ตอนที่ 9 ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

1879 คำ
หลังจากในวันนั้นนี่ก็ผ่านมาได้ร่วมเดือน หูเย่เหยาและหูจูนหลิง มาอาศัยอยู่กับชายชราและบุรุษผู้นั้น ภายในบ้านยังมีภรรยาของชายชราอาศัยอยู่ พวกเขาอยู่กัน 3 คนพ่อแม่ลูก และภรรยาของบุตรชายของพวกเขาก็ได้เสียชีวิตไปเมื่อหลายเดือนก่อนด้วยโรคไข้ป่า ครอบครัวของพวกเขา หาเลี้ยงชีพโดยการออกล่าสัตว์ เพื่อมาประทังชีวิต หากวันไหนโชคดี ก็สามารถมีอาหารให้กินอิ่มท้อง แต่หากวันใดที่โชคร้าย ก็จะมีเพียงน้ำที่คอยประทังชีวิต เมื่อมีผู้มาอยู่อาศัยเพิ่ม จึงทำให้ความเป็นอยู่ของพวกเขาลำบากขึ้น แต่ดีที่หูจูนหลิง พยายามทำตัวให้เป็นประโยชน์ หลังจากที่บาดแผลของนางหายดีได้เพียงหนึ่งสัปดาห์นางก็ได้ประดิษฐ์เครื่องมือในการล่าสัตว์ขึ้น โดยใช้สิ่งของที่มีอยู่ภายในบ้านให้เกิดประโยชน์ นั่นจึงทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาถือว่าดีขึ้นมาก เพราะสามารถล่าสัตว์ตัวใหญ่ๆ ได้บ่อยครั้ง อย่างที่พวกเขาไม่เคยทำได้มาก่อน "หลิงเอ๋อร์นั่นเจ้ากำลังทำสิ่งใดอยู่" ร่างบอบบางของหูจูนหลิง กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการประดิษฐ์อาวุธ เพื่อที่จะเอาไว้ใช้ในการล่าสัตว์ เมื่อนางได้ยินเสียงของมารดา ก็ได้เงยหน้าที่เปรอะเปื้อนของตนเอง จ้องมองไปที่มารดาพร้อมกับยิ้มไปให้อย่างอ่อนโยน "ท่านแม่เย็นนี้ข้าอยากทานเนื้อกวาง ท่านช่วยทำให้ข้าทานจะได้หรือไม่" "มั่นใจว่าวันนี้เจ้าจะสามารถล่ากวางได้" "ได้แน่นอนเจ้าค่ะ ข้าเคยทำให้ท่านผิดหวังหรือ" ใบหน้าที่มั่นอกมั่นใจของบุตรสาว ในขณะที่กล่าวออกมาทำให้หูเย่หยา รู้สึกหมั่นเขี้ยวเสียไม่ได้ ตั้งแต่ที่นางและบุตรสาวมาอาศัยอยู่ที่นี่ หูจูนหลิงก็มักจะขอเข้าป่าล่าสัตว์ไปกับเจิ้งอี้เหยียนและเจิ้งลี่เฉิงสองพ่อลูกเป็นประจํา และก็เหมือนกับว่าหูจูนหลิง กลายเป็นตัวนำโชคสำหรับพวกเขาไปเสียแล้ว เพราะทุกครั้งที่นางไปกับพวกเขาด้วย สองพ่อลูกมักจะโชคดี สามารถล่าสัตว์ตัวใหญ่มาได้หลายตัว พวกเขาจึงมักจะนำเด็กหญิงตัวเล็กไปด้วยทุกครั้งเวลาที่ได้เข้าป่า จะว่าเป็นเพราะมีนางเป็นตัวนำโชค ก็คงจะกล่าวได้ไม่เต็มปากนัก เพราะหน้าไม้ที่ดูแปลกตาของเด็กหญิงที่ประดิษฐ์ให้กับพวกเขาส่งผลให้ไม่ว่าจะเป็นสัตว์น้อยใหญ่ ก็ไม่สามารถหนีรอดไปจากอาวุธชนิดนี้ได้ ด้วยความเร็วและความแม่นยำของอาวุธชนิดนี้ บวกกับความสามารถของพวกเขาทั้งสองพ่อลูก จึงทำให้พวกเขาสามารถล่าสัตว์ได้ทีละหลายตัว "เหยาเอ๋อร์เจ้าอย่าได้เป็นห่วงเลย หลิงเอ๋อร์เก่งกาจออกปานนั้น และยังมีข้ากับท่านพ่อไปกับนางด้วย ข้านั้นให้เอ็นดูนางเหมือนกับลูกแท้ๆ ของตนเอง แล้วเช่นนี้จะยอมให้นางได้รับอันตรายได้เช่นไร" ในขณะที่เจิ้งอี้เหยียนกล่าวออกไป เขาก็ใช้สายตาหวานซึ้งจ้องมองไปที่นางอย่างไม่ปิดบังความรู้สึกของตนเอง เมื่อรับรู้ถึงสายตาที่ดูชอบพอในตัวนางจ้องมองมาเช่นนั้น หูเย่เหยาก็ได้แต่ยิ้มอย่างฝืดเคืองไปให้กับเขาความรู้สึกกระอักกระอ่วนถูกตีตื้นขึ้นมาอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เจิ้ง อี้เหยียน มักจะมองนางด้วยสายตาเช่นนี้เสมอ ทำให้นางรู้สึกลำบากใจไม่น้อย จะให้นางตอบรับความรู้สึกของเขาได้เช่นไร ในเมื่อนางยังมีความแค้นที่ต้องชำระและอีกอย่าง นางก็หาได้มีความรู้สึกอันใดกับผู้มีพระคุณที่ให้ที่ซุกหัวนอนของนางผู้นี้ "ข้าต้องขอบคุณพี่อี้เหยียนมาก ที่ดูแลข้าและบุตรสาวเป็นอย่างดี บุญคุณในครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะตอบแทนพวกท่านเช่นไรดีถึงจะสาสม" "เจ้าอย่าได้เกรงใจอันใดเลย เป็นพวกเจ้าต่างหากที่เป็นตัวนำโชค ทำให้ครอบครัวของพวกข้ามีชีวิตที่ดีขึ้น นี่คงจะเป็นเพราะพวกเรามีวาสนาต่อกันเป็นแน่" เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ใบหน้าของเจิ้งอี้เหยียน ก็แดงก่ำ ลามไปจนถึงใบหู เขาแสดงความเขินอายออกมา เพื่อให้นางได้รับรู้ความรู้สึกของเขาอย่างไม่ปิดบัง "นี่ก็สายมากแล้ว เดี๋ยวข้าจะต้องไปแล้ว ข้าขอฝากท่านแม่ให้เจ้าช่วยดูแลอยู่ทางนี้ด้วย" "พี่อี้เหยียนอย่าได้กังวล เกี่ยวกับเรื่องนั้นเลย ถึงท่านไม่บอก ข้าก็ต้องดูแลท่านแม่ของท่านเป็นอย่างดีอยู่แล้ว" หูเย่เหยาส่งยิ้มไปให้กับเขาเล็กน้อย ก่อนที่จะยื่นห่ออาหารที่นางเตรียมไว้ให้ใส่ในมือของเจิ้งอี้เหยียน ซึ่งการกระทำของพวกเขาทั้งสองคนในตอนนี้เหมือนกับสามีและภรรยากันก็ไม่ปาน เป็นผลให้ชายหญิงชราที่เฝ้ามองพวกเขาอยู่ อดยกยิ้มขึ้นมาอย่างพอใจไม่ได้ตั้งแต่อดีตลูกสะใภ้ของพวกเขาได้ตายจากไป บุตรชายก็ไม่มีทีท่าว่าจะให้ความสนใจกับสตรีใดอีกเลย แต่แค่เพียงเวลาไม่นาน หลังจากที่สองแม่ลูกได้มาอาศัยอยู่กับพวกเขา ท่าทีของบุตรชายก็ดูเปลี่ยนไป เขาดูมีความสนใจในตัวของมารดาหญิงสาวอยู่ไม่น้อย เมื่อรับรู้ถึงสายตาของสองสามีภรรยา ที่จ้องมองมาที่ตนเองอย่างมีความคาดหวังเช่นนั้น หูเย่เหยาก็อดที่จะรู้สึกเสียใจภายหลังไม่ได้นางไม่น่าที่จะบอกกับพวกเขาในตอนแรกเลยว่า สามีของนางนั้นได้ตายไปแล้ว หญิงหม้ายสามีตายอย่างนางจึงต้องเดินทางมาหาญาติที่เมืองนี้ แต่แล้วก็ถูกโจรดักปล้น จึงทำให้มีสภาพอย่างที่พวกเขาได้เห็น หูเย่เหยาได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนนี้ ต่างกันกับใบหน้าของบุตรสาวของนางที่ยกยิ้มขึ้นอย่างมีความสุข เหมือนกับว่านางกำลังพอใจที่ได้เห็นถึงความกระอักกระอ่วนใจของมารดา หูเย่เหยาจึงอดที่จะหยิกไปที่สีข้างของบุตรสาวแรงๆ เพราะความหมั่นเขี้ยวไม่ได้ "โอ๊ย!!! " "เจ้านี่นะ" เมื่อหูจูนหลิงเห็นรอยยิ้มที่มีความสุขของมารดาปรากฏขึ้น ก็ทำให้นางรู้สึกมีความสุขตามไปด้วย เพราะตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมา นางจำได้ว่าในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม มารดามักจะแอบไปร้องไห้อยู่เป็นประจำเพียงผู้เดียว หลังจากที่เจอเรื่องราวเลวร้ายเหล่านั้น ถึงแม้นว่ามารดาจะแสดงออกมาว่ามีความเข้มแข็งมากเพียงใด แต่นางก็สามารถรับรู้ได้ว่า แท้ที่จริงแล้วมารดาก็มีความทุกข์ใจที่ไม่สามารถบอกหรือแสดงออกมาให้นางเห็นได้อยู่ดี ขณะที่ทั้ง 3 คนกำลังซุ่มอยู่ในป่า เพื่อล่าสัตว์อยู่นั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงการต่อสู้อย่างดุเดือดอยู่ในบริเวณชายป่าด้านหน้า ด้วยความอยากรู้ทั้งสามคนจึงได้ไปดูถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ภาพกลุ่มชายฉกรรจ์ประมาณ 5 คน กำลังถูกเสือขาวตัวหนึ่งทำร้าย บุรุษ 2 คนนอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้นส่วนอีก 3 คนนั้นกำลังต่อสู้ อยู่กับเสือขาวอย่างไม่ลดละแต่ดูเหมือนความพยายามของพวกเขาจะไม่เป็นผล เพราะดูเหมือนว่าเสือขาวตัวนี้ จะยังไม่สิ้นฤทธิ์ลงโดยง่าย แค่เพียงมันเคลื่อนไหวร่างกายไม่กี่ที ชายฉกรรจ์อีก 3 คนก็ดูเหมือนว่าจะตั้งรับไว้ไม่ไหวเสียแล้ว ในขณะที่อีก 2 คนกำลังได้รับบาดเจ็บ เพียงมันเหวี่ยงร่างของชายฉกรรจ์ทั้ง 2 ไปคนละทิศละทาง สายตาดุร้ายของมันจ้องมองไปที่ บุรุษอีกผู้หนึ่งที่ยังยืนอยู่ได้ แต่ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสพอสมควร "ท่านแม่ทัพ!!! " เสียงของบุรุษที่นอนบาดเจ็บอยู่ที่พื้นร้องตะโกนออกมา ด้วยความเป็นห่วงบุรุษเพียงผู้เดียวที่สามารถยืนอยู่ได้ แววตาของบุรุษผู้นั้นจ้องมองตากันกับเสือขาวอย่างไม่มีผู้ใดยอมใคร เขาจับกระบี่ในมือเอาไว้แน่น แต่ก็ไร้ซึ่งท่าทีหวาดกลัวใดๆ ถึงแม้นว่าในตอนนี้เขาจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบก็ตาม ในขณะที่เสือขาวตัวนั้นกำลังจะกระโจนเข้าใส่ร่างของบุรุษ ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า มันก็ต้องหยุดชะงักการกระทำของมันลง เพราะในขณะนั้นเองมันได้เห็นสตรีตัวน้อย อุ้มลูกเสือขาว 2 ตัวเอาไว้แนบอก มันคำรามออกมาเสียงดัง แต่เสียงคำรามของมันก็ไม่ได้ทำให้สตรีตัวน้อยเบื้องหน้าหวาดกลัว นางใช้มือของตนเองลูบไปที่หัวของเจ้าเสือขาวทั้ง 2 ตัวอย่างอ่อนโยน โดยไร้ซึ่งท่าทีคุกคาม ตาทั้งสองข้าง ก็จ้องมองไปที่แม่ของมัน ซึ่งการกระทำเช่นนี้ของนางทำให้เจ้าเสือขาวไม่แม้แต่จะขยับตัว เพราะมันคงจะกังวลถึงความปลอดภัยของลูกทั้งสอง ในขณะที่ ไม่มีผู้ใดทันได้สังเกตเห็น สายตาของหูจูหลิง ก็ได้เหลือบไปเห็นเจ้าเสือน้อยทั้งสองตัวอยู่ที่โพรงไม้อย่างหวาดกลัว นางจึงเข้าใจในทันที เสือขาวตัวนี้เพียงต้องการที่จะปกป้อง ลูกน้อยของมัน ถึงได้มีท่าทีดุร้ายเช่นนี้ หูจูนหลิงค่อยๆ ก้าวขาไปเบื้องหน้าพร้อมกับวางลูกเสือตัวน้อยทั้งสองตัวลงที่พื้นการกระทำที่ไร้ซึ่งท่าทีคุกคามเช่นนี้ของนาง ทำให้เจ้าเสือขาว เพียงเข้ามาคาบลูกน้อยทั้ง 2 ตัว และเดินจากไปโดยไม่ได้หันมาสนใจ ผู้คนที่อยู่เบื้องหลังอีกเลย เฮ้อ!!! เจิ้งอี้เหลียน ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเห็นว่าเจ้าเสือตัวนั้นยอมจากไปแต่โดยดี "หลิงเอ๋อร์ นี่เจ้าบ้าไปแล้วหรือไร รู้หรือไม่ว่าข้าแทบจะหายใจหายคอไม่ทั่วท้อง หากมารดาของเจ้ารู้เข้าข้าต้องถูกตำหนิเป็นแน่" เพียงแค่เขากล่าวประโยคนั้นจบก็นั่งลงไปที่พื้นอย่างอ่อนแรง "ขอโทษด้วยที่ทำให้ท่านอาเป็นห่วง" หูจูนหลิงยังคงไว้ซึ่งท่าทีสงบ หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์อันตราย ถึงขั้นเสี่ยงต่อชีวิตมาได้ เมื่อสักครู่นี้ ความสงบนิ่งของนางทำให้บุรุษอีกผู้หนึ่งที่นางได้ช่วยชีวิตเอาไว้หมาดๆ ถึงกับเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ เพราะเขาไม่เคยเห็นผู้ใดจะสามารถคงความสงบเยือกเย็นได้ถึงเพียงนี้ แม้แต่ตัวเขาเองที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่ทัพ ยังอดที่จะรู้สึกหวาดกลัวแทนนางไม่ได้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม