นายพลหยางเฟยคือบิดาของว่าที่สามีเธอ เขาแต่งงานใหม่หลังจากที่แม่ของหยางซีห่าวตายไป ทว่าทั้งคู่กลับไม่มีลูกด้วยกัน เนื่องจากนายพลหยางประสบอุบัติเหตุระหว่างปฏิบัติหน้าที่จนทำให้ไม่สามารถมีลูกได้อีก แต่ความจริงเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ นอกจากตัวของท่านนายพลและคนในตระกูลหยาง
ทำให้แม่เลี้ยงอย่างเพ่ยจิงหลันต้องพาหลานสาวมาอยู่ด้วย เพราะต้องการให้หลานสาวแต่งกับลูกเลี้ยงของตน เนื่องจากรู้ดีว่าตนเองนั้นหมดหวังที่จะมีทายาทเพิ่มให้กับตระกูลหยาง
เพ่ยจีทำตัวไม่ต่างจากคุณหนูตระกูลใหญ่ ทั้ง ๆ ที่พื้นเพของเธอเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา โดยที่ตัวของเพ่ยจีเป็นลูกสาวของน้องชายเพ่ยจิงหลัน
“น่าสนุกไม่น้อยนะ แต่งเข้าตระกูลหยางไปฉันคงไม่เหงาแล้วละ”
หว่านซูฉียิ้มขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ถ้าสองคนนี้ไม่เข้ามาก้าวก่ายและวุ่นวายกับชีวิตเธอมากนัก ก็จะปล่อยให้อยู่อย่างสุขสบาย แต่ถ้าเมื่อไรที่ทั้งสองคนล้ำเส้นเข้ามา เธอจะทำให้อยู่ไม่สู้ตายเอง
แต่ถ้าสามีในอนาคตเกิดชอบพอกับหลานสาวแม่เลี้ยงขึ้นมาจริง ๆ เธอจะหาทางให้ทั้งสองได้ครองคู่กัน แถมด้วยใบหย่าและออกมาใช้ชีวิตกับครอบครัว ซึ่งเวลานี้เธอเหลือเพียงพี่ใหญ่และพี่สะใภ้เท่านั้น รวมถึงพี่จื่อหานและพี่ตู้หมิงที่เธอนับรวมเข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกัน
“แล้วบ้านที่ฉันให้พี่หาให้เป็นอย่างไรบ้าง ขอน้ำขอไฟแล้วหรือยัง” หว่านซูฉีนึกเรื่องบ้านขึ้นได้จึงเอ่ยถามคนสนิท
หลังจากที่เธอแต่งเข้าตระกูลหยางแล้ว จึงไม่ต้องการให้พี่ชายและพี่สะใภ้อยู่บ้านหว่านอีก ต่อให้จะต้องแลกกับเงินสินสอดไม่กี่ร้อยหยวนก็ตาม
“เรียบร้อยแล้วครับ บ้านหลังนั้นพร้อมเข้าอยู่ได้ทันที แต่ทำไมนายหญิงไม่ให้คุณเหวินเปียวไปอยู่ที่คฤหาสน์ล่ะครับ น่าจะสะดวกสบายกว่า”
ตู้หมิงถามกลับ ในเมื่อคิดจะออกจากบ้านหว่าน ทำไมไม่ย้ายเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์ของนายหญิงเลยล่ะ ที่นั่นมีทั้งคนรับใช้ แม่บ้าน รวมถึงคนดูแล ย่อมสะดวกสบายกว่าจะมาอยู่บ้านหลังขนาดกลางข้างบ้านเขา
“อยู่ใกล้พี่นั่นแหละดีแล้ว ฉันยังไม่กล้าบอกพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ว่าฉันคือนายหญิงซู กลัวทั้งสองจะตกใจ อีกทั้งพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใช้ชีวิตแบบชาวบ้านมาตลอด หากจะเปลี่ยนการใช้ชีวิตแบบปุบปับคงตั้งตัวไม่ทัน”
หว่านซูฉีตั้งใจว่าจะบอกพี่ชายเรื่องย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง และให้พี่จื่อหานอ้างว่าจะให้สหายฝากเข้าทำงานกับนายหญิงซู โดยให้ตู้หมิงออกหน้าแทนเธอ ส่วนเรื่องจะบอกความจริงเมื่อไรนั้นคงต้องรออีกสักระยะ เวลานี้หว่านซูฉีไม่ต้องการให้พี่ชายและพี่สะใภ้เป็นกังวลในตัวตนของเธอ
“ครับ นายหญิง” ตู้หมิงเข้าใจในสิ่งที่เจ้านายต้องการ เลยไม่คิดจะโต้แย้งอะไรอีก
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ฉันกลับก่อนก็แล้วกัน เฮ้อ...ต้องแกล้งเป็นคนอ่อนแอและไม่สู้คนนี่มันลำบากเหมือนกันนะพี่ตู้หมิง”
หว่านซูฉีหันมายิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะเดินออกจากสำนักงานในทางเข้าออกลับสำหรับเธอและคนสนิททั้งสอง เพื่อกลับไปหมู่บ้านและเป็นหว่านซูฉีผู้อ่อนแอเช่นเดิม
ขณะเจ้านายเดินกลับไป ตู้หมิงมองตามแผนหลังของเธอคล้ายจะเป็นกังวล เขาเห็นหญิงสาวมาหลายปีแล้ว และเขาไม่เคยเห็นว่าจะมีสักครั้งที่หว่านซูฉีได้ใช้ชีวิตเหมือนเด็กสาวคนอื่น
เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา นายหญิงของเขามีความคิดที่ล้ำลึก ไม่แน่ว่าบางความคิดนั้นผู้ใหญ่อายุเช่นเขาก็ยังคิดไม่ได้ แต่หว่านซูฉีกลับคิดได้ และเริ่มทำการค้าตั้งแต่อายุยังน้อย
“หวังว่านายหญิงจะมีความสุขกับสิ่งที่เลือกนะครับ”
ตู้หมิงพึมพำออกมา เขาเชื่อว่าไม่มีใครสามารถบังคับนายหญิงของเขาได้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม รวมถึงเรื่องแต่งงานในครั้งนี้ด้วย
การที่นายหญิงยอมแต่งเข้าตระกูลหยาง คงเป็นเพราะพี่ชายที่เธอรักมากขอร้อง ไม่เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าหว่านซูฉีจะยอมทำตาม
หว่านซูฉีเดินเลียบข้างทาง เธอไม่คิดจะขึ้นเกวียนในเวลานี้ เนื่องจากต้องการให้มีเหงื่อโซมกายเพราะจะได้นำมาเป็นข้ออ้าง ไม่เช่นนั้นจะเป็นที่สงสัยของครอบครัวได้ เวลานี้ทุกคนรู้ว่าเธอต้องขึ้นไปเก็บผักป่าเพื่อนำมาให้วัวของคอมมูนกิน หากไม่มีเหงื่อโซมกายเลยคงไม่ดีแน่
ทว่าเรื่องผักป่าหว่านซูฉีไม่กังวล ในเมื่อเธอมีมิติและก่อนหน้านี้ก็เก็บไว้เยอะแล้ว ในขณะเดินทางกลับเข้าหมู่บ้าน เธอรู้สึกว่ามีคนคอยจับจ้องอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อไม่ได้รับรู้ถึงอันตรายจึงปล่อยไป และแสร้งทำตัวเป็นหญิงสาวที่อ่อนแอเช่นเดิม
แค่ก ๆๆ เสียงไอของหว่านซูฉีดังขึ้นเล็กน้อย หญิงสาวร่างบอบบางอยู่แล้วการไอของเธอจึงดูน่าสงสารไม่น้อย เธอหยุดเดินและใช้ฝ่ามือทุบอกตนเองเบา ๆ ก่อนจะปาดเหงื่อเล็กน้อย เมื่อรู้สึกดีขึ้นจึงค่อยเดินต่อ โดยด้านหลังยังคงสะพายตะกร้าไว้เพื่อพรางสายตาของคนที่จ้องจับผิด
สายตาคมเข้มของชายหนุ่มรูปร่างกำยำคนหนึ่งกำลังมองหว่านซูฉีโดยไม่ละสายตา แม้หญิงสาวตรงหน้าที่เดินผ่านไปจะดูอ่อนแอและน่าทะนุถนอม จนผู้คนที่พบเห็นอดสงสารไม่ได้ แต่ทำไมเขากลับรู้สึกว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่
“นี่คือหว่านซูฉี?” เสียงทุ้มเอ่ยถามลูกน้องคนสนิท ด้วยความแปลกใจ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าหญิงสาวที่เขาต้องแต่งงานด้วยจะดูอ่อนแอเช่นนี้
ใช่แล้ว ! ชายคนนี้ก็คือ หยางซีห่าว คนที่กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับน้องสาวของผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้ และเจ้าสาวคนนั้นก็คือ หว่านซูฉี !!
“ครับ ท่านผู้พันเพิ่งกลับมาเลยยังไม่ได้เจอหน้าของว่าที่คุณนายในวันที่ท่านนายพลมาสู่ขอ เธอคนนี้ละครับคือหญิงสาวที่ท่านผู้พันต้องแต่งงานด้วย”
“แล้วคุณพ่อว่าอย่างไรบ้าง” หยางซีห่าวไม่ได้กังวลเลยว่าพ่อจะทำกิริยาไม่ดีต่อบ้านผู้มีพระคุณของลูกชายคนนี้ขณะที่เดินทางมาพูดคุยเรื่องหมั้นหมายและการแต่งงาน แต่ชายหนุ่มกลับกังวลภรรยาของพ่อต่างหากล่ะ กลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาวุ่นวายกับเรื่องนี้น่ะสิ
“วันนั้นท่านนายพลยิ้มแย้มและอัธยาศัยดีครับ มีเพียงคุณนายเท่านั้นที่ดูไม่ค่อยพอใจกับการหมั้นหมายและการแต่งงานที่จะเกิดขึ้นครั้งนี้ของท่านผู้พัน”
แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมท่านผู้พันถึงยอมแต่งงานกับหญิงสาวที่ดูอ่อนแอปวกเปียกเช่นนี้ ด้วยฐานะบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านนายพลหยาง น่าจะหาคู่ครองที่เหมาะสมได้ไม่ยาก ประโยคนี้เขาไม่ได้พูดออกไปเพราะกลัวจะโดนเจ้านายเตะเข้าให้
“ผู้หญิงคนนั้นจะรู้สึกยังไงฉันไม่สนใจ เพราะเธอไม่ได้มีค่ามากพอที่ฉันต้องทำตามความประสงค์หรือความต้องการของเธอ แต่เวลานี้ฉันสนใจว่าที่ภรรยามากกว่า” ชายหนุ่มตอบกลับคนสนิท และกระตุกยิ้มเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถึงว่าที่ภรรยา
หยางซีห่าวมองแผ่นหลังบอบบางของหว่านซูฉีจนลับสายตา จากนั้นจึงหมุนตัวกลับไปตามทางเดิม ในใจคิดว่าเขาคงต้องหาเวลามาทำความรู้จักกับว่าที่ภรรยาคนนี้สักหน่อยแล้ว
ทางด้านหว่านซูฉี ทันทีที่เดินเข้ามาในหมู่บ้านเธอยังคงมีท่าทางเช่นเดิม นั่นคือการแสร้งเป็นคนอ่อนแอ เมื่อชาวบ้านเอ่ยทักทาย เธอก็ทำเพียงยิ้มรับและตอบกลับอย่างอ่อนน้อม ท่าทางเช่นนี้ดูเหมือนคนว่าง่ายและอ่อนแอ อีกทั้งยังดูเป็นคนขี้ขลาดไม่น้อย แต่นี่เป็นสิ่งที่หว่านซูฉีต้องการ เนื่องจากเธอไม่ต้องการให้ใครเห็นถึงตัวตนที่เธอซ่อนไว้ภายใต้ใบหน้าที่อ่อนแอ
ไม่นานหว่านซูฉีก็เดินกลับมาถึงบ้าน ยังไม่ทันเข้ามาในบ้านดี ก็ได้ยินเสียงด่าของผู้เป็นย่าเสียแล้ว