ตอนที่ 8 ความโลภ

1849 คำ
ใบหน้าที่ฉายแววความเสียใจของหูเย่เหยา บ่งบอกว่านางกำลังเสียใจ ในอดีตซ่งเจียเชิน คือสตรีเพียงคนเดียวที่ยอมคบค้าสมาคมกับคุณหนูบุตรีหัวแก้วหัวแหวนของประมุขพรรคอันดับหนึ่งเช่นนาง ไม่ว่าบิดาจะสรรหาสิ่งใดมาให้ นางก็ล้วนแล้วแต่แบ่งปันให้กับน้องสาวบุญธรรมของนางผู้นี้เสียทุกอย่าง ซ่งเจียเชินเป็นเด็กกำพร้า บิดานำสตรีผู้นั้นมาเลี้ยงดูตั้งแต่สตรีผู้นั้นยังตัวเล็กๆ และนางก็ให้รักใคร่ เอ็นดูประดุจน้องสาวแท้ๆ แต่สตรีผู้นั้น กลับตอบ แทนนางด้วยการกระทำเช่นนี้ นางหวังเหลือเกินว่าทุกสิ่งที่นางกำลังคิดอยู่นั้น เป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะนางมองไม่เห็นต้นเหตุของการกระทำเช่นนี้จริงๆ "ซ่งเจียเชินเจ้าอย่าได้ทำให้ข้ารู้สึกผิดหวังในตัวเจ้าจะได้หรือไม่ เพราะในตอนนี้เจ้าเปรียบเสมือนญาติเพียงคนเดียวที่ข้าเหลืออยู่" สายตาของนางทอดมองออกไปไกลอย่างไร้จุดหมาย… และแล้วสิ่งที่นางหวังก็ไม่ได้เป็นอย่างที่นางต้องการ เมื่อได้สืบจนทราบว่าสตรีที่นางรักประดุจน้องสาวผู้นั้น คือผู้ที่วางแผนการ นี้ทั้งหมด ไม่เพียงเท่านั้น ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่นางมาอาศัยอยู่ที่นี่ ซ่งเจียเชินยังได้ดึงคนในพรรคไปเป็นพรรคพวกของนางมากมาย โดยการหลอกล่อเรื่องผลประโยชน์ เมื่อความโลภเข้ามาครอบงำ จึงทำให้จิตใจของคนเราไม่รู้ถึงผิดชอบชั่วดี เมื่อแผนการนี้สำเร็จพวกคนเหล่านั้นจะได้รับผลประโยชน์อันมหาศาล นั่นจึงทำให้แผนการทุกอย่างของนางประสบความสำเร็จและตัวนางเองก็ตกลงไปในแผนการนั้นอย่างไม่รู้ตัว เรื่องนี้คงต้องอาศัยบุตรชายของนาง เพื่อช่วยแก้แค้นให้กับนางเสียแล้ว เพราะสามีเพียงผู้เดียวที่คอยอยู่เคียงข้างและสามารถปรึกษาหารือได้ในตอนนี้ เขาคงหมดสิ้นแล้วซึ่งความเชื่อใจทั้งหมดที่มีให้กับนาง แต่นางจะสามารถกล่าวโทษผู้ใดได้อีก ในเมื่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เป็นเพราะนางเป็นผู้ชักศึกเข้าบ้านด้วยตัวนางเอง หูเย่เหยาลูบศีรษะน้อยๆ ของบุตรสาวที่นอนหลับไหลอยู่บนเตียงอย่างอ่อนโยน หลิงเอ๋อร์ "แม่จะนำครอบครัวของเรากลับคืนมาให้จงได้" แต่ดูเหมือนว่าสวรรค์จะไม่ได้เข้าข้างคนดีเสมอไป ในขณะที่นางกำลังวางแผนการอยู่ในจวนของตนเองอยู่นั้น ก็ได้มีผู้บุกรุกเข้ามา ภายในจวนที่นางอยู่ และลงมือวางยาสลบคนของนาง ดีที่ตัวนางเอง สังเกตเห็นถึง ความผิดปกตินี้ได้เสียก่อน จึงได้พาบุตรสาว หนีออกมาอย่างทุลักทุเล และเรื่องราวทั้งหมดก็เป็นไป เหมือนอย่างเช่นก่อนหน้านี้... เมื่อหูเย่เหยา คิดมาถึงตรงนี้ นางก็พลันดวงตาวาวโรจน์ขึ้นมา พร้อมกับคิดถึงหนทางในการแก้แค้นของตนเอง "ท่านแม่ กำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ" เสียงหวานใสปลุกให้หูเย่เหยาตื่นขึ้นมาจากในภวังค์ หูจูนหลิงใช้หลังมือของตนเอง สัมผัสไปที่มือของมารดาอย่างปลอบประโลม "ท่านแม่ในตอนนี้ท่านควรที่จะหยุดคิดเรื่องแก้แค้นนั้นเสียก่อน ข้าเข้าใจถึงความรู้สึกของท่านในตอนนี้ดี เพียงแต่ว่าเราจะต้องมีสติให้มากกว่าความแค้น เราถึงจะสามารถทำเรื่องนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ ข้าเชื่อว่าแก้แค้นอีก 10 ปีก็ยังไม่สาย แต่หากเราบุ่มบ่าม เกรงว่าจะนำชีวิตไปทิ้งเสียมากกว่า" เมื่อหูเย่เหยาฟังประโยคนั้นจบลง นางก็จ้องมองไปที่ใบหน้าเล็กของบุตรสาวอย่างใช้ความคิด พร้อมกับยกยิ้มส่งไปให้กับบุตรสาวอย่างอ่อนโยน "ดูเหมือนว่าในตอนนี้เจ้าจะเติบใหญ่ มีความคิดเป็นของตนเองเสียแล้ว เป็นแม่เสียอีกที่ทำการใดไม่รอบคอบ จนทำให้เราสองแม่ลูกต้องตกมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้" หูจูนหลิงทำเพียงยกยิ้มบางๆ ส่งไปให้กับมารดา ก่อนที่จะกล่าวต่อ โดยนางกลับมามีท่าทีและสีหน้าจริงจังอย่างที่เด็กสาวไม่เคยแสดงออกมาก่อน "เรื่องการหายตัวไปของท่านแม่และข้าในตอนนี้ ท่านพ่อคงจะทราบแล้ว เพียงแต่ว่าสตรีผู้นั้นจะวางแผนการออกมาเช่นใดเพื่อไม่ให้ท่านพ่อระแคะระคายในเรื่องนี้ และข้าคิดว่าซ่งเจียเชิน คงได้วางแผนการเอาไว้หมดแล้ว หากท่านพ่อคิดอย่างละเอียดรอบคอบก็จะพบกับช่องโหว่มากมาย" "สามีภรรยาอยู่กินกันมานานหลายปี เขาจะไม่รู้ถึงลักษณะนิสัยนี้ของแม่จริงๆ หรือ เขาจะหลงเชื่อในคำกล่าวของนางแพศยานั่น ทั้งหมดได้เช่นไร" ในตอนนี้หูเย่เหยา เชื่อมั่นว่าสามีของนางจะเห็นถึงความผิดปกตินี้ โดยที่ลืมคิดไปว่า แม้แต่ตัวนางเองที่มีความใกล้ชิดและผูกพันกับซ่งเจียเชินมาเกือบครึ่งชีวิต ยังไม่สามารถดูสตรีผู้นั้นออก แล้วบุรุษอย่างเช่นสามีของนาง ที่ในตอนนี้เต็มไปด้วยความเข้าใจผิดในตัวนาง จะสามารถเข้าใจ และมองเห็นถึงความจริงข้อนี้ได้เช่นไร "ในตอนนี้เกรงว่าสตรีผู้นั้น คงจะวางคนของตนเองเอาไว้ เพื่อไม่ให้เราสามารถเข้าถึงตัวท่านพ่อได้โดยง่ายเป็นแน่ ดังนั้นในตอนนี้เราควรที่จะรักษาอาการบาดเจ็บนี้ของเราให้หายเป็นปกติเสียก่อน และอีกไม่นานคนพวกนั้นคงจะตามหาเราจนพบเป็นแน่ พวกเราคงอาศัยอยู่ที่กระท่อมร้างแห่งนี้ได้อีกไม่นาน ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทาง หาที่หลบซ่อนตัวแห่งใหม่" ความคิดที่ดูมีหลักการและเหตุผลของบุตรสาวของนางในตอนนี้ ดูมีความสมเหตุสมผล อย่างไม่น่าเชื่อ ถึงแม้นว่าหูเย่เหยาจะรู้สึกแปลกใจและอดสงสัยไม่ได้ แต่นางก็รู้สึกภูมิใจที่บุตรสาวเติบโตจนมีความคิดอ่านเป็นผู้นำในขณะที่มารดาทำได้เพียงเป็นภาระให้กับนางในตอนนี้ แต่ก็ยังมีบางสิ่งที่หูเย่เหยายังคงสงสัยในตัวของบุตรสาวอยู่ สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย จ้องมองไปที่บุตรสาวอย่างใคร่รู้ "หลิงเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงได้รู้จักสมุนไพรเหล่านั้น" "ทุกอย่างคือการเรียนรู้ลับตาท่านแม่ ในขณะที่ข้าอาศัยอยู่ในพรรค เพราะข้าไม่ต้องการให้ท่านแม่ ทราบถึงเรื่องราวเหล่านี้ ถึงได้ปิดบังท่านเรื่อยมา เพราะข้าคิดว่าในสักวัน อาจจะได้ใช้ประโยชน์จากมันจึงได้เรียนรู้เรื่องราวเหล่านี้ไว้" หูเย่เหยารู้สึกว่าตนเองเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย เรื่องราวเกี่ยวกับบุตรสาวเพียงคนเดียวของนางเหล่านี้ นางยังไม่สามารถรับรู้มาก่อน ก็สมควรแล้วที่นางจะถูกหักหลังจากคนใกล้ตัวเช่นนี้ สองแม่ลูกเดินทางออกมาตั้งแต่เช้าตรู่ ถึงแม้นว่าอาการของหูเย่เหยา จะสาหัสอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังดีที่ได้หูจูนหลิง คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง และในขณะการเดินทางนั้น ด้วยภาพลักษณ์ที่สะดุดตาของทั้งสอง หูจูนหลิงจึงได้นำยางไม้มาทาให้กับทั้งนางและมารดา เพื่อปกปิดความโดดเด่นนั้นของพวกนาง เมื่อเดินทางมาได้สักพักพวกนางก็ได้ยินเสียงการต่อสู้ขึ้น ในบริเวณใกล้เคียงนี้ ภาพที่ทั้งสองเห็นก็คือ บุรุษและชายชราสองคนกำลังถูกหมีตัวใหญ่ทำร้าย จนพวกเขาได้รับบาดเจ็บ หูจูนหลิง จึงเกิดความคิดบางอย่างขึ้น ทันใดนั้นร่างบางก็ได้ยกดาบขึ้นมากุมไว้แน่น และวิ่งไปยังเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว "หลิงเอ๋อร์นั่นเจ้าคิดที่จะทำสิ่งใด" ไม่ทันที่หูเย่หยาจะได้กล่าวถามสิ่งใด บุตรสาวของนางก็ได้ไปยืนอยู่ยังเบื้องหน้าของหมีตัวนั้นเสียแล้ว หูจูนหลิงใช้เทคนิคที่ได้ร่ำเรียนมา ต่อสู้กับหมีตัวโตอย่างองอาจไม่ต่างกันกับบุรุษอกสามศอก เพียงไม่นาน นางก็ใช้ดาบในมือสังหารหมีตัวโตนั้น และช่วยชายชราและบุรุษผู้นั้นเอาไว้ได้ "หลิงเอ๋อร์นี่เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง" หูเย่เหยารีบวิ่งเข้ามาสำรวจร่างกายของบุตรสาวอย่างวิตกกังวล นางไม่คิดว่าบุตรสาวตัวเล็กของนางในวันวาน จะมีความกล้าหาญถึงเพียงนี้ได้ ภาพของบุตรสาวตัวเล็กที่กระโดดไปมาหลบหนีกรงเล็บของหมีตัวโตได้อย่างหวุดหวิด ทำให้นางรู้สึกหายใจหายคอไม่ทั่วท้อง แต่เมื่อเห็นว่าทุกอย่างจบลง และบุตรสาวปลอดภัยดี ก็ทำให้นางรู้สึกโล่งอกและอดที่จะกล่าวตำหนิบุตรสาวออกไปไม่ได้ "หลิงเอ๋อร์เจ้าห้ามทำเรื่องที่สุ่มเสี่ยงเป็นอันตรายเช่นนี้อีกเข้าใจหรือไม่ หากเจ้าเป็นอันใดไป แม่จะมีชีวิตอยู่ได้เช่นไร" "ท่านแม่ก็เห็นว่าในตอนนี้ข้าก็ปลอดภัยดี และยังยืนอยู่เบื้องหน้าของท่านอย่างปลอดภัยไม่ใช่หรือ หากข้าไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เกรงว่าท่านอาและท่านตาทั้งสองคงได้จบชีวิตลงเป็นแน่" เมื่อผู้ที่ถูกกล่าวถึงในบทสนทนาได้ยินเช่นนั้น ก็รีบกล่าวขอบคุณเด็กหญิงเป็นการใหญ่ ที่ได้ช่วยเหลือชีวิตของตนเองเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิด "ขอบคุณแม่นางน้อยเป็นอย่างมากที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือในครั้งนี้ หากว่าไม่ได้เจ้าช่วย เกรงว่าข้าและบุตรชายคงต้องจบชีวิตลงอย่างแน่นอน" แต่ยังไม่ทันที่หูเย่เหยา จะได้กล่าวสิ่งใด หูจูนหลิงก็เป็นลมล้มพับไปเสียก่อน นางรีบตรงดิ่งเข้าไปคว้าร่างบางของบุตรสาวเอาไว้อย่างตกตะลึง "หลิงเอ๋อร์ หลิงเอ๋อร์ นี่เจ้าเป็นอันใดไปลืมตาขึ้นมามองหน้าแม่ก่อน อย่าทำให้แม่เป็นห่วงเช่นนี้" "ข้าว่ารีบนำนางไปที่บ้านของข้าก่อน เดินทางไม่นานก็จะพบกับหมู่บ้านของพวกข้าแล้ว" หูเย่เหยาจึงได้แต่พยักหน้ากับคำกล่าวนั้น เพราะนางเองก็ไม่รู้จะทำเช่นไรกับสถานการณ์นี้ดี บุตรชายของชายชราผู้นั้นจึงได้แบกร่างของหูจูนหลิงขึ้นมาแนบอก และรีบเดินไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว และในจังหวะนั้น ที่ไม่มีผู้ใดทันได้สังเกตเห็นรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนมุมปากของผู้ที่สลบไสลอยู่ เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่นางได้วางเอาไว้ เรื่องของการหาที่พักเพื่อหลบซ่อนตัวต่อจากนี้ คงไม่เป็นปัญหาอันใดกับนางและมารดาอีกต่อไป
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม