มือใหญ่ปล่อยออกจากบ่ามน กางนิ้วออกแล้วตวัดตีตรงโคนสะโพกแรงๆ จนร่างสาวสะดุ้ง กลับกลายเป็นว่าเธอเด้งตัวรับการโจมตีของเขาในทุกๆ ครั้งที่เขาหวดฝ่ามือลงบนผิวเนื้อ ชายหนุ่มชะงักงันหันมามองผลงานที่ตัวเองฝากรอยแดงเป็นปื้นไว้ตรงต้นขาขาวๆ ผิวของเธอละเอียดลออจนมองเห็นรอยเด่นชัดจนชายหนุ่มครางฮือ
ตมิสาเจ็บแปลบบริเวณที่ถูกลงทัณฑ์ อีกทั้งจังหวะรุกของเขาก็ไม่บั่นทอนลงเลย เธอกลั้นหายใจชั่วขณะจนกระทั่งเขาหยุดลงมือและหันมาตะปบทรวงอกงาม บีบเคล้นก่อนจะป้อนเข้าปากให้ความอุ่นร้อนครอบครองยอดเต้าเครียดเกร็ง ไรฟันขบกัดเบาๆ ก่อนจะดูดดึงจนเกิดเสียงดังแข่งกับเสียงครวญครางหวีดร้องของหญิงสาว
จากนั้นก็ไล้ลิ้นปาดเลียไปตามเนินอกแรงๆ ตะกละตะกลาม ในขณะที่ยังขยับสะโพกไม่ยั้ง เนื้อนางเต้นตอดร่างกายเขาจนสั่นสะท้านรับรู้ได้ถึงปรารถนาของเธอที่พุ่งทะยานเช่นเดียวกับเขา ใกล้แล้ว...มันอาจจะเร็วไปสักหน่อยสำหรับความกระหายที่ต้องการเวลาในการบรรเทา แต่ไม่เป็นไร เพราะมันจะไม่จบง่ายๆ แค่นี้หรอก
“อย่าฝืนตมิสา ไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่เธอจะตอบสนองฉัน เชื่อสิ...มันจะดีเอง ปล่อยเสียงของเธอ...ความต้องการของเธอให้กับฉันได้รับรู้เถอะ” เขากล่าวเชิงปลอบเมื่อพอจะอ่านความคิดของเธอออก ตมิสากำลังกลัวว่าเธอจะเบี่ยงเบนเรื่องความรุนแรงเช่นเขา ซึ่งมันไม่ใช่เลย เธอไม่ยอมเข้าใจเสียทีว่ามันคือความต้องการและมันเป็นธรรมชาติ
“อืม...” แต่ดูเหมือนคำประโลมนั้นจะได้ผล ร่างที่ตึงเครียดผ่อนคลายลง เธอยังหายใจหอบถี่และกำจิกต้นแขนของเขาจนเล็บฝังเข้าเนื้อ ใบหน้าแหงนผงกไปด้านหลัง ดวงตาฉ่ำปรือหยาดน้ำตาเลื่อนลอยไม่ส่ออาการเจ็บปวด แต่สื่อให้เห็นถึงความซ่านเสียวที่ร่างกายแบกรับเอาไว้จนใกล้จะถึงขีดสุดเต็มที ทั้งที่คิดเอาไว้ว่าไม่ต้องการเลยสักนิด แต่หัวใจและความปรารถนากลับไขว่คว้าดึงรั้งเขาจนไม่อาจปล่อยมือ
“แบบนั้นแหละที่รัก...ฉันจะทำให้เธอมีความสุข อีกนิดเดียวเท่านั้น” เสียงพร่าหอบสั่นดังขึ้นแบบขาดห้วงไม่สม่ำเสมอ ชายหนุ่มขยับอย่างล้ำลึกหนักหน่วงจนร่างเล็กสั่นคลอนเพียงสองสามครั้ง เธอก็กอดรัดเขาเอาไว้เสียแน่นพร้อมส่งเสียงหวีดแหลมอย่างไม่อาจกักเก็บก้องระงมเสมือนเรียกร้องให้ปีศาจร้ายในตัวเขาลุกตื่นเต็มกำลัง
ความอุ่นร้อนชโลมร่างกายที่ผงาดกล้าของเขาบ่งบอกให้รู้ว่าหญิงสาวปีนป่ายสู่ยอดปรารถนาแล้ว เธอดูอ่อนแรงและเหนื่อยล้า แต่ลมหายใจยิ่งกระชั้นถี่ เขาหยุดพักให้ชั่วครู่เพื่อดื่มด่ำกับหยาดน้ำทิพย์ที่ชุ่มเอ่อภายใน ปากหนาช่างค่อนขอดประณามจูบซับเหงื่อที่ชื้นอยู่ตรงไรผมบนหน้าผาก ค่อยๆ ขยับตัวตนรุกเร้าอีกครั้ง จับร่างเล็กพลิกคว่ำโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว
“อ๊ะ!!” ตมิสาที่คว่ำหน้าร้องคราง พยายามตะแคงหน้าเพื่อหอบเอาอากาศเข้าปอดลึกๆ รู้ดีว่าตัวเองต้องเผชิญความหนักหน่วงแค่ไหนจากแรงถาโถมของเขา กัณฑ์รพีจับสะโพกผายให้ลอยเด่นท้าทาย รอยแดงเถือกยังคงปรากฏชัดเจน เขาคุกเข่าตัวตรงและดันเข้าหาตัวเธอที่ฉ่ำชื้นสุดแรง กระแทกใส่ความสาวอย่างที่ปรารถนาจะทำจนเธอสั่นคลอนร่นติดกับหัวเตียงด้านหน้า ตมิสากัดฟันข่มความปวดหนึบทุกการขยับเขยื้อน แต่ก็แฝงความรู้สึกสยิวซ่านไปทุกอณูเนื้อเช่นกัน กลิ่นกายของเขาฟุ้งอยู่รอบๆ ตัวเธอ เสียงครางพร่าหอบกระเส่าและหยาดเหงื่อที่ผุดพรายเช่นเดียวกับเธอ ทุกอย่างหญิงสาวรับรู้และคล้อยตามไปกับความหวามไหวนั้นจนลืมความเจ็บปวดเสียสิ้น กัณฑ์รพีเป็นนักรักที่เจนจัด เขาทำให้เธอลุ่มหลงและไม่อาจถอนตัว หญิงสาวสำนึกอย่างถ่องแท้
“หอม...ให้ฉันเถอะนะ อืม...” ชายหนุ่มพร่ำวอนอยู่เบื้องหลัง และไม่ต้องรอการตอบอนุญาตเขาก็ขยับตัวลุกจนเข่าตั้งฉากกับที่นอน รั้งสะโพกผายยกตามขึ้นมาด้วย ทำให้ร่างของตมิสาลอยขึ้นมาตามแรงชาย ขาสองข้างขนาบกับลำตัวแข็งแกร่งห้อยอยู่เบื้องบน
หญิงสาวพลิกแขนค้ำยันทรงตัวอัตโนมัติรอรับการรุกรานในท่วงท่าพิสดารของเขา แต่กัณฑ์รพีก็ไม่ได้ปล่อยให้เธอท้าทายกับความทรมานมากนัก เขาบุก เร้า กระแทกกระทั้นถี่เต็มแรงไม่กี่ครั้งก็ปลดปล่อยปรารถนาดั่งลาวาอันร้อนรุ่มฝากฝังไว้ในกายเธอจนหมดสิ้น
ชายหนุ่มทรุดลงกับที่นอนเมื่อไฟรักมอดลง เขาไม่ลืมประคองร่างเล็กให้อยู่ในท่าทางที่เหมาะสม ก่อนจะถอดถอนตัวเองออกจากเธอ หญิงสาวนอนหอบกระชั้นถี่ไม่เหลือแม้เรี่ยวแรงน้อยนิดจะขยับตัว ห้องนอนที่ติดแอร์เย็นเฉียบกลับร้อนระอุเสียจนเหงื่อกาฬเกาะพราวไปทั่วร่างทั้งสอง
“อื้อ!” ตมิสาครางขัดใจเมื่อเธอถูกแขนใหญ่รั้งเข้าสู่อ้อมกอดเขา แต่ก็ไม่ได้ขืนตัวต่อต้านด้วยกำลังนั้นยังไม่ฟื้นคืน ร่างเล็กศิโรราบอยู่ในกรงแขนที่รวบไว้หลวมๆ ก่อนที่เธอจะผล็อยหลับด้วยความเพลีย ลืมสิ้นเรื่องหน้าที่การงานของตัวเองซึ่งเป็นเหตุให้มีปัญหากันจนต้องจบลงด้วยบทรักอันเร่าร้อน กัณฑ์รพีมองดวงหน้าหวานที่ยังแดงระเรื่อเพราะแรงสูบฉีดของเลือดในกายเธอแล้วรู้สึกผิดจับใจ เขายอมรับว่าโกรธมากกับทุกถ้อยคำที่หลุดออกมาจากปากของหญิงสาว
แต่พอนึกว่าเธอต้องมาทนรองรับอารมณ์ใคร่ที่เปรียบเหมือนพายุลูกใหญ่แล้ว อย่างไรเสียมันก็ไม่ยุติธรรมสำหรับเธอเลย เขาบรรจงจูบเบาๆ ตรงหน้าผากมน ก่อนจะรวบร่างเปลือยเปล่าเข้ามาแนบชิดกว่าเดิมตลบผ้าห่มคลุมตัว ปิดตา และหลับใหลไปพร้อมกันกับเธอ
ความปวดเมื่อยเกาะกินทุกตารางนิ้วบนร่างกายทันทีเมื่อสติกลับคืนจากนิทรา ตมิสานิ่วหน้านิดๆ เพราะรู้สึกระบมไปหมด ดวงตากลมโตค่อยๆ ปรือปรับกับแสงลืมขึ้นช้าๆ ก่อนที่สติสัมปชัญญะจะหลั่งไหลกลับมาครบถ้วน หญิงสาวมองดูข้างตัวโดยอัตโนมัติแต่ก็ว่างเปล่า วูบหนึ่งในหัวใจรู้สึกแปลบขึ้นมาอย่างไร้เหตุผลเมื่อพบว่าตัวเองนอนอยู่อย่างเดียวดาย แต่เธอก็ปัดมันทิ้งอย่างว่องไว ก่อนจะพยุงตัวลุกจากเตียง
เธอพบว่าตัวเองอยู่ในชุดนอนตัวเดิมในสภาพเรียบร้อย ทว่าความปวดหนึบทั้งสรรพางค์กายนั้นคืบคลานอยู่ในทุกย่างก้าวที่เหยียบเดิน หญิงสาวเหลือบมองนาฬิกาบนชั้นวางของเบ็ดเตล็ดก็พบว่าเวลาล่วงเลยเกือบจะเย็นย่ำเข้าไปแล้ว ห้องทั้งห้องยังคงเงียบงันราวกับมีเพียงเธอที่อาศัยอยู่
ตมิสาตัดสินใจพยุงร่างบอบช้ำจากแรงรักเข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว หลังจากนั้นคงต้องหาอะไรรองท้องเสียหน่อย แม้ความรู้สึกบอกว่าไม่อยากกิน ไม่หิว แต่ร่างกายและท้องไส้ก็เรียกร้องเหลือเกิน เนื่องจากยังไม่ได้กินอะไรเลยมาทั้งวัน
กลิ่นอาหารลอยฟุ้งเข้าจมูกทันทีที่ร่างระหงเดินเข้ามาในครัว เธออาบน้ำและแต่งตัวเรียบร้อยในชุดธรรมดากางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดแขนยาวพอดีตัว สายตามองไปยังที่มาของกลิ่นด้วยความฉงน
ใครคนหนึ่งกำลังง่วนอยู่กับการจับตะหลิวเพื่อปรุงอาหารที่อยู่บนเตาแก๊ส มองเผินๆ ในระยะไกลหน้าตาของมันเหมือนหญ้ารวมมิตร เขียวอี๋ไปทั้งกระทะ แถมบนพื้นยังมีเศษผักเศษเครื่องปรุงหกเรี่ยราด ท่าทีเก้ๆ กังๆ ของร่างสูงใหญ่ที่ขะมักเขม้นกับภารกิจตรงหน้ามองแล้วช่างน่าขันจนอดที่จะอมยิ้มไม่ได้
“อุ๊ย!” ตมิสาเดินเข้าใกล้อย่างลืมตัวจนเธอเผลอเหยียบเศษอาหารบนพื้นอย่างไม่ทันระวัง เสียงอุทานแผ่วเบาเรียกให้กุ๊กมือสมัครเล่นหันมามองทันที
“ตื่นแล้วเหรอ...คือ...ฉันกำลังทำกับข้าวให้น่ะ...” เขายิ้มขณะที่เอ่ยปากบอก ไม่ได้มีท่าทีขัดเขิน หันไปหันมามองเธอสลับกับคอยพะวงกับเมนูเด็ด
“...” ตมิสาไม่ได้ตอบ ทิฐิและความขุ่นมัวยังเกาะกินพอๆ กับอาการปวดแปลบทางร่างกาย เธอเม้มริมฝีปากสนิทหลบสายตาคมที่มองมา แต่พอได้เห็นใบหน้าเขาเต็มๆ ก็แทบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่เช่นกัน เธอรีบเดินเลี่ยงไปเปิดตู้เย็นรินน้ำผลไม้ใส่แก้วยกขึ้นดื่ม
“อ้าว! จะไปไหนล่ะ ใกล้จะเสร็จแล้วนะ” เขาเอ่ยบอกเรียกให้ร่างเล็กสนใจเขาเป็นนัยๆ
“จะนอนค่ะ...”
“กินข้าวก่อน ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า นี่ฉันออกไปจ่ายตลาดแล้วก็ทำกับข้าวให้เธอเองเลยนะ” น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความเอาใจกึ่งโอ้อวดนิดๆ สาบานได้ว่าไม่เคยทำแบบนี้ให้ใครจริงๆ ระดับเขาแค่กดโทรศัพท์ก็สั่งอาหารรสเลิศจากทั่วสารทิศมาประเคนถึงห้องได้สบายๆ แต่เพราะสำนึกในความผิดนั่นแหละถึงต้องทำ เพราะอยากเอาใจคนตัวเล็กให้หายงอนเสียที
“หอมไม่หิว ดื่มแค่น้ำผลไม้ก็อิ่มแล้ว...” ตมิสายังตอบเสียงห้วน ไม่หันหลังกลับไปมองจนบุรุษหนุ่มต้องละจากเมนูบนเตาเดินเข้ามาสวมกอดเธอเอาไว้จากทางด้านหลัง
“โกรธเหรอ...เจ็บมากใช่ไหม ขอโทษนะ คืนนี้ฉันจะแก้ตัวใหม่...” หยอกเย้าอย่างหน้าไม่อายจนถูกหยิกเข้าที่แขนแรงๆ แต่มีหรือคนหนังหนาทนทานอย่างเขาจะรู้สึกรู้สา
“อยากทุบอยากตีก็ทำไปเถอะ ถ้ามันจะทำให้เธอสบายใจขึ้น” น้ำเสียงอ่อนโยนกล่าวปลอบอย่างอบอุ่น ตมิสาหยุดมือที่จิกข่วนด้วยความอ่อนล้า เขาเป็นแบบนี้เสมอ ชอบตบหัวแล้วลูบหลัง และเธอก็ต้องจำนนต่อเขาอยู่ร่ำไปโดยไม่อาจขัดขืน ด้วยว่าเป็นความพร้อมใจของตัวเองที่เพียงแค่ได้รับสัมผัสและคำพูดนุ่มนวลก็ยอมให้เขาหมดสิ้นแล้ว
“ฉันขอโทษ...” ร่างเล็กถูกรวบกอดเต็มตัวพร้อมกับคำขอโทษซ้ำๆ หญิงสาวน้ำตารื้นปริ่มเจ็บใจตัวเองเหลือคณาที่ไม่เข้มแข็งพอจะสลัดความอบอุ่นนี้ให้หลุดออกจากตัวและหัวใจ
“ร้องไห้อีกแล้ว หอมขี้แยจัง วันนี้ฉันทำกับข้าวสุดฝีมือเลยนะ ทำให้หอมคนเดียว” กัณฑ์รพียังคงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้สร้างบาดแผลร้าวลึกให้คนในอ้อมแขน ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจทุกอย่างว่าโทสะของเขาบันดาลให้เกิดอะไรขึ้นบ้างก่อนหน้านี้
ร่างเล็กโอนอ่อนตามแรงนำพาของเขาจนมาถึงโต๊ะรับประทานอาหาร กัณฑ์รพีขยับเก้าอี้และประคองเธอนั่งอย่างทะนุถนอม ก่อนที่เขาจะมายืนอยู่ตรงหน้าเธอ ตมิสาลอบยิ้มทั้งที่น้ำตาเอ่อปริ่ม ด้วยเห็นใบหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยซอส เขม่าและอาจจะเป็นผงแป้งหรืออะไรสักอย่างขาวโพลนประปราย
“...” ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยถาม แต่อ่านจากอากัปกิริยาออกว่าเขาคงมีความผิดปกติอะไรสักอย่าง ชายหนุ่มเอามือเช็ดๆ ปาดใบหน้าลวกๆ สายตานั้นไม่ได้ละจากดวงหน้าหวานที่ซ่อนรอยขบขันอย่างเอ็นดู นึกโล่งใจที่ตมิสาไม่โกรธเคืองเขาจนเกินจะให้อภัย อย่างน้อยเธอก็แค่งอนและไม่สบายใจ หรือมีอาการขุ่นมัวปนเปอยู่เล็กน้อย
“หือ...” ขณะที่เคลิบเคลิ้มอยู่กับการงอนง้อของตัวเอง กลิ่นฉุนรุนแรงก็พัดผ่านเข้ามาเตะจมูกจนชายหนุ่มสบถอย่างหัวเสีย อาหารจานเด็ดที่เขาตั้งใจทำเองทุกขั้นตอนวิบัติก่อนเวลาอันสมควรเสียแล้ว
“เฮ้ย! ไหม้หมดเลย โธ่! ทำตั้งแต่เช้าเลยนะเนี่ย...” เขารีบวิ่งไปที่กระทะบนเตาซึ่งมีควันพวยพุ่งโขมง ส่งกลิ่นเหม็นไหม้ตลบอบอวลไปหมด ตมิสาหันตามด้วยความตกใจแล้วก็ต้องอุทานเสียงแหลมเมื่อกระทะในมือชายหนุ่มร่วงลงพื้นจากการที่เขาเผลอจับโดนความร้อน กัณฑ์รพีครางโหย ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บ แผลตรงข้อมือแดงเห่อขึ้นมาทันตาเห็น
“คุณซีล!!” หญิงสาวเรียกชื่อเขาพร้อมๆ กับร่างที่โผเข้าหาด้วยความเป็นห่วง ประคองแขนข้างที่มีบาดแผลมาดูด้วยความตระหนก
“เป็นยังไงบ้างคะ เจ็บมากไหม ไปใส่ยาก่อนค่ะเดี๋ยวแผลจะยิ่งบวมอักเสบนะคะ” เธอดูร้อนรนจนหน้าซีดเผือด ไม่ได้สนใจกระทะที่หล่นอยู่บนพื้นพร้อมเมนูเด็ดที่กลายเป็นแค่เศษอาหารไปแล้ว แต่ไฟบนเตาแก๊สนั้นปิดโดยตัวกัณฑ์รพีก่อนหน้า
ท่าทีห่วงหา อาการตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัดกลบความเจ็บปวดของคนตัวใหญ่หมดสิ้น เขายิ้มปริ่มด้วยความยินดีล้นอกที่รับรู้ว่าแม้ตัวเองจะเลวร้ายแค่ไหน แต่หญิงสาวก็ยังรักและเอาใจใส่เขาเหมือนเดิม จากเหตุการณ์เมื่อเช้ามืดหลังจากตื่นนอนก่อนหน้า เขาทั้งหนักใจและกลัดกลุ้มเรื่องผลที่จะตามมาว่าอาจสั่นคลอนความสัมพันธ์ที่ร่อแร่อยู่แล้วให้ยิ่งทวีความหมางใจจนไม่อาจหาทางออก หากการเจ็บเล็กๆ น้อยๆ จะช่วยบรรเทาความเคืองขุ่นในใจเธอให้เบาบางได้มันก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
“หายแล้ว...แค่หอมไม่โกรธฉัน ฉันก็ไม่เจ็บแล้วล่ะ...” ตมิสาซึ่งกำลังเป่าลมใส่รอยแดงเถือกเบาๆ ต้องเหลือบตามองเมื่อได้ยินคำหวานนั้น เธอเริ่มปรับตัวปรับอารมณ์ไม่ถูกราวกับว่าเพิ่งถูกแจกขนมจีบให้ใหม่ๆ
“ไปทำแผลก่อนค่ะ” หญิงสาวตัดบทพยายามไม่สบดวงตาคมปลาบที่มองอย่างหยาดเยิ้ม
“ทำกับข้าวก่อน เธอยังไม่ได้กินอะไรเลย ดูสิ เละหมดแล้วด้วย” สายตาทะเล้นหยอกเย้ายังคงทอประกายวิบวับส่งให้สาวเจ้า ใจจริงอยากกอดอยากปลอบให้มากกว่านี้ แต่ก็รู้ว่าต้องค่อยเป็นค่อยไป เดี๋ยวไก่ตื่นต้องปลุกปล้ำหาเหตุสุดวิสัยมาเป็นโอกาสกันอีก
“ถ้าอย่างนั้นหอมจะจัดการเรื่องในครัวเอง คุณไปทำแผลก่อนนะคะ” เธอพยายามปรับหน้านิ่งเฉยและทำทีไม่ใส่ใจกับการหยอดสายตาหวานและคำพูดชวนเคลิบเคลิ้มเหล่านั้น เจ็บ! ตมิสา...จำเอาไว้ว่าเขาทำให้เธอเจ็บทั้งตัวและร้าวลึกไปถึงหัวใจและมันยังระบมอยู่แม้ในวินาทีนี้
แนวโน้มว่าจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้นตอนแรกดูจะติดขัดนิดหน่อยเมื่อมือใหญ่ของเขาถูกปล่อยแล้วร่างเล็กก็ผละออกไปจัดการกับข้าวของที่ตกหล่นเกลื่อนกลาด ชายหนุ่มกะพริบตาประมวลความคิด ไม่แน่ใจว่าสุขภาพของตมิสาจะอำนวยให้เธอทำโน่นทำนี่ได้มากน้อยแค่ไหน
พอจะตระหนักได้ว่าตัวเองลงมือหนักไม่ใช่น้อย ซ้ำยังทำร้ายจิตใจกันอีก ความห่วงหาทำให้เขาตัดสินใจมองข้ามบาดแผลของตัวเอง ไม่ว่าเขาจะทำดีสักแค่ไหนในตอนนี้ มันก็คงช่วยเยียวยาอะไรไม่ได้มาก แต่อย่างน้อยก็อยากให้เธอสัมผัสถึงความรู้สึกผิดอย่างแท้จริงของเขา
“ทำอะไรคะ” หญิงสาวซึ่งกำลังเก็บกวาดเศษอาหารที่หล่นเกลื่อนพื้นเอ่ยถามเมื่อเห็นว่ากัณฑ์รพีมาก้มๆ เงยๆ จับโน่นหยิบนี่อยู่ข้างๆ เธอ
“ช่วยกันจะได้เสร็จเร็วๆ”
“แต่คุณเจ็บอยู่...”
“หอมก็เจ็บเหมือนกัน เราสองคน...ต่างก็เจ็บกันทั้งคู่” ถ้อยคำและสายตานั้นสื่อความหมายของคำว่าเจ็บได้เป็นอย่างดีว่ามันไม่ได้เจาะจงอยู่เฉพาะร่างกาย
ตมิสาหลุบตาต่ำไม่มองเขาอีก ความอาลัยอาวรณ์ที่ทอดผ่านดวงเนตรคมเข้มนั้นทำให้ใจเธอสั่นรัวและปวดแปลบ ในขณะเดียวกันนี่เป็นครั้งแรกที่ทะเลาะกันรุนแรงที่สุดตั้งแต่คบหากันมา เธอยอมรับว่าเสียใจที่สุดกับสิ่งที่เขาหยิบยื่นทั้งการกระทำและคำพูดที่ร้ายกาจ แต่ก็หวั่นไหวเมื่อชายหนุ่มแสดงออกให้เห็นว่าสำนึกแล้วต่อสิ่งเหล่านั้นอย่างชัดเจน
ต่างคนต่างหยุดไม่มีน้ำคำใดเอื้อนเอ่ยขึ้นมาอีก ปล่อยให้อีกฝั่งได้ใช้ความคิดของตัวเองท่ามกลางความเงียบงัน ห้องครัวถูกเก็บกวาดสะอาดเอี่ยมเหมือนเช่นเคย มื้อเย็นหน้าตาน่ารับประทานจัดวางบนโต๊ะอาหารเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ทว่าบรรยากาศและรสชาติของมันกลับไม่หลงเหลือความหอมหวนเช่นวันวานเอาไว้ได้
น้ำเมาสีอำพันในแก้วใสถูกกลิ้งกลอกไปมาพร้อมๆ กับน้ำแข็ง เจ้าของมือใหญ่ที่จับจ้องการเคลื่อนไหวของเหลวในแก้วนั้นมีท่าทีเหม่อลอย
ท่ามกลางแสง สี เสียงในอาณาจักรของตัวเอง กัณฑ์รพีไม่ได้รู้สึกเลยว่าตัวเขาสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกอย่างกลัดกลุ้ม ตั้งแต่เย็นจนถึงบัดนี้ เขากับตมิสายังไม่ได้พูดกันสักคำเลย เธอเอาแต่หลบหน้าเขา ไม่ไยดี และไม่มีการหันหน้ามาปรับความเข้าใจ หากเขาไม่กลัวหญิงสาวหวาดระแวง จิตตกไปกันใหญ่เรื่องที่กำลังมีปัญหากับนายอธิปคงเล่าให้ฟังไปแล้วล่ะ ไม่เก็บไว้สร้างปัญหาให้กับตัวเองหรอก เพราะมันคืออันตรายใหญ่หลวงที่ไม่อาจคาดเดาหรือรู้เล่ห์เหลี่ยมของฝั่งตรงข้าม วิธีที่ดีที่สุดก็คือป้องกันไว้ก่อน
แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่เขาปกป้องเธอจากคนอื่น เพื่อจะให้มาจมปลักทนทุกข์อยู่กับตัวเองหรือเปล่า เท่าที่เห็นตมิสาไม่ได้ยินดีกับความอาทรของเขาแม้แต่น้อย เธอออกจะขลาดกลัวการอยู่ร่วมกับเขาเป็นเวลานานๆ ด้วยซ้ำไป ยิ่งพอเกิดเหตุการณ์เมื่อเช้าเข้าก็ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่
“นั่งด้วยคนนะคะ...”
“อ้าว...คุณมิลลา เชิญครับ!” ชายหนุ่มหลุดจากภวังค์ฉับพลันหันไปตามเสียงที่แทรกผ่านบทเพลงดังกระหึ่มใกล้ๆ ตัวตรงโต๊ะ VIP ที่ประจำของเขา
“เรียกมิลลี่ก็ได้ วันนี้ฉันจะขึ้นร้องเพลงเป็นวันแรกค่ะ”
“อ๋อ...ครับ” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ ไม่ได้สนใจกับร่างอรชรที่พาตัวเองมานั่งฝั่งตรงข้าม
“คุณกัณฑ์รพีรีบกลับหรือเปล่าคะเนี่ย” มิลลากะพริบตาขัดใจนิดๆ เมื่อตัวเองไม่ได้เป็นที่สนใจของเขา ผู้ชายน้อยคนนักจะละสายตาไปจากเธอ ไม่ว่าจะทำงานหรืออยู่ ณ สถานที่ใดความเด่นเจิดจรัสของเธอก็ไม่เคยเป็นรอง แม้กระทั่งตอนที่เยื้องกรายเข้ามาในร้าน เหล่าผีเสื้อราตรีทั้งหญิงและชายต่างก็ตะลึงในรูปลักษณ์วันนี้ของเธอจนตาค้างอ้าปากหวอหุบไม่ลงตามๆ กัน
“ครับ...” คำตอบทุ้มแต่เบาหวิวเมื่อเทียบกับเสียงดนตรีกึกก้อง เธอแทบไม่ได้ยิน และต้องกัดฟันข่มความไม่พอใจนิดๆ นั้นเอาไว้ หลายครั้งมากแล้วที่กัณฑ์รพีไม่ให้ความสำคัญกับนักร้องดังอย่างเธอ ทั้งในครั้งแรกที่เจอกัน เขาก็ทำเหมือนขอทางไปที ครั้งที่สองก็ทิ้งเธอไว้กับเพื่อนของเขา มาในคืนแรกของการขึ้นเวทีของเธออีก เขาน่าจะอยู่ให้กำลังใจ รอดูผลตอบรับของลูกค้าที่มีต่อเธอ จากนั้นก็หาอะไรดื่มนั่งคุยตามประสาผู้ร่วมงาน หรือ...อาจจะไม่อะไรต่อจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
แต่ไม่ใช่ปฏิเสธไม่ไยดีอะไรสักอย่าง ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนทำกับเธอแบบนี้
“ไม่สบายใจหรือเปล่าคะ ดูคุณเครียดๆ จังเลย” เธอยังคงชวนคุยปกติด้วยน้ำเสียงที่ดังกว่าเดิมนิดหน่อย เพราะต้องแข่งกับเสียงดนตรี
“อ๋อ...ไม่นี่ครับ ผมนอนน้อยน่ะ รู้สึกเพลียๆ”
“มิน่าถึงได้รีบกลับบ้าน แย่จังนะคะ ฉันไม่รู้จักใครสักคน มาทำงานวันแรกไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนเลย คิดถึงตอนที่อยู่ฮ่องกงจังค่ะ เริ่มคุ้นเคยกับที่นั่นแล้วเชียว” มิลลาถอนหายใจและเบี่ยงหน้าไปทางอื่น มองสอดส่องไปทางแสง สี ที่ระยิบระยับเปิดสลับไปมาเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับนักเที่ยว
“คุณอยู่ฮ่องกงนานแล้วเหรอครับ” กัณฑ์รพียิ้มนิดๆ มองหน้าคู่สนทนาแล้วชวนคุยบ้างเมื่อสำนึกได้ว่าตัวเองเสียมารยาทกับผู้ร่วมงานคนสำคัญเสียแล้ว
“แล้วแต่สัญญาค่ะ ห้าเดือนหกเดือน หรือปีหนึ่ง ถ้าเขาสู้ราคาค่าจ้างกับที่อื่นที่เสนอมาไม่ไหว ฉันถึงจะย้ายไปอีกที่ค่ะ”
“แล้วไม่เคยมาทำงานที่เมืองไทยบ้างเหรอครับ เห็นบอกว่าไม่มีเพื่อน”
“เพื่อนของฉันส่วนมากเป็นลูกครึ่งหรือไม่ก็ชาวต่างชาติค่ะ ไม่ค่อยมีที่เมืองไทย อีกอย่างฉันไม่ใช่คนกรุงเทพอย่างที่บอกไว้ตั้งแต่แรกนะคะ ก็เลยไม่รู้จักใคร”
“ครับ...ดื่มอะไรหน่อยไหมครับ” เขาเชิญชวนเมื่อเห็นว่าเธอยังไม่ได้รับการต้อนรับจากพนักงานบริการ ชายหนุ่มกวักมือเรียกเด็กเสิร์ฟคนหนึ่งมาให้เธอสั่งเครื่องดื่ม ก่อนที่ทั้งคู่จะหันมาพูดคุยกันอีกครั้ง
นักร้องคนสวยหัวเราะเบาๆ ยิ้มและวางตัวอย่างมีจริต ทุกอย่างเสริมให้หญิงสาวในชุดดำปักเลื่อมสั้นเหนือเข่าดูมีเสน่ห์เย้ายวน ขนาดว่าคนที่เดินผ่านไปมาหรือมีโต๊ะประจำใกล้ๆ ต้องเหลือบแอบมองอยู่ไม่ขาด
มิลลาเป็นหญิงสาวผิวขาวอมชมพู รูปร่างผอมเพรียวเต็มไปด้วยสัดส่วนความเป็นสตรีเพศ ผมดำขลับยาวถึงกลางหลังของเธอถูกถักเปียแฟชั่นสวยงามรวบทั้งหมดตกแต่งด้วยกิ๊บเพชรสองตัวเสริมให้สวยสง่า
กัณฑ์รพีอยู่กับเธอเพื่อช่วยให้หญิงสาวลดอาการประหม่า และเธอก็ขอร้องให้เขารอฟังเพลงที่เธอร้องในคืนแรกนี้ด้วย มิลลาให้เหตุผลว่าตัวเองได้รับค่าจ้างแพง แถมยังไม่ต้องออดิชั่นตามกฎระเบียบอีก จึงอยากให้เขาพิจารณาว่าเธอทำได้ดีแค่ไหน
มิลลาขึ้นเวทีเมื่อถึงคิวของตัวเอง นับว่าเป็นความแปลกใหม่และเรียกความสนใจจากคนดูได้ไม่น้อย เนื่องจากไม่มีการโฆษณาหรือประกาศใดๆ ออกไปเกี่ยวกับการนำเสนอนักร้องใหม่ระดับมืออาชีพคนนี้ เสียงปรบมือและโห่ร้องดังกึกก้อง นักร้องสาวโบกมือทักทายเหล่านักเที่ยวก่อนที่ดนตรีเพลงที่เธอเลือกจะบรรเลงขึ้นโดยนักดนตรีมืออาชีพของทางร้าน เธอเลือกเพลง Stronger ของศิลปิน Kelly Clarkson น้ำเสียงอันมีพลังของเธอเรียกเสียงปรบมือเสียงกรีดร้องได้กระหึ่ม
มิลลาร้องได้หลากหลายแนวเพลง แต่เธอมักไม่ร้องเพลงแดนซ์เพราะไม่ถนัด อีกอย่างมันต้องเต้นด้วยอะไรด้วย ทำให้เหนื่อยง่ายเสียกำลังในการแสดงมาก หญิงสาวเอ็นเตอร์เทนลูกค้าได้อย่างดีเยี่ยม สมเป็นที่ต้องการตัวของแหล่งบันเทิงชั่วเอเชีย หนึ่งชั่วโมงผ่านไป เวลาในช่วงของเธอก็หมดลง ทว่าเหล่านักเที่ยวยังคงเรียกร้องให้หญิงสาวร้องเพลงให้ฟังต่อ มิลลาก็หาทางออกแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างชาญฉลาดเอาตัวรอดลงจากเวทีโดยที่ไม่สร้างความหงุดหงิดให้กับคนดูทั้งหลาย
กัณฑ์รพียังไม่กลับขณะสาวเจ้าลงมาจากเวที เขายิ้มอย่างพอใจ ทั้งนี้ความจริงแล้วเรื่องต่างๆ ในร้านเขาจะให้ลูกน้องเป็นคนดูแลทั้งหมด ตัวเองเพียงแค่คอยสั่งการและดูแลควบคุมอยู่ห่างๆ นานๆ ครั้งที่ชายหนุ่มจะมาเกาะติดสถานการณ์อย่างเปิดเผยเช่นนี้
“ขอบคุณมากค่ะที่อยู่เป็นเพื่อนฉัน นักเที่ยวเยอะเหมือนกันนะคะ” เธอเดินเข้ามาทอดกายนั่งตรงที่เดิมก่อนหน้า ชายหนุ่มยังคงดื่มน้ำเมาสีอำพันอย่างไม่มีอาการเมามายแม้จะดื่มมาค่อนคืน
“คุณทำได้ดี...สมแล้วที่เป็นที่ต้องการตัว” เขาชมจากใจ แจกรอยยิ้มแห่งมิตรภาพ วางแก้วในมือลงบนโต๊ะกระจก เสียงเพลงดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้งจากดีเจที่เปิดคั่นรายการ
“ขอบคุณค่ะ ดีใจจังที่ไม่ทำให้ผิดหวัง”
“ครับ...ดึกมากแล้ว ผมคงต้องขอตัวกลับก่อน เชิญคุณตามสบายนะ อยากได้อะไรก็สั่งเด็กได้เลยผมขอตัวก่อนนะ” กัณฑ์รพีตัดบท ดึกมากแล้ว ป่านนี้ตมิสาคงคอยเขาอยู่ การไม่ได้ไปทำงานอย่างเช่นทุกวันบวกกับมีเรื่องทะเลาะกันยังไงเสียก็ไม่ควรปล่อยให้อยู่คนเดียวนานๆ
“เอ่อ...ฉันก็จะกลับแล้วเหมือนกันค่ะ” มิลลาลุกตามร่างใหญ่ที่ไม่แม้จะหันมามองขณะร่ำลา
“อ๋อ...ครับ งั้นเราออกไปพร้อมกันก็ได้”
“คือว่า...ฉันไม่มีรถกลับค่ะ ยังไม่ได้หาเช่ารถไว้ใช้เลย ตอนมาก็นั่งแท็กซี่มากค่ะ” เธอบอกขณะเม้มริมฝีปากและหลุบสายตาอย่างลำบากใจ
“ถ้าอย่างนั้น...ผมแวะไปส่งก็ได้...เชิญครับ”
“ดีจังเลย ขอบคุณมากค่ะ รบกวนด้วยนะคะ” หญิงสาวยิ้มอย่างยินดี ในขณะที่เดินตามหลังบุรุษร่างสูงในชุดสูทสีดำสนิท เขาดูมีเสน่ห์ แฝงความเร่าร้อนเอาไว้ภายใต้มาดนิ่งขรึมที่แสดงออก เธอรู้สึกเช่นนั้น บางอย่างในตัวกัณฑ์รพีแผ่รัศมีให้เธอสัมผัสถึงแรงดึงดูดนั้น
...มันทำให้เธอ...อยากครอบครองเขา พอๆ กับที่อยากให้เขาครอบครองเธอ