“พี่ชายของหัสคงจะหลงนังเด็กนั่นมาก มันคงจะออดอ้อนเก่ง อีเด็กคนนี้มันเลวที่สุด” จริยาเค้นเสียงออกมาอย่างเจ็บปวด
“คำว่าเลวยังน้อยไปครับ กับผู้หญิงที่ประพฤติตัวแบบนี้”
จริยาที่น้ำตานองหน้า มองหน้าน้องเขยของตัวเองอย่างขอความเห็นใจ
“หัสต้องช่วยพี่นะ ต้องช่วยพี่นะหัส”
“ผมก็พยายามอยู่ครับ แต่ยังคิดไม่ออกว่าจะทำยังไงดี”
“หัสก็ลากอีเด็กใจแตกนั่นไปให้ไกลๆ จากพี่ชายของหัสไง เอาเงินฟาดหัวมันไป มันจะได้ไม่มายุ่งกับครอบครัวของพี่อีก”
เมื่อเห็นหัสวีร์นิ่งไป จริยาจึงรบเร้าต่อทั้งน้ำตา
“หัสไม่สงสารพี่ ก็สงสารน้องกิ่งเถอะนะ พี่ไม่อยากให้ลูกไม่มีพ่อ...”
หัสวีร์ถอนใจออกมา กำมือแน่น และมองหน้าจริยา
“ผมจะจัดการกับแม่นั่นเองครับ”
“ขอบใจมากนะหัส... หัสคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยพี่ได้”
จริยาพูดขึ้นมาอย่างมีความหวัง ก่อนจะหันไปหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลมาจะยื่นให้กับหัสวีร์ แต่ชายหนุ่มยกมือขึ้นห้ามไว้ก่อน
“รายละเอียดของผู้หญิงคนนั้นผมรู้หมดแล้วครับ”
“นี่หัสให้คนไปสืบมาเหมือนกันเหรอ”
“ใช่ครับ และผมก็รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับผู้หญิงสารเลวคนนั้นหมดแล้ว”
จริยาวางซองเอกสารสีน้ำตาลลงกับโต๊ะกระจกตรงหน้าเหมือนเดิม
“อีนี่มันชื่อดวง...”
จริยายังพูดไม่ทันจบ หัสวีร์ก็ยกมือขึ้นห้ามเสียก่อน และพูดแทรก
“พี่ยาอย่าเอ่ยชื่อของผู้หญิงแพศยาคนนั้นออกมาให้เป็นเสนียดปากเลยครับ ผมสัญญาว่าผมจะจัดการ ทำให้แม่นั่นออกไปจากชีวิตของพี่ยาให้เร็วที่สุด”
“ขอบใจมากนะหัส”
“ผมสงสารพี่ยา สงสารน้องกิ่ง และก็เกลียดผู้หญิงคนนั้นเข้าไส้”
หัสวีร์พยายามพูดว่าเกลียด แต่ทำไมความรู้สึกแท้จริงกับตรงกันข้ามนัก ทำไมเขาจะต้องรู้สึกอ่อนไหวไปกับผู้หญิงคนนั้นด้วย ทั้งๆ ที่หล่อนสารเลว และเป็นเมียน้อยของพี่ชายตัวเอง
เขากัดฟันแน่น ขบกรามแกร่งจนมันขึ้นเป็นสันนูนเป่ง
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ไปพักผ่อนเถอะหัส พี่ขอบใจหัสมากนะ”
หัสวีร์ระบายยิ้มบางๆ ออกมา เขาลุกขึ้นยืน และเดินออกไปจากห้องรับแขก ในหัวกำลังผุดแผนการที่จะจัดการกับผู้หญิงเป้าหมายขึ้นมามากมาย
จริยามองตามร่างสูงใหญ่ของน้องเขยที่เดินออกไปจากห้องรับแขกด้วยความซาบซึ้งใจ ก่อนจะหยิบรูปของมือที่สามออกมาจากซองสีน้ำตาล
“อีดวงฤดี อีผู้หญิงสารเลว!”
แล้วรูปถ่ายของดวงฤดีกับทศวัฒน์ที่นักสืบตามถ่ายมาได้ก็ถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เกลื่อนพื้นห้อง ก่อนที่จริยาจะยกมือขึ้นปิดหน้าของตัวเอง และร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดทรมาน
ณ ห้องพักฟื้นของยาย ลลิตารีบยกมือขึ้นไหว้ทศวัฒน์ที่เข้ามาตรวจอาการของยายให้อีกครั้งในช่วงตอนเย็น
“คุณยายดีขึ้นมาแล้วนะครับ อีกสองวันก็น่าจะกลับบ้านได้แล้ว”
“ขอบคุณค่ะคุณหมอ”
หล่อนรีบยกมือขึ้นไหว้คุณหมอหนุ่มหล่อ ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับดวงฤดี
“ขอบใจเธอด้วยนะฤดี”
“ก็บอกแล้วไงไม่ต้องขอบใจเราหรอก เราเป็นเพื่อนกัน” ดวงฤดียิ้มหวาน ก่อนจะพูดขึ้นอีก “งั้นเราขอตัวกลับก่อนนะ”
“กลับบ้านดีๆ นะฤดี นี่มืดแล้ว” หล่อนพูดขึ้นอย่างเป็นห่วงเพื่อน
“ไม่ต้องเป็นห่วงเพื่อนหรอกครับ ผมจะดูแลฤดีให้เป็นอย่างดี”
ดวงฤดีหน้าแดงก่ำ ก่อนจะหัวเราะออกมา
“แหม พูดแบบนี้ฤดีก็เขินแย่สิคะ”
ลลิตาเห็นเพื่อนมีความสุขก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ เพราะทั้งสองคนเหมาะสมกันเหลือเกิน
“ฝากฤดีด้วยนะคะคุณหมอ”
“ด้วยความยินดีครับ”
“ไปนะ หมิว”
ลลิตาพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะยกมือขึ้นโบกลาให้กับเพื่อนสนิทของตัวเองที่กำลังเดินหายออกไปจากห้องพักฟื้นของยาย
“น่าอิจฉาจัง”
หล่อนอมยิ้มหวาน เดินไปหยุดที่ข้างเตียงมองดูยายที่กำลังหลับครู่ใหญ่ ก็ตัดสินใจเดินหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันที่นางพยาบาลสองคนเปิดประตูเข้ามาพอดี
คนหนึ่งมาวัดไข้ อีกคนหนึ่งมาดูขวดน้ำเกลือ และแน่นอนว่าสองคนนี้ต้องคุยกัน
ลลิตาที่กำลังจะออกมาจากห้องน้ำชะงัก เมื่อได้ยินเสียงสนทนาของสองนางพยาบาล แม้จะเป็นเสียงกระซิบกระซาบ แต่หล่อนก็ได้ยินชัดเลยทีเดียว
“ฉันเพิ่งรู้นะว่ากิ๊กของคุณหมอคือเด็กมหา’ลัยคนนั้นน่ะ ตอนแรกนึกว่าหลานคุณยายเสียอีก”
“น่าสงสารคุณจริยาเนอะ อยู่บ้านเลี้ยงลูก ส่วนผัวก็มามีกิ๊กแบบเปิดเผยไม่อายสายตาของใครเลยแบบนี้”
“เด็กคนนี้ก็ช่างกะไร ไม่เห็นใจผู้หญิงด้วยกันบ้างเลย คุณหมอมีเมียมีลูกแล้ว ก็ยังจะมายุ่งเกี่ยวด้วยอีก บาปกรรมตายเลย เธอว่าไหม”
“เด็กสาวๆ สมัยนี้ไม่สนใจหรอกว่าลูกใครผัวใคร กูอยากได้ กูก็จะเอา เห็นหน้าสวยๆ แบบนั้นแล้ว ไม่น่าจะทำตัวเลวเลย นี่ฉันก็หวังว่าหลานสาวคุณยายจะไม่ได้เป็นเมียน้อยใครเหมือนเพื่อนของตัวเองหรอกนะ”
“มันก็ไม่แน่หรอก ถึงน่าจะหวานๆ ซื่อๆ แบบนั้น แต่ข้างใน ใครจะไปรู้ล่ะ”
“นั่นสิ... เฮ้อออ เห็นแบบนี้แล้วอยู่เป็นโสดไปจนแก่ตายเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องมานั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่าเหมือนคุณจริยา”
“เนอะ”
นางพยาบาลสองคนคุยกันเสร็จแล้วก็พากันออกไปจากห้องพักฟื้นของยาย ในขณะที่หล่อนยืนตัวแข็งชันราวกับถูกสาป
นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย...?
“ฤดี...”
หล่อนครางชื่อเพื่อนออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ แต่สิ่งที่ได้ยินไม่มีทางไม่ใช่เรื่องจริง น้ำตาของลลิตาไหลรินออกมา นี่หล่อนจะเตือนเพื่อนยังไงดี
ลลิตาเดินออกมาจากห้องน้ำ มาทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาริมห้อง สมองเต็มไปด้วยความสับสน มึนงง และก็มองเห็นความจริงกระจ่างชัดขึ้นเรื่อยๆ
เพราะแบบนี้ใช่ไหม ดวงฤดีถึงไม่เคยเล่าเรื่องแฟนให้กับหล่อนฟัง และพอพูดถึงก็ทำท่าเหมือนอึดอัดแปลกประหลาด
“ฤดี... เธอไม่น่าทำแบบนี้เลย”