หยางเพ่ยตงใช้สายตา วิเคราะห์สตรีเบื้องหน้า ดูไปแล้วนางคงจะยังไม่พ้นวัยปักปิ่นเสียด้วยซ้ำ ด้วยรูปร่างที่ดูตัวเล็ก และผิวดำคล้ำหยาบกร้านของนาง ก็สามารถบอกได้ว่านางเป็นเพียงสาวชาวป่า เพียงเท่านั้น แล้วเหตุใดแววตาที่เหมือนกับผ่านโลกมามากของนาง ที่แสดงออกมาถึงกับทำให้เขารู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย
"จะจ้องมองข้าอีกนานหรือไม่" เสียงกังวานใสของนางปลุกให้หยางเพ่ยตงตื่นขึ้นมาจากในภวังค์ความคิดของตนเอง
"ขอบใจเจ้ามากที่ยื่นมือมาช่วยเหลือ"
ไร้ซึ่งคำกล่าวตอบกลับจากสตรีเบื้องหน้า นางเพียง ปรายตาไปมองเขาเพียงชั่วครู่ ก่อนที่จะพาร่างอันบอบบางของนางไปดูอาการของคนเจ็บที่นอนอยู่ที่พื้น
หูจูนหลิงสำรวจบาดแผลของบุรุษที่นอนอยู่ที่พื้นพร้อมกับใช้มีดที่นำติดตัวมาด้วยตัดเสื้อผ้าของเขาออกอย่างรวดเร็ว
"นั่นเจ้าคิดจะทำสิ่งใด" เสียงของหยางเพ่ยตง กล่าวขึ้นมาจากด้านหลังของนางเขายืนจ้องมองการกระทำของนาง อยู่ทุกอิริยาบถและก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ เพราะไม่คาดคิดว่า นางจะตัดอาภรณ์ของบุรุษโดยที่ไร้ซึ่งท่าทีเขินอายเช่นนี้
"หากอยากทำตัวให้มีประโยชน์ ก็ไปดูอาการบาดเจ็บของคนที่เหลือเสีย" เสียงกังวานใสของหูจูนหลิง กล่าวออกมาเหมือนกับไม่พอใจนัก ที่เขาถามนางออกมาเช่นนี้ แต่มือน้อยๆ ของนางก็ยังสาละวนอยู่กับการห้ามเลือดให้กับบุรุษตรงหน้า อย่างชำนาญ
เมื่อหยางเพ่ยตง ได้ยินนางกล่าวกับตนเองออกมาเช่นนั้น ก็ได้แต่นิ่งเงียบไปไหนเลยแม่ทัพเช่นเขาจะเคยถูกผู้อื่นใช้วาจาเช่นนี้สนทนาด้วยได้ ในขณะที่เขากำลังจะกล่าวบางประโยคออกมาสายตาก็พลันเห็น อุปกรณ์ที่นางนำออกมาจากแขนเสื้อและยังวิธีการห้ามเลือดและทำแผลของนางช่างดูแปลกตา แต่กลับได้ผลอย่างน่าประหลาด เพราะเพียงไม่นานบาดแผลขนาดใหญ่ที่อยู่บนร่างกายของคนสนิทของเขานั้น ก็ได้กลับมาเป็นปกติเลือดที่ไหลชโลมกายก่อนหน้านี้ก็ได้หยุดลงอย่างรวดเร็ว
"หากไม่จำเป็นก็อย่าได้ขยับกายในช่วงนี้มากนัก อีก 7 วันก็ค่อยตัดมันออก" เมื่อหูจูนหลิงลุกขึ้นก็ได้พบเข้ากับสายตาที่จ้องมองมาที่นางอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา นางทำเพียงเดินผ่านเขาไปคล้ายกับเขาเป็นเพียงอากาศธาตุสำหรับนาง
หูจูนหลิงไม่เสียเวลากล่าวสิ่งใดกับเขา นางทำการลงมือรักษาคนบาดเจ็บเหล่านั้นทีละคน จนมั่นใจแล้วว่าผู้คนเหล่านั้นปลอดภัย นางจึงได้ หันมาเผชิญหน้ากับหยางเพ่ยตง ที่ในตอนนี้เขากำลังจ้องมองการกระทำของนางอยู่
"ต้องการให้ข้าช่วยดูบาดแผลให้หรือไม่" หูจูนหลิงเหลือบไปเห็นเลือดที่ไหลลงมาอาบมือนั้นของเขาอย่างไม่ใส่ใจนัก
"เจ้าต้องการสิ่งใด เหตุใดถึงต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกข้าด้วย" หยางเพ่ยตง คล้ายกับว่ายังไม่เชื่อใจ ในสิ่งที่นางทำ ถึงแม้นว่าในตอนนี้นางจะกำลังช่วยเหลือเขาอยู่ แต่คนเราทำสิ่งใดย่อมหวังผลตอบแทน และเขาก็ต้องการจะรู้ว่าสาวชาวบ้านผู้นี้ ทำทั้งหมดไปเพื่อสิ่งใดกัน เมื่อเห็นว่าสตรีเบื้องหน้ายังคงไม่ได้กล่าวสิ่งใด เขาจึงได้พูดถึงเจตจำนงของตนเองออกไป
"หากเป็นเงินทอง แน่นอนว่าข้าสามารถมอบมันให้กับเจ้าได้ แต่หากเป็นอย่างอื่นคงต้องดูถึงเจตนาของเจ้าเสียแล้ว"
"หึ!!! แล้วแต่ท่านจะคิดก็แล้วกัน จะเงินทองของมีค่าก็ดี สิ่งใดข้าก็ล้วนแล้วแต่ต้องการทั้งนั้น เพียงแต่ว่าในตอนนี้จะมืดค่ำแล้ว หากเรายังรั้งอยู่ที่นี่ต่อไป เกรงว่าคงได้ตกไปเป็นอาหารของสัตว์น้อยใหญ่ที่อยู่ในป่าแห่งนี้เป็นแน่ แต่หากท่านไม่สะดวกใจที่จะติดตามพวกข้ากลับไปยังหมู่บ้าน พวกท่านก็อาศัยอยู่ในป่านี้ต่อเถิดข้าขอลา" กล่าวจบหูจูนหลิง ก็หันหลัง และเดินจากไป โดยที่ไม่ได้หันมาให้ความสนใจกับ เขาอีกเลย ซึ่งการกระทำนี้ของนางทำให้หยางเพ่ยตงและคนของเขาได้แต่มองหน้ากันไปมา ด้วยไม่เคยเจอสตรีผู้ใดที่มีท่าทีเย็นชาได้เช่นนี้
"ท่านแม่ทัพจะทำเช่นไรต่อไปดีขอรับ พวกเราควรจะตามนางไปดีหรือไม่"
"อยู่ในป่านี้ก็อันตรายไม่แพ้กัน เพราะพวกเจ้ากำลังได้รับบาดเจ็บ เกรงว่าการตามนางไปคงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้ หากสตรีผู้นั้นมีเหตุผลอื่นแอบแฝงอยู่ เราค่อยจัดการนางทีหลังได้"
เมื่อตกลงกันได้เช่นนั้นกลุ่มของพวกเขาทั้ง 5 คนก็ได้แต่เดินตามหลังนางไปอย่างเงียบๆ
ในขณะที่พวกเขา เดินตามนางไปอย่างเงียบๆ นั้น ฝีเท้าของหญิงสาวก็ได้หยุดชะงักลง และจ้องมองไปยังภาพเบื้องหน้า ทันใดนั้นนางก็ได้ยกมือของตนเองขึ้นอย่างช้าๆ เพื่อเป็นสัญญาณบอกให้พวกเขาชะงักฝีเท้าลง
หูจูนหลิงยกอาวุธในมือขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมกับเล็งไปที่เป้าหมายเบื้องหน้า ทันใดนั้นอาวุธในมือของนางก็ได้ พุ่งตรงไปยังกวางป่าที่กำลังเล็มหญ้าอยู่ข้างพุ่มไม้อย่างแม่นยำ อาวุธที่นางนำออกมาใช้ ช่างสร้างความตกตะลึงให้กับหยางเพ่ยตง และเหล่าคนสนิทได้ เพราะนางเพียงแค่เล็งหน้าไม้ไปยังเบื้องหน้า กวางตัวนั้นก็ได้ล้มลงที่พื้น และสิ้นลมหายใจ
ลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งโดยปกติแล้ว หน้าไม้ธรรมดาคงจะไม่สามารถยิงออกไปได้ในระยะไกลถึงเพียงนี้ มิหนำซ้ำความแม่นยำและความเสถียรของมัน ยังดีกว่าหน้าไม้ธรรมดาอยู่หลายส่วน
สตรีตัวน้อยผู้นี้ช่างทำให้ผู้คนต่างตกตะลึง ได้หลายครั้งในรอบวันเสียจริงๆ
"ท่านอาข้าได้ล่ากวางสมใจแล้ว เย็นนี้ข้าจะให้ท่านแม่ ย่างเนื้อกวางนี้ให้หายอยากเลย" ใบหน้าที่เฉยชาของนางก็ได้ยกยิ้มขึ้นมาจนเห็นลักยิ้มทั้งสองข้าง
เมื่อหยางเพ่ยตง เห็นนางแสดงออกมาเช่นนั้น ก็ได้แต่ยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจโดยไม่รู้ตัว เมื่อเหล่าคนสนิทของเขาเห็นว่าเจ้านาย ที่ไม่เคยยิ้มให้กับผู้ใดยิ้มออกมาเช่นนั้นต่างก็ให้รู้สึกงุนงงและตกใจเป็นอย่างมาก พวกเขาได้แต่ลอบมองหน้ากันไปมา โดยที่ไม่ได้กล่าวคำใด
ภายในบ้านของพวกเขาในตอนนี้ จึงได้ดูเล็กไปถนัดตา เมื่อมีคนมาเพิ่มอีกจำนวน 6 คน เจิ้งลี่เฉิงและเจิ้งอี้เจี้ยน ได้แต่มองหน้ากันไปมาอย่างกระอักกระอ่วนใจเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าจะกล่าวสิ่งใดดี เมื่อถูกสายตากดดันของบุรุษที่พวกเขาเพิ่งช่วยเหลือเอาไว้จ้องมองมา
แต่ก็เหมือนกับมีเสียงระฆังได้ช่วยเหลือความลำบากใจนี้ของเจ้าของบ้านเอาไว้ เมื่อกลิ่นอาหารได้โชยมาเข้าจมูกของพวกเขาความสนใจทั้งหมดในตอนนี้จึงไปตกที่อาหารยังเบื้องหน้า ที่มีควันลอยคลุ้งอยู่ ซึ่งบ่งบอกว่าอาหารเหล่านี้เพิ่งถูกปรุงเสร็จมาใหม่ๆ ความเหนื่อยล้าที่ต้องเผชิญมาทั้งวัน บวกกับอาการบาดเจ็บที่มีอยู่ จึงทำให้ความอยากอาหารของผู้ที่เป็นแขก มีมากกว่าปกติ พวกเขาได้แต่ลอบกลืนน้ำลายลงคอ แต่ก็ยังต้องไว้ซึ่งท่าทีองอาจเอาไว้
"นี่คืออาหารที่พวกข้าสามารถหาได้ดีที่สุดเพียงเท่านี้" ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้ หูจูนหลิงยังคงไร้ซึ่งท่าทีหวาดกลัวในตัวพวกเขา ท่าทีที่ดูเฉยชาไม่ใส่ใจสิ่งใดของนาง ทำให้หยางเพ่ยตง ต้องลอบสังเกตถึงพฤติกรรมของนางอยู่หลายครั้ง
"ขอบคุณ" ถ้อยคำสั้นๆ ของหยางเพ่ยตงกล่าวออกมากับนาง พร้อมกับลงมือกินอาหารบนโต๊ะ และเขาก็ไม่ลืมที่จะอนุญาตให้คนของตนเอง ลงมือทานอาหารด้วยกัน
ถึงแม้นว่าเขาจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่ทัพ แต่การถูกฝึกมาให้กินง่ายอยู่ง่าย ในการใช้ชีวิตยังค่ายทหาร ทำให้ เขาเป็นคนง่ายๆ และไม่มีพิธีรีตรองอันใด ซึ่งเรื่องนี้เหล่าคนสนิทของเขาต่างก็รู้ดี เมื่อเห็นถึงสัญญาณอนุญาตของผู้เป็นนาย พวกเขาจึงไม่รอช้า รีบลงมือจัดการกับสำรับอาหารเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว
หูจูนหลิงจึงได้ละความสนใจของนาง ไปสนใจกับสำรับอาหารบนโต๊ะ ที่มีมารดาและเจ้าบ้านทั้ง 3 นั่งล้อมวงอยู่
บรรยากาศอาหารบนโต๊ะ ผ่านไปอย่างเงียบๆ เมื่อพวกเขาจัดการทานอาหารจนเรียบร้อยแล้ว หยางเพ่ยตง จึงได้เปิดบทสนทนาของตนเองขึ้น ทำลายความเงียบที่ก่อตัวอยู่ในตอนนี้
"อาวุธที่เจ้าใช้ในการล่ากวางตัวนั้น เป็นผู้ใดที่ประดิษฐ์มันขึ้นมา"
เมื่อหูจูนหลิงถูกถามออกมาเช่นนั้น นางก็ได้แต่เลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ แต่ก็ยังคงไม่ได้ตอบคำถามใดของเขาออกไป
"ไม่ได้ยินที่ท่านแม่ทัพถามเจ้าหรืออย่างไร เหตุใดถึงไม่ตอบ" ถางเล่อถงหนึ่งในคนสนิทของหยางเพ่ยตง กล่าวออกไปอย่างไม่พอใจนัก เมื่อเห็นท่าทีของสตรีเบื้องหน้า
"หึ!!! เจ้าถาม แล้วข้าต้องตอบเช่นนั้นหรือ" หูจูนหลิงส่งสายตาท้าทาย และยังคำพูดยียวนนั้นกลับไปให้ถางเล่อถงอย่างไม่กลัวเกรง
"เจ้า! ... ช่างบังอาจเสียจริง เจ้ารู้หรือไม่ ว่าคนที่เจ้ากำลังสนทนาอยู่นี้คือผู้ใด"
"แม้แต่เจ้ายังไม่รู้แล้วข้าจะรู้ได้เช่นไร ว่าเขาคือผู้ใดกัน"
"เจ้า!!! " ถางเล่อถง โกรธจนตัวสั่น ที่โดนนางตอบกลับมาเช่นนี้ เขาชี้นิ้วไปที่นางด้วยตัวสั่นเทิ้ม และกำลังจะกล่าวบางประโยคออกไป เจิ้งอี้เจี้ยนเห็นท่าว่าเรื่องราวจะบานปลาย เขาจึงรีบเข้ามาไกล่เกลี่ยสถานการณ์ ในตอนนี้
"นายท่านอย่าได้ใส่ใจกับท่าทีของนางเลย หากท่านอยากจะรู้ว่าอาวุธนั้นเป็นผู้ใดประดิษฐ์ขึ้น ข้าจะเป็นผู้บอกกับท่านเอง" เจิ้งอี้เจี้ยนลอบปาดเหงื่อของตนเองออกอย่างหวาดกลัว
เหตุใดนางหนูผู้นี้ถึงได้ไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆ สายตาของบุรุษพวกนั้นในขณะที่จ้องมองมาที่นาง มันช่างดูน่ากลัว และพร้อมที่จะกินเลือดกินเนื้อ นี่นางดูไม่ออกหรืออย่างไร ว่าพวกเขากำลังโกรธมากเพียงใด เหตุใดนางจะต้องพูดจายียวนเช่นนั้น กับบุรุษเหล่านี้ด้วย เขาได้แต่ส่งสายตาเป็นเชิงห้ามปรามไปให้กับนางก่อนที่เขาจะกล่าวต่อ
"อาวุธพวกนั้นเป็นหลิงเอ๋อร์ที่ประดิษฐ์ขึ้นมา"
เมื่อได้ฟังคำตอบจากเจิ้ง อี้เจี้ยน สายตาของหยางเพ่ยตง ก็ได้จ้องมองไปที่ใบหน้าของสตรีตัวเล็กอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา เขาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจก่อนที่จะกล่าวถามนางออกไปอย่างใคร่รู้ "เจ้ามีความสามารถในการประดิษฐ์อาวุธด้วยหรือ"
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่หยางเพ่ยตงกล่าวกับนาง โดยไร้ซึ่งท่าทีคุกคามเช่นนั้น หูจูนหลิงก็ไม่คิดที่จะยียวนกวนประสาทเขากลับไป
"ก็พอมีความรู้อยู่บ้าง"
"นอกจากหน้าไม้นั้นแล้วเจ้ายังสามารถประดิษฐ์อาวุธอันใดได้อีก ในเมื่อเจ้าต้องการที่จะให้ข้าเห็นถึงความสามารถนั้นของเจ้า ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องปิดบังสิ่งใด ใช่หรือไม่? " หยางเพ่ยตงจ้องมองเข้าไปในดวงตาของหญิงสาวอย่างค้นหาความจริง
เหตุใดเขาจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ หูจูนหลิงทำลงไปก่อนหน้านี้นั้น เพื่อต้องการให้เขาเห็นถึงอาวุธที่อยู่ในมือของนางและหากเขาคาดเดาไม่ผิด ในการยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเขาในครั้งนี้ นางก็มีวัตถุประสงค์ของตนเองอยู่ในใจอย่างชัดเจนอยู่แล้ว มันจึงไม่มีความจำเป็นใด ที่เขาจะต้องอ้อมค้อมกับนางเพราะตลอดระยะเวลาที่เดินทางมาถึงยังที่แห่งนี้ เขาได้สังเกตถึงพฤติกรรมของนางอย่างถี่ถ้วนหมดแล้ว
คงต้องยอมรับว่าสตรีผู้นี้ทำให้เขารู้สึกสนใจในตัวนางอยู่ไม่น้อย เพราะจะมีเพียงไม่กี่คนที่เมื่อเจอหน้าเขาแล้วจะไร้ซึ่งท่าทีหวาดกลัวเช่นที่นางได้แสดงออกมา