สองวันต่อมา ยายของหล่อนก็หายดีแล้ว และสามารถกลับมาพักฟื้นต่อที่ห้องเช่าได้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอีก
หล่อนพายายกลับมายังห้องเช่า โดยได้ความช่วยเหลือจากดวงฤดีและทศวัฒน์
หากเป็นเมื่อก่อนหล่อนคงจะซาบซึ้งในความบุญคุณของเพื่อนและพี่ชายคนสนิท แต่ตอนนี้ความลับที่ดวงฤดีซ่อนไว้ มันยังคงติดค้างอยู่ภายในหัวใจของหล่อนตลอดเวลา และแน่นอนว่าหล่อนจำเป็นที่จะต้องเอ่ยถามออกไป
“ฤดี... พอมีเวลาคุยกับหมิวสักครู่ไหม”
ดวงฤดีหันมามองหล่อน ก่อนจะชะเง้อคอมองออกไปยังทศวัฒน์ที่เดินกลับไปนั่งรอในรถสักครู่ใหญ่แล้วอย่างเป็นกังวล
“เอาไว้พรุ่งนี้ได้ไหมหมิว”
“เราพูดแปบเดียว”
ลลิตาย้ำอีกครั้ง ก่อนจะดึงมือของดวงฤดีมากุมเอาไว้
“งั้นก็พูดมาเถอะ หมิว”
เมื่อเพื่อนเอ่ยอนุญาตหล่อนจึงตัดสินใจที่จะเอ่ยปากถามออกไป
“เรื่องคุณหมอน่ะ”
คิ้วเรียวของดวงฤดีเลิกสูง
“ทำไมเหรอหมิว”
“เอ่อ... คือหมิวได้ยินนางพยาบาลพูดกันเกี่ยวกับเรื่องของฤดีกับคุณหมอ...”
ลลิตายังพูดไม่ทันจบ สีหน้าของดวงฤดีก็เคร่งเครียดขึ้นทันที และตัดบทฉับ
“อย่ายุ่งเรื่องส่วนตัวของเราเลยหมิว เราขอร้องล่ะ”
“ฤดี... แต่ว่า...”
ดวงฤดีชักมือออกจากอุ้งมือของเพื่อน ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ถ้าเธอยังสำนึกในบุญคุณของเรา ก็อย่าพูดเรื่องนี้กับเราอีกนะหมิว”
ลลิตาหน้าชาดิก ทั้งๆ ที่คิดว่ารู้จักนิสัยใจคอของดวงฤดีเป็นอย่างดี แต่ตอนนี้เหมือนไม่ใช่ ผู้หญิงตรงหน้าเป็นใครสักคนที่หล่อนไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยสักนิด
ลลิตามองเพื่อนอย่างผิดหวัง แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ เมื่อบุญคุณค้ำคอ
“เราจะไม่พูดถึงอีกก็ได้ แต่เราอยากให้ฤดีหยุดเดินทางผิดแบบนี้”
“หมิว... เราไปก่อนนะ และหวังว่าเธอจะไม่พูดเรื่องแบบนี้กับเราอีก ไปล่ะ”
ดวงฤดีตัดบทอย่างไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะเดินออกไปจากห้องเช่าของหล่อน
ลลิตามองตามร่างของเพื่อนรักที่หายเข้าไปในรถคันงามของทศวัฒน์ด้วยความไม่สบายใจ
“ฤดี... ทำไมถึงไม่เชื่อเราเลย”
หลังจากวันนั้นที่หล่อนตัดสินใจพูดความจริงกับดวงฤดีไป เพื่อนของหล่อนก็ทำหมางเมินใส่หล่อน จนหล่อนรู้สึกเศร้าใจไม่น้อย
ดวงฤดีปลีกตัวออกห่างจากหล่อน และไปเข้ากลุ่มใหม่ ในขณะที่หล่อนทำได้แค่เพียงมองเพื่อนที่เคยสนิทด้วยความห่วงใยไม่เปลี่ยนแปลง
ดวงฤดีไม่ผิดหรอกที่จะเลิกคบหากับหล่อน เพราะหล่อนดันไปรู้เรื่องส่วนตัวของดวงฤดีเข้านั่นเอง
ลลิตายิ้มเศร้าหมองให้กับตัวเอง กระชับกระเป๋าสะพายไหล่ และเดินข้ามถนนไปรอรถเมล์เพื่อที่จะกลับไปยังห้องเช่า แต่แล้วก็ต้องชะงักกึกที่ริมถนน เมื่อรถคันคุ้นตามาจอดเทียบข้างๆ
กระจกรถฝั่งคนนั่งข้างคนขับถูกเลื่อนลดลงจนหมดทั้งบาน และหล่อนก็ได้เห็นใบหน้าของคนขับรถสุดหล่อได้อย่างชัดเจน
“คุณ... หัสวีร์...”
เขาชะโงกหน้ามองหล่อน ระบายยิ้มให้เล็กน้อย แต่นั่นก็ทำให้หล่อนหัวใจเต้นแรงโครมครามเลยทีเดียว จนต้องยกมือขึ้นทาบอกเอาไว้
“ขึ้นรถ”
“ขึ้น... รถทำไมคะ”
“ขึ้นมาเถอะน่ะ ฉันมีธุระจะคุยกับเธอ”
หล่อนส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะถึงจะหวั่นไหวกับเขามากแค่ไหน แต่การขึ้นรถไปกับผู้ชายแปลกหน้า ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ
“คง... ไม่ได้หรอกค่ะ ขอตัวนะคะ”
หล่อนรีบเดินหนี ในขณะที่เขาก้าวลงมาจากรถ และตามมาคว้าแขนเอาไว้
“ปล่อยนะคะ”
หล่อนตกใจสุดขีด ไม่คิดว่าผู้ชายอย่างหัสวีร์จะทำแบบนี้กับตัวเอง
“ปล่อยแขนฉันเถอะค่ะ”
เขาส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะใช้ผ้าสีขาวที่มีกลิ่นฉุนมาปิดปากและจมูกของหล่อน หล่อนดิ้นรนด้วยความตื่นตกใจ แต่ก็ทำได้แค่นั้น เพราะไม่ช้าสติสัมปชัญญะก็สลายหายวับไป
หัสวีร์ระบายยิ้มพึงพอใจ ช้อนร่างอรชรขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะรีบอุ้มไปวางในรถ เพราะกลัวว่าใครจะผ่านมาเห็นเข้าเสียก่อน ไม่ช้ารถสปอร์ตคันงามก็แล่นกลับขึ้นไปบนถนนด้วยความเร็วสูง
ระหว่างทางหัสวีร์ก็อดที่จะลอบปรายตามองใบหน้าของคนที่สลบสไลไม่ได้ เจ้าหล่อนมีใบหน้าที่หวานฉ่ำ ดูไร้พิษสง แต่แท้จริงแล้วกลับร้ายลึกเลยทีเดียว
เขากัดฟันแน่น นึกโมโหตัวเองที่รู้สึกผิดหวังรุนแรงแบบนี้ แค่คิดว่าหล่อนนอนอยู่ใต้ร่างของทศวัฒน์ผู้เป็นพี่ชาย เขาก็เต็มไปด้วยความเดือดดาล
“บ้าชิบ!”
รถคันงามเพิ่มความเร็วมากขึ้น เพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานที่เป้าหมายให้เร็วที่สุด