“Smile~
Smile~,You Know,
Smile~”
กึงง!!
“เหวอออ” บุรุษในสภาพ JOKER ร้องเสียงหลงเมื่อฉันสิ้นสุดความอดทน บันดาลโทสะใช้เท้าถีบไปยังแท่นที่นั่งของตัวชิงช้า จนบุคคลซึ่งยืนตั้งท่าอยู่ด้านบนเสียหลัก
เขาทำท่าเหมือนจะหงายลงจากชิงช้า ทว่า กลับไม่ร่วง ต้องยอมรับว่าเขาไวและมือเหนียวมากจริงๆ ที่คว้าสายคล้องชิงช้าได้ทัน มิหนำซ้ำยังหันมาต่อว่า
“รุนแรงใส่กันแบบนี้มันชักจะมากไปแล้วนะคุณผู้หญิง!”
“นายน่ะเลิกบ้าสักที! มองทุกอย่างเป็นเรื่องตลกไปหมดเลยหรือไง!” ฉันตะคอกเสียงใส่ปีศาจน่ารำคาญอย่างนึกโกรธ
ลองคิดดูสิทั้งที่ฉันจริงจัง แต่เขากลับมองทุกอย่างเป็นเรื่องตลกไปหมด ปั่นหัว และล่อหลอกล้อเล่นกับความรู้สึกและความคิดของจนผิดเพี้ยนไปหมด
พอคิดว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นสนุกกับความรู้สึกแบบนี้ มือสองข้างก็เผลอกำสายคล้องชิงช้าของตัวเองแน่นเพื่อลดความโกรธจัดทีมีอยู่ในตัว แต่แล้วตอนนั้นเองผู้ชายที่มักมาพร้อมเสียงหัวเราะกลับพูดประโยคหนึ่งขึ้นมาด้วยโทนเสียงที่ต่างออกไป
“วิถีของการมีชีวิตในโลกคือการไม่มีกฎ ถ้าอยากรู้ว่าโลกเป็นยังไงมันก็ต้องหัดแหกกฎกันบ้าง…” น้ำเสียงจริงจังปราศจากติดตลกและล้อเล่นในคำพูดทำฉันเหลียวมองเขาโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ทำไมไม่ลองเปลี่ยนจากใช้สมองมาเป็นเสียงหัวเราะดูบ้างล่ะ”
“...” เขากำลังสอนฉันเหรอ...
รอยยิ้มแบบตัวตลกก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งหลังพูดจบ หากแต่คราวนี้ความรู้สึกที่ได้เห็นมันกลับต่างออกไป เขาดูเหมือนคนที่เข้าใจทุกอย่างบนโลกดูห่างไกลจากคำว่า ‘วิกลจริต’ ชนิดที่ฉันเอื้อมไม่ถึง พร้อมด้วยคำพูดประโยคสั้นๆ
“ถ้าไม่บ้าซะบ้าง ระวังจะบ้าขึ้นมาจริงๆ”
“ฉันไม่ใช่นาย อย่าเหมารวม” ถึงจะรู้สึกแบบนั้นแต่นิสัยที่มักเชื่อถือความคิดของตัวเองมากกว่าสิ่งอื่นใด ได้สั่งการให้ฉันขัดคำพูดน่าฟังประโยคดังกล่าว “ฉันแค่ตั้งตัวรับไม่ทันที่นายทำแบบนั้น..."
คำพูดแก้ต่าง ทำเขาชำเลืองสายตามองฉันจากบนชิงช้า พอรู้ว่าถูกมองเสียงมันก็ดังตะกุกตะกักช่วงท้ายเสียได้
“...ฉันแค่ไม่เคยจูบ” การที่พูดเช่นนั้นมันเลยทำให้ JOKER ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นราวกับตลกอะไรนักหนา
“ฮ่าๆๆๆ จะจริงจังอะไรขนาดนั้น นั่นมันก็แค่จูบ...” เขากระโดดลงจากชิงช้ากลับมายืนบนพื้นในท่าหันหลัง สองมือล้วงกระเป๋ากางเกง โดยยังคงเสียงหัวเราะไม่หยุดแม้จะพูดอยู่ด้วยก็ตาม “ลองมองให้มันเป็นเรื่องตลก แล้วสนุกไปกับมันดูสิ”
ตลกแล้วสนุก...เหรอ?
ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด ไม่เลยสักนิด จนกระทั่งคนตัวสูงเหลียวหลังมองกลับมาแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเชิญชวนของปีศาจ ราวกับอ่านความคิดออก
“อยากลองสนุกกับจูบสักครั้งไหม?”
“...” สนุกกับจูบงั้นเหรอ
“ฉันสอน...”
เกอร์ในสภาพ JOKER หันหลังกลับมาหาฉันอย่างช้าๆ นัยน์ตาดุดันสะท้อนกับแสงไฟจนเกิดประกายเหมือนนัยน์ตาปีศาจ
ไม่อยากยอมรับก็ต้องยอมรับว่าเกอร์ที่ฉันรู้จัก กับเกอร์ในสภาพ JOKER ต่างกันราวกับพลิกหน้ามือเป็นหลัง เขาดูไม่ใช่คนขี้อายอย่างที่เข้าใจ กลับกัน เขาดูบ้า โผงผาง และมองทุกอย่างเป็นเรื่องตลก
การที่เป็นแบบนั้นมันทำให้ฉันยิ่งทำตัวไม่ถูก ความคิดเหมือนกำลังรวน ข้อมูลที่มีก็ดูจะผิดพลาดไปหมด
“มะ ไม่ต้อง!”
“ทำไมล่ะ เราเคยจูบกันมาแล้วไม่ใช่หรือไง?”
คำพูดแบบนี้น่ะ มันเท่ากับเขากำลังยอมรับหรือเปล่าว่าตัวเองเป็นใคร
“เธอคิดว่าฉันเป็นอะไรหรือใครล่ะ อยากให้เป็นก็จะเป็นให้...”
“...” ไม่ใช่! เขากำลังปั่นความคิดฉันให้ไขว้เขวต่างหาก
“มันก็แค่จูบ...” เขาย้ำคำพูดเดิม ราวกับย้ำเตือนว่าการจูบคือเรื่องปกติทั่วไปที่ฉันไม่ควรเก็บมาใส่ใจ “WHY SO SERIOUS?”
บ่อยครั้ง ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังต้อนเขาให้จนมุม และบ่อยครั้งก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกเขาต้อนคืนเช่นกัน
“ฉันกลับล่ะ...” ฉันตัดบทสนทนาระหว่างเราลง รีบลุกจากชิงช้าเตรียมที่จะเดินกลับเข้าตึกตามความตั้งใจ ทว่า...
กึก!
ปีศาจในสภาพ JOKER กลับไม่ยอมปล่อยฉันหลุดจากการเป็นเหยื่อง่ายๆ ถึงได้ใช้ตัวเข้ามายืนขวางทาง
“ถอยไป” สิ่งที่รับกลับมาจากการพูดขับไล่คือรอยยิ้มกว้างบนดวงหน้าและเสียงหัวเราะหึๆ ในลำคอไม่หยุด เขาไม่พูดอะไร นั่นจึงทำให้ฉันตัดสินใจก้าวเท้าเดินเร็วสวนเขาออกไป
ตอนแรกเขาก็ทำเหมือนไม่ได้สนใจ ทว่า ในช่วงที่คิดว่าตัวเองกำลังจะหนีห่างจากเขาได้สำเร็จ ตอนนั้นเองที่เขาเปลี่ยนใจกะทันหัน พุ่งมือกระชากแขนฉัน ดึงเข้าหาตัวอย่างแรง
ฟึ่บ!
ภาพทุกอย่างรอบตัวเริ่มเคลื่อนไหวช้าลงราวกับภาพสโล ฉันเบิกตากว้างมากกว่าทุกครั้ง มองเห็นทุกอย่างรอบตัวได้ชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะเส้นผมของตัวเองในแต่ละเส้นที่กำลังปลิวคว้างท่ามกลางอากาศตามแรงดึง ใบไม้ที่ไหวตามแรงลม หรือแม้แต่ฝ่ามือเปล่าของ JOKER ที่เอื้อมเข้าประคองแผ่นหลังและดึงเข้าหาตัว
ทุกอย่างเชื่องช้าไปหมดแม้แต่ตอนที่ร่างกายถูกกดให้แนบชิดไปกับลำตัวของคนตรงหน้า ทุกจังหวะการเคลื่อนไหวที่เป็นไป ราวกับผู้กระทำเป็นคนกำหนด ความรู้สึกที่เกิดมันยิ่งกว่ามายากล เหมือนเขามีเวทมนตร์ถึงจะถูก...
ไม่ใช่แค่ทุกอย่างรอบตัวช้าลงเท่านั้น แต่ความรู้สึกยามถูกกระทำกลับชัดเจนขึ้นจนน่ากลัว รู้สึกได้ถึงความแฉะของลิ้นอุ่นที่อีกฝ่ายจงใจเลียละไปตามกลีบปากล่างอย่างบรรจงก่อนกดริมฝีปากลงมาอย่างหนักหน่วง ทุกอย่างชัดเจนกว่าตอนที่เกอร์ทำแบบเดียวกันนี้ในห้องพักเสียอีก
ท่ามกลางความรู้สึกที่ช้าลงจนเหมือนกับลืมหายใจ ฉันรับรู้ถึงความหวานของลูกกวาดที่ลิ้นหนาพยายามดุนดันสอดผ่านรอยแยกระหว่างริมฝีปากเข้ามาภายในอย่าช้าๆ ทว่า วินาทีที่เขาผละออกไป การเคลื่อนไหวทุกอย่างรอบกายก็เริ่มคืนสู่สภาวะปกติ และตามมาด้วยเสียงกระซิบ
“หวานไหม...” เสียงกระซิบนั่นทำหูฉันอื้อไปหมด ความรู้สึกเหมือนถูกกระชากไปจากร่าง รับรู้แค่ความชายิบไปทั่วทั้งกายและความหวานที่เขาพูดถึงภายในปากตอนนี้เท่านั้น ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังได้เสียงหัวเราะของปีศาจพร้อมคำพูดแปลกๆ
“รู้สึกไปกับความหวานสิ แล้วจะรู้ว่าทุกอย่างมันเป็นเรื่องทั่วไป...” ทั้งที่เป็นเพียงการกระซิบ แต่กลับได้ยินชัดยิ่งกว่าครั้งไหนๆ โดยเฉพาะบริเวณข้างแก้มซึ่งถูกเสียสีกับแก้มของอีกฝ่าย
ร่างกายราวกับถูกมนต์สะกดให้จับใจความวลีต่างๆที่หลุดลอดจากปากเขาเท่านั้น โดยเฉพาะกับประโยคแปลกๆ ท้ายสุด
“สนุกกับสิ่งที่เป็น...ให้เหมือนเจ้าหมูโสโครกพวกนั้นสิ..."
ฉันตามความคิดเขาไม่ทัน สมองเหมือนแฮ้งค์ไปชั่วขณะ ว่างเปล่าและขาวโพลนจนไม่เป็นอันคิดอะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ชายที่สามารถทำความคิดหนักแน่นของฉันให้พังครืนลงได้ จากไปตั้งแต่เมื่อไหร่ สิ่งที่ติดค้างอยู่ในหัวและโสตประสาทการรับฟังคือ เสียงหัวเราะอย่างผู้กำชัยของปีศาจ...
คืนนั้นฉันรอจนกระทั่งความหวานภายในปากละลายจนหมดก่อนกลับขึ้นห้อง ทิ้งตัวลงนอนด้วยสภาพจิตใจและความคิดที่โหวงต่างไปจากเคย ฉันแพ้เขา พอคิดและรู้สึกแบบนั้นมันก็อดเหลือบมองใครอีกคนซึ่งกำลังนอนหลับอยู่บนเตียงของตัวเองภายใต้ผ้าห่มผืนหนาไม่ได้
และฉันมองเขาอยู่เช่นนั้นตลอดคืนจนผล็อยหลับไป...
วันต่อมา
มันก็เหมือนทุกวันยามตื่นนอนที่เกอร์ก็ไม่ได้อยู่ที่เตียงของตัวเองอีกแล้ว แต่การตื่นนอนในช่วงสายวันนี้ ทำฉันรู้สึกโอเคกว่าที่ผ่านมา สมองที่โล่งทำให้รู้สึกสดชื่นกว่าที่เคยเป็น
ฉันออกจากหอพักราวๆ 9 โมงกว่าแต่ไม่ได้ไปเรียนหรอกนะ เพราะวันนี้คลาสแรกเริ่มต้นตอนช่วงบ่าย การพาตัวเองออกจากหอพักเวลานี้ก็เพื่อตรงไปยังมินิมาร์ทหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อหากาแฟร้อนๆดื่มสักถ้วยเพื่อเรียกสติให้กลับมารู้สึกสดชื่นกว่าที่เคย หลังจากสูญเสียตัวตนเพราะน้ำมือของมนุษย์จิตไม่ปกติ ทว่า
วันนี้รอบตัวกลับให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป ฉันกลายเป็นเป้าสายตาของคนทั้งมหาวิทยาลัย ตลอดเวลาที่เดินลัดเลาะไปที่ประตูใหญ่หน้ามหาวิทยาลัย บ้างก็มองแล้วซุบซิบ บ้างก็มองแล้วหัวเราะ จนอดไม่ได้ที่จะก้มสำรวจสภาพตอนตื่นนอนของตัวเอง ทั้งที่ทุกอย่างก็ดูปกติไม่ได้น่าเกลียดจนเกินไปแต่น่าแปลกที่ทุกคนต่างจ้องมองมาอย่างสนอกสนใจ..
ถ้าบอกว่าพวกเขามองเพราะฉันคือดาวจิตวิทยาในสภาพหน้าสดหลังตื่นนอนมันก็ดูตลกไปหน่อย เพราะสภาพฉันตอนนี้มันน่ามองที่ไหน หรือว่าพวกเขาจะรู้ ว่าฉันไม่ได้อาบน้ำตั้งแต่เมื่อคืนกันนะ...
ฉันเดินผ่านสายตาของผู้คนนับร้อยชีวิตจนมาถึงมินิมาร์ท และตอนนั้นเองที่ฉันได้คำตอบที่สงสัยมาตลอดเส้นทาง
ภาพเงาสะท้อนของตัวเองจากกระจกใสหน้ามินิมาร์ทปรากฏให้เห็นหญิงสาวในชุดท่อนบนสวมเสื้อนักศึกษา ท่อนล่างเป็นบ็อกเซอร์สตรีขาสั้น ผมเผ้ายุ่งนิดๆ แต่ไม่ถึงกับฟู ทั้งหมดที่กล่าวมาดูไม่มีตรงไหนน่ามองจนเป็นจุดสนใจสักนิด
ซึ่งมันควรเป็นเช่นนั้นหากที่แก้มข้างหนึ่งไม่ได้มีรอยลองพื้นสีขาวเหมือนชอล์คติดอยู่เป็นดวงๆ โดยเฉพาะกับบริเวณริมฝีปาก ที่เลอะเทอะลิปสติกสีแดงจนเกินกรอบปากดูไม่ต่างไปจากตัวตลกในละครสัตว์สักนิด
อย่าบอกนะว่าที่คนพวกนั้นหัวเราะเพราะรอยด่างข้างแก้มกับลิปสติกเลอะเทอะพวกนี้...
“งี่เง่าชะมัด...” ฉันใช้หลังมือปาดคราบเมคอัพข้างแก้มออกและยังคงสายตาจ้องมองภาพสะท้อนของตัวเอง โดยเฉพาะกับบริเวณริมฝีปากที่เปื้อนรอยลิปสติก “...ดูไม่ได้เลย...คิกๆ”
ฉันกำลังรู้สึกตลกกับสภาพของตัวเองเวลานี้ที่สะเพร่าจนไม่ทันเช็กสภาพหน้าตาตัวเองก่อนออกจากห้องพัก
“คิกๆ...”
ตลกอย่างไม่มีเหตุผล ยิ่งได้มองฉันก็ยิ่งหยุดหัวเราะไม่ได้
“ฮ่ะๆ...ฮ่าๆ...” และมันเพิ่มมากขึ้น มากขึ้น...
จนสุดท้ายฉันก็ไม่สามารถหยุดเสียงหัวเราะเยาะเงาสะท้อนตัวเองในกระจกได้ลง
“HAHAHAHAHAHA”