สำนักศึกษาฮุ่ยอิงแบ่งการเรียนเป็นหลายวิชาเพื่อพัฒนาความสามารถให้หลากหลาย ในช่วงชั้นปีที่หนึ่งและสองพวกเขาได้รับความรู้มากมายทั้งกวี ดนตรี การต่อสู้ มารยาทของขุนนาง เย็บปักถักร้อย วาดภาพ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นล้วนเป็นเพียงพื้นฐานมิได้ลงลึกจนรู้แจ้ง สำหรับชั้นปีที่สามจะพิเศษขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ว่าใครก็สามารถเลือกเรียนในวิชาที่ตนชอบได้โดยต้องลงชื่อเข้าเรียนสามวิชาขึ้นไป หรือหากไม่ต้องการเข้าเรียนก็ต้องทำคะแนนสอบได้ดีจึงจะได้รับสิทธิพิเศษ
ในปีนี้โจวถิงถิงสนใจวิชาบทกวี เย็บปักถักร้อย และวาดภาพ ซึ่งทั้งสามวิชาสามารถนำไปใช้หางานทำได้ ชีวิตของนางจมจ่อมอยู่กับการวางแผนตั้งตัวเพื่อไม่ให้ตนกับน้องต้องอดอยากยามที่ถูกเฉดหัวออกจากตระกูล ขอเพียงมีความรู้ย่อมไม่อับจนหนทางทำมาหากิน แต่ก่อนเพราะไม่ต้องการโดดเด่นเกินหน้าเกินตาบรรดาคุณหนูคุณชายตระกูลใหญ่นางจึงเลือกทำคะแนนให้ได้ปานกลางทั้งที่มีความสามารถมากกว่านั้น
“แบบนี้คงต้องจริงจังกับการสอบเสียหน่อยแล้ว” ริมฝีปากสีซีดบ่นพึมพำขณะลืมตามองเพดานห้องไปเรื่อยเปื่อย
“อึก….” คิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่ออยู่ๆ ร่างกายก็ร้อนขึ้นจนเหงื่อเริ่มซึมออกมาตามกรอบหน้า สองขาขาวยกขึ้นแล้วบีบเข้าหากันจากอาการคันยุยยิบตรงกึ่งกลางกายสาว
“นี่มันอะไรกัน อืออ” ถิงถิงขบเม้มจนกลีบปากล่างแดงช้ำ ความผิดปกติที่เกิดขึ้นทำให้นางแทบคุมสติไม่อยู่ แต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้เพราะแม้แต่เสียงร้องเรียกให้คนช่วยยังไม่สามารถเปล่งออกมาแม้แต่คำเดียว สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็พร่ามัวราวกับจมดิ่งสู่ห้วงแห่งฝัน
………………………….
……………
เวลาผ่านไปจนถึงกลางดึก เงาร่างสายหนึ่งปรากฎตัวตรงหน้าต่างห้องโรงหมอของสำนักศึกษาเฉกเช่นที่มาเมื่อคราก่อน
“อือออ….” เสียงครวญแผ่วราวกับสัตว์ตัวน้อยที่บาดเจ็บทำให้ร่างสูงชะงักไปเล็กน้อย แต่ทันทีที่ยืนยันว่าเป็นเสียงของสตรีที่ตนเตรียมมาเฝ้าไข้เขาก็รีบพุ่งเข้าไปตรงเตียงคนป่วยอย่างรวดเร็ว
“นะ นี่มัน!” เสียงทุ้มตื่นตระหนกกล่าวออกมาก่อนจะรีบเงียบเสียง ภาพตรงหน้าทำเอาใจแกร่งไหววูบยิ่งกว่าลมร้อนในช่วงกลางฤดูแล้ง ใบหน้าดุจเทพประทานพรเห่อแดงราวกับจับไข้ สมองอันชาญฉลาดรีบไตร่ตรองทุกอย่างแม้จะติดขัดเพราะถูกดึงความสนใจก็ตาม มือหนาตวัดผ้าห่มคลุมร่างบอบบางบนที่นอนเอาไว้จนมิด
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกตั้งสติ เมื่อครู่หญิงสาวกำลังทำสิ่งที่เรียกว่าการเล้าโลมตนเองมิผิดแน่ ผิวขาวดั่งหยกล้ำค่าแดงระเรื่อชวนมอง สองแก้มนุ่มมีริ้วเลือดฝาดพาดผ่านพร้อมกับหยาดเหงื่อท่วมกาย ร่างอรชรอยู่ในชุดนอนสีขาวบางส่วนเสื้อคลุมถูกสลัดทิ้งไว้บนพื้นอย่างไม่ใยดี ถึงจะมืดแต่เขายังมองเห็นว่าดวงตาของนางช่างเลื่อนลอยไร้การตอบสนอง เพราะถึงแม้เขาจะยืนอยู่ตรงหน้าในสภาพที่อีกฝ่ายเรียกได้ว่าอีกนิดก็เปลือยกาย แต่กลับไม่กรีดร้องโวยวายหรือตกใจสักนิด เช่นนี้มัน ‘ผิดปกติ’ จนเกินไป
“อึก….ร้อน…อ่าาา” คนงามสบัดผ้าห่มทิ้งราวกับรังเกียจ ดวงหน้าหวานเต็มไปด้วยไฟปรารถนาที่มิคิดปิดซ่อน
“ถิงถิง” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเป็นห่วง สรรพนามที่มักจะถูกเรียกอยู่ในใจในที่สุดวันนี้ก็ได้เอ่ยมันออกมา นี่คงเป็นครั้งแรกที่ได้ทักทายนาง
“ร้อน….อืออ….ช่วย…” มือบางปัดป่ายเนื้อตัวไปมาหวังต้องการให้ความร้อนรุ่มบรรเทาลงซึ่งมันไม่ได้ผลแม้แต่น้อย ต้นขาขาวบิดไปมาเสียดสีช่วงกึ่งกลาง อาการทั้งหมดทำให้คนตัวโตเริ่มเดาได้ไม่ยาก
“อดทนอีกนิดนะ” กายกำยำถอยหลังกลับไปตรงหน้าต่าง เขาเป่าขลุ่ยสัญญาณที่มีเพียงนกส่งสารจากตระกูลเท่านั้นที่ได้ยิน รอเพียงไม่นานเจ้านกน้อยก็มาหาผู้เป็นนาย
ป้ายหยกขนาดเล็กสีแดงเลือดถูกห้อยไว้ที่ขาของนกตัวนั้น เขาปล่อยมันบินกลับไปยังทิศทางที่บินมา รอเพียงไม่นานเงาร่างอีกสายก็ปรากฏ
“คุณชาย” เสียงแหบของชายชราวัยเข้าสู่เลขหกเอ่ยทักทาย แม้ภายนอกจะดูเหมือนคนแก่แต่ความจริงแล้วอีกฝ่ายเป็นสตรีที่ใช้วิชาปลอมตัวได้เก่งกาจ
“ตรวจนาง” บุรุษที่ถูกเรียกว่าคุณชายเมินคำทักทายแล้วตรงไปยังเตียงนอนของคนป่วยอย่างเร่งรีบ
“อืออ” เสียงหวานแห้งผากทำให้ชายหนุ่มเข้าไปประคองร่างนุ่มพลางยกถ้วยน้ำชาจรดลงริมฝีปาก เมื่อคนงามดื่มจนพอแล้วการตรวจจึงเริ่มต้นขึ้น
“คุณชาย เกรงว่านี่จะเป็นข่าวร้าย” ผ่านไปครู่ใหญ่หญิงสาวในคราบชายชราก็เอ่ยปากด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“นางถูกวางยาสินะ” มันเดาได้ไม่ยากเลยจากสิ่งที่เห็น
“เจ้าค่ะ เพียงแต่มันมิใช่ยาปลุกกำหนัดทั่วไป พิษชนิดนี้มีชื่อว่า ‘เก้าราตรีลืมเลือน’ ผู้ที่ได้รับพิษจะถูกกระตุ้นให้กระหายในการร่วมรักกับบุรุษวันละครั้ง เป็นเวลาเก้าวัน อีกทั้งความทรงจำในช่วงนั้นจะถูกลืมสิ้นประหนึ่งตกอยู่ในความฝัน ที่สำคัญยังไม่มียาถอนพิษเจ้าค่ะ” กล่าวจบหมอหญิงก็ต้องหลุบตาลงต่ำไม่กล้าสบสายตาแข็งกร้าวของเจ้านาย รังสีฆ่าฟันรุนแรงทำเอาขนอ่อนของนางลุกเกรียวด้วยความหวาดกลัว
“ออกไปซะ ตามสืบเรื่องนี้จนกว่าจะหาตัวคนทำเจอ” น้ำเสียงกดต่ำย้ำชัดว่านี่คือเรื่องด่วนทำให้หมอหญิงรีบก้มหน้ารับคำ
“เจ้าค่ะ” ร่างของนางหายไปในความมืดทันทีไม่รีรอให้โทสะของผู้เป็นนายได้ปะทุใส่
“อ่าาา…ฮืออ….ช่วยด้วย….อื้ออ” ยิ่งทิ้งไว้พิษยิ่งกำเริบรุนแรงมากขึ้น ผลลัพธ์ของมันอาจถึงขั้นที่ว่าคนโดนพิษต้องเดินไปหาบุรุษสักคนเพื่อให้หายทรมาน และนั่นจะกลายเป็นตราบาปของนางไปชั่วชีวิต
“ถิงถิง”
“อือ…ท่าน….ได้โปรด…ช่วยข้า…อ๊ะ”
ฝ่ามือหนาเอื้อมออกไปลูบแก้มขาวนวลอย่างระมัดระวัง ในใจเขารู้ดีว่าควรพานางไปหาคู่หมั้น แต่กระนั้นเขาก็ทำใจส่งนางให้ชายอื่นไม่ได้จริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายที่มิได้สนใจใยดีนางเลยแม้แต่น้อย
“ข้ารู้ว่าเจ้าหาได้มีใจให้ผู้ใด เช่นนั้นมอบใจของเจ้าให้ข้าเถิด ต่อให้ต้องใช้เวลาทั้งชีวิตข้าก็จะทำให้เจ้ารักข้าให้ได้” ดวงตาคมทอประกายมุ่งมั่นสบมองโฉมสะคราญที่ถูไถใบหน้าเข้ากับมือใหญ่ของตนด้วยสายตาเลื่อนลอย
“…เร็วสิ….ช่วยข้า….อึก” ดวงตาฉ่ำวาวปรือมองร่างสูงที่กำลังถอดอาภรณ์ออกทีละชิ้น น้ำลายเหนียวกลืนลงคออย่างลำบากทั้งที่เพิ่งดื่มน้ำไปไม่นาน มัดกล้ามล่อตาล่อใจทำเอาช่องท้องน้อยรู้สึกหวิวๆ จนใจสั่นไปหมด ฝ่ามือบางทาบลงไปบนอกแน่นที่คนตัวโตโน้มลงมาตรงหน้า ช่วงเวลาที่เขาขึ้นคร่อมนางภาพทุกอย่างก็เลือนลางในทันที
“ถิงถิง ข้าจะทะนุถนอมเจ้า” ริมฝีปากหยักประทับจุมพิตบนริมฝีปากอิ่มแผ่วเบาดุจแมลงปอบินแตะผิวน้ำ ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเล็กน้อยราวกับบางอย่างถูกสลักลึกลงไปในก้นบึงของหัวใจก่อนจะปิดตารับสัมผัสที่ถูกมอบให้อย่างยินดี
ชายหนุ่มทำมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งคนตัวเล็กเบียดกายเข้าหาสื่อถึงความต้องการที่มากขึ้น ลิ้นอุ่นชื้นแลบเลียให้อีกฝ่ายเผยอปากออก จากนั้นจึงเข้าไปหยอกเย้าลิ้นเล็กที่อยู่ด้านใน เขาดูดดื่มความหวานล้ำนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไป บรรจงเกี่ยวกระหวัดปลุกเร้าให้คนงามตามทันซึ่งคุณหนูใหญ่ตระกูลโจวก็ทำมันได้อย่างดีเยี่ยม คงเพราะแรงอารมณ์ที่ถูกกระตุ้นมาเกือบชั่วยามกระมัง