ปะทะครั้งที่8.2

2768 คำ
“คุณพูดอะไร...อะ” ในตอนนั้นฉันก็พบเข้ากับความแปลกประหลาด เมื่อเสียงตวาดต่อว่าของอาจารย์เงียบลงในช่วงท้ายประโยค แต่ไม่ใช่กับรอยยิ้มของเกอร์ที่ปรากฏขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหยุดชะงักงันไป “ผมบอกว่าผมเข้าใจผิด” ไหนจะคำพูดแปลกๆ ที่ทำให้คนฟังมีท่าทีเปลี่ยนไปได้อย่างเหลือเชื่อ “อาจารย์ไม่โกรธผมนะครับ...” “ไม่ครับ...ผมไม่โกรธคุณอชิตพล ไม่ครับ...ไม่โกรธ ผมไม่โกรธคุณ” “ขะ ขอบคุณนะครับ...อาจารย์...” “หนูขอตัวก่อนนะคะอาจารย์” แม้จะไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดราวกับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ถึงอย่างนั้นบนหน้าก็ยังเปื้อนยิ้ม ขณะมือกำนามบัตรโง่ๆ ที่คนเลวยัดไว้แน่น บนโลกเรามีกฎข้อหนึ่งถูกกำหนดเอาไว้ว่าผู้น้อยต้องอยู่ใต้อำนาจของคนที่เหนือกว่า ฉันซึ่งเป็นเพียงแค่นักศึกษาจึงทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้นอกกว่าจะถูกกระทำและหลงเหลือหลักฐานให้ผิด ขยะแขยงชะมัด ไอ้พวกเดนมนุษย์นั่นน่ะ... หลังเดินคล้อยหลังออกจากห้อง ฉันไม่ได้ยินเสียงต่อว่าของอาจารย์พงษ์ศักดิ์ดังจากห้องพักอีก ไม่ได้ยินเสียงของเกอร์ พวกเขาเงียบไปราวกับไร้ตัวตนและไม่เคยอยู่ที่นั่น แต่ฉันยังรู้สึกนะ ถึงสายตาคู่หนึ่งที่มองตามหลังมา เพราะว่ารู้สึก รอยยิ้มจึงไม่ยอมหายไปจากใบหน้าสักที ไม่ว่าการปรากฏตัวของเกอร์จะเป็นเรื่องบังเอิญหรือจงใจ ฉันก็ถือว่าเขาช่วยฉันไว้ ไว้ค่อยขอบคุณเขาตอนที่เราอยู่ด้วยกันก็แล้วกัน... เรื่องระยำที่เกิดขึ้นก่อนเริ่มคลาส มันเลยพานให้ไม่อยากเข้าห้องที่มีอาจารย์เลวๆ พรรค์นั้นสอนเป็นชั่วโมงแรก ฉันไม่มีที่ไปแล้วก็ขี้เกียจกลับหอ จึงเดินโตร่เตร่ไปตามทางเดินในมหาวิทยาลัย จนกระทั่งเท้าสองข้างหยุดลงบริเวณทางเดินลัดระหว่างตึกออกแบบดีไซน์และตึกนิเทศฯ ที่หน้าห้องชมรมลี้ลับฉันพบเข้ากับชายหญิงคู่หนึ่ง ทั้งคู่คือคนที่ฉันรู้จักดี พี่ตี๋กับเกรซ... จากตรงนี้ฉันพอมองออกว่าเกรซกำลังแสดงสีหน้าเช่นไร เธอดูเครียด ส่วนในมือถือกระดาษแผ่นหนึ่งเอาไว้ พี่ตี๋เองก็ดูไม่ต่างกัน ฉันได้แต่ยืนมองพวกเขาเงียบๆ จากมุมที่คนทั้งคู่ยังไม่ทันสังเกตเห็น แต่ไม่นานพวกเขาก็แยกย้ายกันไปคนละทางด้วยสีหน้าเดิม “สวย!” ดูเหมือนพี่ตี๋จะสังเกตเห็น ถึงได้ตะโกนเรียก เขารีบวิ่งลงบันไดจากตัวอาคารตรงมาหาฉันที่สวนด้วยสีหน้าเป็นกังวล จนอดถามตามมารยาทไม่ได้ “เกิดอะไรขึ้นคะพี่ตี๋?” “น้องเกรซได้รับจดหมายแปลกๆ หลังจากรู้ว่าต้องอยู่ทำงานที่มหา’ลัยดึกน่ะสิ” คำตอบที่ได้รับทำฉันรู้สึกฉงน และเดาว่าเรื่องน่าจะเกิดหลังจากที่ฉันแยกตัวออกไป “มันเป็นจดหมายนัดพบ ลงชื่อจากคนที่...” ฉันหลุบตามองกระดาษในมือที่พี่ตี๋ได้รับมาจากเกรซจังหวะเดียวกับที่เขาเงียบเสียงลง และพบเข้ากับข้อความสั้นๆ 'คืนนี้ผมจะมารับเสียงหัวเราะของคุณ J' “มันคือการแกล้งกันหรือเปล่าคะ?” ฉันเงยมองคนตัวสูงตรงหน้า เมื่อรู้สึกแปลกๆ กับประโยคที่เรียบเรียงไว้บนกระดาษแผ่นเล็ก “ตัวอักษรย่อ J ที่ลงท้ายไว้น่ะ...” J ใช่ ฉันเห็น... “สวยดูไม่ออกจริงๆเหรอว่าเป็นจดหมายจากใคร? ” ถ้าโง่สักนิดฉันคงไม่รู้ตัวย่อในจดหมาย คำถามพี่ตี๋เลยเป็นตัวช่วยชั้นดีในการกดดันความคิดให้คล้อยตาม ทว่า จากที่อยู่ร่วมห้องกับเกอร์มาจนเกือบจะ 3 ปี เขาไม่ใช่คนที่มีนิสัยทำเรื่องเล็กน้อยให้ดูยุ่งยาก แม้จะอยู่ในคราบปีศาจตัวตลกก็ตาม “คืนนี้พี่จะลองให้คนออกตามหาตัวมันแถวๆ หออาถรรพ์ สวยจะร่วมกับพี่ไหม?” โผงผาง รวดเร็ว ฉับไว นั่นแหละ JOKER... “หนูว่านี่ไม่ใช่จดหมายจาก JOKER หรอกค่ะ” ฉันเชื่อความคิดตัวเอง สมองถึงสั่งการให้เอ่ยแทรกเช่นนั้น “JOKER ไม่น่าจะใช่คนที่ทำเรื่องจุกจิกอะไรแบบนี้หรอก” “สะ สวยหมายความว่าไง...” “...” อ่า อยู่ดีๆ ความคิดฉันกลับว่างเปล่าไปเสียดื้อๆ “ทำไมสวยพูดเหมือนรู้เลยล่ะ ว่าตัวจริงของ JOKER เป็นใคร?” “หนูไม่รู้ค่ะ” “ถ้าไอ้ปีศาจนั่นเป็นมนุษย์จริงๆ มันก็คือผู้ร้ายที่ก่อคดีอาชญากรรม” พี่ตี๋รัวคำพูดราวกับอยากให้ฉันเปลี่ยนความคิด “สวยจะปล่อยให้มันทำร้ายนักศึกษาในมหา’ลัยเราแบบนี้เหรอ...” “หนูบอกว่าหนูไม่รู้” ฉันขัด “สวย นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายนะ!” พี่ตี๋ดูจริงจังทุกครั้งที่พูดถึง JOKER เขาบันดาลโทสะพุ่งมือเขย่าตัวฉันไปมาเพื่อเค้นหาความจริง “เกรซน่ะเพื่อนสวยไม่ใช่เหรอ!?” “หนูบอกว่าหนูไม่รู้!” ฉันสะบัดตัวอย่างแรงก่อนใช้มือผลักอกพี่ตี๋ให้ออกห่าง สมองที่ว่างจากการถูกกดดันเพื่อหาความจริง ทำฉันพูดได้เพียงประโยคเดียว ซ้ำๆ “หนูขอโทษค่ะ แต่หนูไม่รู้...จริงๆ” มันคือการโกหก วิถีของคนบาปเพื่อใช้หนีความผิด ซึ่งฉันไม่ได้มีความผิดแต่เหมือนกำลังวิ่งหนีอะไรสักอย่าง “ขอตัวค่ะ” อ่าใช่... ฉันต้องการหนีไปจากเรื่องวุ่นวาย หนีจากการถูกไล่ต้อน หนีไปจากโลกงี่เง่าที่ไม่เคยสงบสุขในแต่ละวัน “วันนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งมาหาพี่!” แม้จะถูกปฏิเสธแต่พี่ตี๋ยังคงไม่ลดละความพยายาม ยังคงตะโกนไล่หลังและหวังว่าฉันอาจเปลี่ยนใจ “ เธอเป็นน้องสาวของเหยื่อที่ถูก JOKER เล่นงานจนต้องลาออกไป... ” เขาทำตัวเป็นมนุษย์แสนดีดั่งอัครเทพมิคาเอลที่พยายามปกป้องพระเจ้าจากการรุกรานของอดีตอัครทูตบนสวรรค์ซึ่งถูกขับไล่ลงไปเดินเหินในขุมนรกอเวจี “พี่ไม่อยากให้นักศึกษาในมหา’ลัยเจอเรื่องแย่ๆ แบบนั้นอีกแล้ว ถ้าสวยรู้อะไร...” “หนูบอกว่าหนูไม่รู้...” น้ำเสียงเย็นชา ราบเรียบแต่หนักแน่นถูกเอ่ยขัดออกไปเป็นหนสุดท้ายพลางใช้มือปัดปลายปรกเกะกะไปไว้ด้านหลัง ก่อนที่เท้าจะเริ่มก้าวเดินปลีกตัวออกห่างโลกอันแสนวุ่นวายไกลห่างทีละก้าวช้าๆ แต่มั่นคง ฉันเชื่อเรื่องบาป เวรและกรรม พอกับเชื่อเรื่องพระเจ้า แต่ว่าโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องวุ่นวาย ไม่สงบ โดยเฉพาะกับการปั้นหน้า สวมหน้ากากเข้าหากันของมนุษย์ มันทำให้ฉันรู้สึกเอือมระอาและเบื่อหน่าย ตัดสินใจหันหลังให้โลกทั้งใบ รักและศรัทธาปรปักษ์ของพระเจ้าที่มองทุกอย่างเป็นเรื่องไร้สาระ หากคิดว่าฉันจะเป็นหนึ่งในทูตสวรรค์เหล่านั้นบอกเลยว่าเขาคิดผิด ถ้าต้องเปรียบ ฉันคงไม่ต่างอะไรไปจาก ‘ลิลิธ[1]’ ผู้หญิงคนแรกที่หันหลังให้พระเจ้าและความวุ่นวายอย่างที่ฉันเป็น... เผินๆ ฉันเหมือนคนพยายามปกป้องคนผิด แต่เปล่า ฉันไม่ได้ปกป้องเขา แต่กำลังศึกษาหาเหตุผลจากการกระทำเลวร้ายนั่นอยู่ต่างหาก และเมื่อไหร่ที่เขายอมบอกสาเหตุ ฉันเองก็พร้อมจะบอกเหตุผลและส่งตัวปีศาจสู่แดนพิพากษาเช่นกัน นับตั้งเกิดเรื่องวุ่นวายประดังประเดเข้าใส่ชีวิตตั้งแต่ช่วงสายของวัน ฉันก็หนีความน่ารำคาญเหล่านั้นกลับสู่ความมืดมน ขังตัวเองอยู่ภายในห้องพักซึ่งถูกปิดม่านและไปจนทึบ ขลุกอยู่กับหนังสือศาสตร์มนต์ดำบนเตียงนอนของตัวเองท่ามกลางความเย็นจากเครื่องปรับอากาศเพื่อรอเวลา... จากหนึ่งนาทีกลายเป็นสิบนาที จากหนึ่งชั่วโมงเคลื่อนเปลี่ยนเป็นสองชั่วโมง ฉันไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองต้องรอคอยอะไรแบบนี้มาก่อน แต่ในครั้งนี้มันต่างไป ท้องฟ้าด้านนอกหน้าซึ่งยังพอให้แสงสว่างตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมาบัดนี้ได้มืดลงพนให้ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความมืด จนต้องพึ่งแสงจากหลอดไฟ เวลา 20.50 นาฬิกา เกอร์ไม่กลับมา เขากลับช้ากว่าทุกครั้ง... หนังสือเล่มโปรดถูกปิดลงไปพร้อมกับการรอคอยที่สิ้นสุดลง ฉันพาตัวเองออกจากห้องพักเมื่อท้องเริ่มหิว เท่าที่จำได้วันนี้ทั้งก็แทบไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยสักอย่าง “เจอน้องเขาไหม!?” “ไม่เจอเลย!” เสียงเอะอะโวยวายของเหล่านักศึกษาจากหลากหลายคณะที่บ้างวิ่งวุ่นไปรอบตัวหอพัก บ้างก็ตะโกนถามกันเสียงดังไร้ซึ่งความเกรงใจ ภาพที่เห็นเท้าหยุดชะงักลง สายตากวาดมองความวุ่นที่อุตส่าห์หลบหนีมาตลอดทั้งวันด้วยความรู้สึกว่างเปล่า โดยเฉพาะกับตอนที่สายตามองทอดไปยัง รถตำรวจซึ่งจอดห่างจากหน้าหอพักไปเพียงไม่ถึง 100 เมตร... “ขอโทษนะครับ น้องพักอยู่หอนี้หรือเปล่า” ฉันเหลียวมองเจ้าของคำถามพลางพยักหน้าเบาๆ แทนคำตอบ เขาคือตำรวจนายหนึ่ง การที่สถานการณ์ดูวุ่นวายแถมยังมีตำรวจเพ่นพ่านแบบนี้ มันเลยทำให้อดถามกลับไปไม่ได้ “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?” “ทางเราได้รับแจ้งว่ามีนักศึกษาหายตัวไปตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ ราวๆ สัก 1 ทุ่มได้...” นักศึกษาหายตัวไปเหรอ... “เห็นทางนักศึกษาแจ้งว่า ก่อนนักศึกษาที่หายตัวไปได้รับจดหมายขู่จากคนร้ายด้วย ไม่ทราบว่าน้องพอจะรู้หรือเห็นอะไรผิดสังเกตบ้างหรือเปล่า?” “ไม่ค่ะ หนูไม่รู้อะไรเลย” “งั้นเหรอครับ ถ้าอย่างงั้นหากเจออะไรผิดสังเกต ช่วยแจ้งผมด้วยนะ” “ค่ะ” พูดจบ คุณตำรวจตะเบ๊ะมือตามหน้าที่ก่อนปลีกตัวออกไปปะปนกับเหล่านักศึกษารายอื่น เหตุการณ์ที่เป็น ทำให้ตระหนักได้ว่าเรื่องจดหมายขู่ของ JOKER มันได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ และคนที่โทรเรียกตำรวจมาแบบนั้น ถ้าไม่ใช่พี่ตี๋ก็คงเป็นผู้หญิงที่ชื่อเพียงฟ้าอะไรนั่นแน่นอน ฉันกวาดตามองไปยังกลุ่มนักศึกษาซึ่งพากันวิ่งค้นหาผู้สูญหายอย่างเอาเป็นเอาตาย ที่ตรงนั้นฉันได้พบเข้ากับแกนนำการไล่ล่า JOKER ปะปนอยู่ในกลุ่มด้วย เขาวิ่งรวมๆ กับคนในชมรมหายเข้าไปใต้ตึกหอพัก เห็นท่าทางที่เอาจริงแบบนั้น ก็อดสบถอย่างหนึ่งหงุดหงิดไม่ได้ “งี่เง่า...” ฉันเดินผ่านรถตำรวจและบรรยากาศวุ่นวายไปยังทางเดินเรียบติดกับป่ารก แสงไฟบริเวณถนนตัดผ่านเข้าสู่มหาวิทยาลัยไม่ค่อยมีเสาไฟให้แสงสว่างนัก แต่ก็ยังพอมองเห็นเส้นทางอยู่ดี ตึก... ตึก... ตึก... ทุกเสียงย่างก้าวดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสลับกับเสียงลมหายใจเข้าออก สายลมแรงๆ ในช่วงหัวค่ำทำปลายผมที่รวบไว้ด้านหลังปลิวสยายไปตามแรง จังหวะนั้นเอง ฉันก็ได้ยินเสียงฮัมเพลงอย่างคนอารมณ์ดีแว่วคลอมาด้วย “Twinkle, twinkle, little star~ (กระพริบ ระยิบระยับ เจ้าดาวดวงน้อย)” เสียงฮัมเพลงแสนคุ้นหู ทำเท้าของฉันเร่งจ้ำไปยังต้นเสียง เปลี่ยนเส้นทางจากพื้นถนนตรงสู่ตัวมหาวิทยาลัยเลี้ยวเลาะเข้าไปในป่า “How I wonder what you are~ (ฉันสงสัย เจ้าคืออะไรกัน~)” ยิ่งเข้าไปลึก เสียงฮัมเพลงดังกล่าวก็ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ “Twinkle, twinkle, little star~ อะ...” จนในที่สุดฉันก็ได้พบเขา ชายตัวสูงในชุดสูทสีทึบกลืนกินไปกับความมืด กับใบหน้าสีชอล์กแต้มรอยยิ้มแสยะสีทับทิมแสนน่ากลัวในคราบตัวตลก แสงสว่างเพียงเล็กน้อยที่สาดส่องถึงเราทั้งคู่ในยามนี้ ทำให้เห็นร่างบางหลับใหลไร้สติในอ้อมกอดเขา เกรซ... เธอไม่รู้ตัวเลยว่าเวลานี้ได้ตกอยู่ในเงื้อมมือของปีศาจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “Salut[2], Madame[3]~ (สวัสดีครับ คุณผู้หญิง) ça va?[4] (สบายดีไหมครับ?)” เขาที่รู้ตัวว่าถูกพบตัวเอ่ยปากทักทายอย่างติดตลกด้วยภาษาอื่น ดูไม่เกรงกลัวหรือตกใจสักนิด แถมยังดูสนุกกับสิ่งที่เกิดขึ้นแม้จะถูกเจอตัวพร้อมด้วยหลักฐานในมือ “Ahh~ Je vais bien, merci.[5] (อ่า ผมสบายดี ขอบคุณครับ)” และคนร้ายมันก็เป็นเขาอย่างที่ใครต่อใครว่าไว้จริงๆ “ปล่อยเกรซไป” ฉันไม่ได้สนใจคำทักทายบ้าๆ นั่นและออกปากสั่ง เมื่อวินาทีนั้นเหลือเพียงแค่เรา JOKER หลุดหัวเราะในลำคอคล้ายกับชอบใจ เขาหลุบสายตาปีศาจไปยังใบหน้าเรียวสวยในอ้อมกอดหากคิดว่าเขาจะฟังบอกเลยไม่ “Salut~” ปีศาจตัวสูงทิ้งถ้อยคำสุดท้ายไว้ ก่อนตัดสินใจหันหลังแบกร่างไร้สติของเกรซไปยังเส้นทางมืดลึกเข้าไปในป่าจนฉันต้องก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าวพร้อมทั้งเอ่ยประโยคเดิมๆ “ฉันบอกให้นายปล่อยเกรซไงล่ะ!” คำสั่งของฉันหยุดฝีเท้าของ JOKER ลงและนั่นตามมาด้วยคำถามติดเสียงหัวเราะ “หึๆ แลกกับอะไรล่ะ คุณผู้หญิง?” ฉันรู้ว่าเกอร์ในโหมด JOKER เป็นพวกชอบต่อรอง ดังนั้นทางที่จะช่วยให้เขาปล่อยเกรซไปคงมีทางเดียว รอยยิ้มมุมปากผุดขึ้นพร้อมหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ซึ่งนั่นพอที่ทำให้คนตรงหน้าหันกลับมามองอีกครั้ง ทันทีที่เราสบตากัน คำถามและคำตอบที่เขาอยากฟังจึงถูกถามออกไป “แลกกับตัวฉัน ตกลงไหม Monsieur[6] JOKER?” “หึๆๆๆ” เขาหัวเราะคล้ายกับชอบใจ “ว่าไงล่ะ จะแลกไม่แลก?” อีกครั้งที่ฉันถามคำถามเดิม แม้ว่ามันจะดูบ้าบิ่นไปหน่อยก็ตาม “อะไรทำให้คิดว่าฉันจะยอมแลกล่ะคุณผู้หญิง?” เขาถามพร้อมทั้งกลับหันหลังเผชิญหน้ากับฉันตรงๆ นัยน์ตาซึ่งถูกแต้มสีดำโดยรอบจนเหมือนลึกโบ๋มองสำรวจตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ขณะก้าวเข้ามาหาที่ละก้าวๆ “คิดว่าฉันอยากได้ตัวเธอแทนผู้หญิงคนนี้เหรอ?” ก่อนหยุดลงพร้อมด้วยคำถามต่อมา “ฉันไม่รู้” “โฮล่า! ไม่รู้แต่ก็กล้าเสนอ เธอนี่มันน่าขำเสียจริง” จะต้องพูดยังไงตอบเขากลับไปดีล่ะ ในเมื่อตอนนี้ ฉันเดาความคิดเขาในคราบตัวตลกไม่ออกเลย ถึงจะพอคาดเดานิสัยและท่าทางที่อีกฝ่ายแสดงออกได้ แต่ว่า ถ้าต้องให้เดาความคิดเขาทุกอย่างมันมืดแปดด้านไปหมด “ปล่อยเกรซลง” แต่ถ้าเป็นความคิดฉัน ฉันคงมีแค่เหตุผลเดียว นั่นคือหยุดเขาจากการเป็นอาชญากร ตามหน้าที่ของนักบำบัดจิตขั้นต้น “ตอบก่อนสิ ว่าทำไมถึงมั่นใจนัก ว่าฉันจะยอมแลกผู้หญิงคนนี้กับเธอ” นอกจาก JOKER จะบ้า ติดตลก โผงผางแล้ว เขายังยอกย้อน ชอบต่อรอง และไล่ต้อนความคิดมนุษย์ให้จนมุมด้วยเสียงหัวเราะ “เพราะ...” “ติ๊กต๊อก! ติ๊กต๊อก!” อ้อ! แล้วก็ชอบกดดันคนอื่นด้วยสิ่งที่เขาคิดว่ามันสนุก “เพราะถ้านายไม่สนใจ นายคงไม่หันหลังกลับมาหาฉัน” อาจฟังดูมั่นใจเกินไปหน่อย แต่ว่านั่นคือสิ่งเดียวที่ฉันพอจะคิดเพื่อตอบเขา “หึๆ ฮ่ะๆ... คุณผู้หญิง” เขาเรียกฉันปนเสียงหัวเราะ “คิดว่าฉันอยากได้ผู้หญิงที่มีเสียงหัวเราะไม่น่าพิศสมัยอย่างเธอจริงๆ น่ะเหรอ ฮ่าๆ” หากเสียงหัวเราะของเขามีไว้ใช้กดดันคนอื่นมากกว่าคำพูดล่ะก็ ยอมรับเลยว่าเขาประประสบความสำเร็จ แต่แล้วจู่ๆ เสียงหัวเราะซึ่งฟังคล้ายกับกดดันให้ฉันหมดทางไปกลับเงียบลง ขณะเดียวกันคนตัวสูงในชุดตัวตลก JOKER ก็ค่อยๆ วางร่างของเกรซลงกับพงหญ้า ส่วนปากก็พึมพำ “ถ้าคิดว่าฉันอยากได้เธอล่ะก็... ใช่! ฉันอยากได้” ประโยคหนักแน่นถูกเอ่ยขึ้นขณะเจ้าของถ้อยคำยื่นมือมาหา วินาทีนั้นความคิดฉันเหมือนถูกหว่านล้อมให้ยอมส่งมือไปหาแต่โดยดี พร้อมด้วยคำเชิญชวนเรียบง่ายแต่หอมหวานซึ่งถูกเอ่ยออกมาแทบจะวินาทีเดียวกัน “มาสิ...มาเป็นผู้หญิงของฉัน”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม