม้จับมือกันราวกับเป็นพี่น้องกันมาแต่ชาติปางก่อน ทั้งๆ ที่คนที่เป็นพี่ของแกคือฉัน ฉันคนนี้”
“โอ๊ย! พี่อิน ฉันเจ็บ...” เมื่อพี่สาวขยุ้มเส้นผมของหล่อนแรงขึ้น และกระชากให้เงยไปด้านหลัง
ญาดามินทร์ก็ไม่สามารถทนเก็บความเจ็บปวดเอาไว้ได้อีก “พี่อิน... กรุณาฉันเถอะ... ฉันเจ็บ เจ็บเหลือเกิน...”
“เจ็บสิดี เจ็บจะได้จำ จะได้จำเอาไว้ให้ขึ้นใจ ว่าฉันคือพี่สาวของแก ส่วนนังญะญ๋ามันคือศัตรู มันคือศัตรูของพวกเราทั้งสองคน จำเอาไว้!”
แล้วร่างของญาดามินทร์ก็ถูกกระชากให้ลุกขึ้นยืน จากนั้นฝ่ามือเล็กแต่หนักเอาการของอินทุอรก็ฟาดเปรี้ยงใส่หน้าของน้องสาวเต็มแรง ใบหน้าของญาดามินทร์สะบัดไปในทิศทางที่ฝ่ามือของอินทุอรต้องการให้ไป เลือดสีแดงสดไหลซึมที่มุมปาก
“พี่อิน... ฉันกลัวแล้ว อย่าทำอะไรฉันเลย...” ญาดามินทร์วิงวอน น้ำตาทะลักทลายไม่หยุด เจ็บปวดเหลือเกินกับสิ่งที่พี่สาวแท้ๆ กระทำกับตัวเอง
“ถ้าแกกลัว แกก็ต้องทำทุกอย่างตามที่ฉันบอก จำเอาไว้นะนังญาดา ชีวิตของแกเป็นของฉัน ชีวิตทั้งหมดของแกมีฉันเท่านั้นที่เป็นเจ้าของ เพราะถ้าไม่ได้ฉันป่านนี้แกก็คงไม่มีลมหายใจอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้หรอก จำเอาไว้...”
แล้วร่างของญาดามินทร์ก็ร่วงลงกับพื้น หญิงสาวสะอื้นได้ด้วยความเจ็บปวดทรมาน ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความสะใจของอินทุอร
“อย่าลืมสิว่าฉันเป็นคนช่วยแกจากกองไฟนรกนั่น จนหลังของฉันมีแผลเป็นที่น่าทุเรศอยู่จนทุกวันนี้ ดังนั้นแกจะต้องชดใช้กับสิ่งที่ฉันเป็น จะต้องทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนพระคุณของฉัน”
กองไฟนรก กองไฟนรกที่คร่าชีวิตพ่อกับแม่ของหล่อนไป และมันก็เกือบจะทำให้หล่อนสิ้นลมหายใจไปด้วยหากอินทุอรไม่วิ่งเข้ามาช่วยหล่อนออกไปได้ทันเวลา แต่การช่วยเหลือหล่อนในครั้งนั้นมันก็ทำให้ทั้งอินทุอรมีบาดแผลที่แผ่นหลังเป็นทางยาว แผลเป็นที่รักษาไม่หาย ทำได้แค่เพียงบรรเทาให้มันจางลงไปกว่าเดิมเท่านั้น ใช่... อินทุอรมีพระคุณกับหล่อน ถือว่าเป็นจ้าวชีวิตของหล่อนเลยก็ว่าได้ เพราะอย่างนี้ไง หล่อนถึงได้ยอมให้อินทุอรโขลกสับทุกอย่าง ยอมทำทุกอย่างเพื่อชดใช้สิ่งที่เคยเกิดขึ้น หวังก็เพียงแค่สักวันพี่สาวของหล่อนจะยอมอโหสิให้กับหล่อนเสียที
“แม้แต่ชีวิต... ของฉัน...”
ญาดามินทร์สะอึกสะอื้น เงยหน้าขึ้นมองพี่สาวที่ยืนยิ้มสะใจอยู่เหนือร่างของตัวเองด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน
“พี่อินจะเอามันไป... เมื่อไหร่ก็ได้...”
คนฟังหัวเราะร่าด้วยความพึงพอใจ “ฉันไม่เคยต้องการชีวิตเส็งเคร็งของแกหรอกนังญาดา เพราะสิ่งที่ฉันต้องการมันยิ่งใหญ่และน่าตื่นเต้นกว่านั้นเยอะ...”
ผู้เป็นน้องสาวเงยหน้าขึ้นมองพี่สาวที่กำลังหัวเราะด้วยความสะใจทั้งน้ำตา
“แล้ว... แล้วพี่อินต้องการให้ฉันทำอะไรให้จ๊ะ”
อินทุอรหรี่ตาแคบจ้องหน้าน้องสาวเขม็ง
“เอาไว้ให้เวลานั้นมาถึง แกได้รู้แน่นังญาดา ซึ่งมันก็คงอีกไม่นานแล้วล่ะ”
แล้วคนพูดก็เดินหัวเราะร่าจากไปอย่างมีความสุข ทิ้งให้คนที่นั่งกองอยู่กับพื้นมองตามไปด้วยน้ำตาอาบหน้า หล่อนไม่มีทางดิ้นหนีบ่วงบาปนี้ได้เลยใช่ไหม และเมื่อไหร่กัน เมื่อไหร่ชีวิตของหล่อนถึงจะหลุดพ้นจากวงจรร้ายกาจพวกนี้เสียที เมื่อไหร่กัน หญิงสาวร่ำไห้ถามตัวเองด้วยความขมขื่นทรมาน ทรมานจนไม่อยากจะมีลมหายใจอยู่ในโลกใบนี้อีกต่อไปแล้ว