บทที่ 7 เก็บกวาดหลักฐานไม่ให้เหลือ

1716 คำ
จื่อหานสะกดรอยตามมาจนเจอ เขาแอบซุ่มดูอยู่บนต้นไม้ว่านายหญิงของตนเองจะได้รับอันตรายหรือไม่ แต่เมื่อเห็นจำนวนของฝ่ายตรงข้ามก็คลายกังวล เนื่องจากรู้ดีว่านายหญิงซูนั้นเก่งกาจเรื่องการต่อสู้ทุกแขนงมากแค่ไหน ทว่าสิ่งที่เขากังวลใจกลับเป็นท่านผู้พันหยางเสียมากกว่า คราวนี้ท่านผู้พันคงรู้แล้วว่าเจ้าสาวของตนเองไม่ใช่คนอ่อนแอหรือขี้ขลาดอย่างที่เห็นและได้ข่าวมา “รู้ก็ดี ไม่รู้ก็ช่าง แต่วันนี้เธอไม่มีทางหลุดรอดไปจากมือของพวกเราแน่” ชายคนหนึ่งกล่าวขึ้นมาอย่างย่ามใจ “มันต้องดูต่อว่าพวกพี่ชายสามารถรักษาลมหายใจของตนเองได้หรือไม่ เพราะฉันไม่เคยใจดีกับคนที่คิดร้ายหรือจ้องทำลายฉัน จำไว้ !!” ประโยคสุดท้ายช่างเย็นชายิ่งนัก หว่านซูฉีไม่คิดจะรีรออะไรอีก เพราะมันจะเสียเวลา และไม่มีใครรู้ว่าหว่านซูฉีเอามีดมาจากไหน กว่าที่กลุ่มชายจะฉกรรจ์รู้ตัวอีกที ก็เมื่อมีดที่แหลมคมปาดเข้าที่คอพวกเขาแล้ว การกระทำของหว่านซูฉีเป็นไปอย่างคล่องแคล่วและรวดเร็ว ไม่นานชายทั้งห้าก็ล้มลง เอามือกุมลำคอตนเองพร้อมกับลมหายใจสุดท้ายที่หายไป “ถ้าอยากรอด ช่วยบอกฉันได้ไหมว่าใครสั่งมา” หว่านซูฉีเวลานี้ไม่ต่างจากยมทูตที่มาปลิดชีวิตของคนเลว “กะ…แกมันนางปีศาจ” ชายที่ดูคล้ายกับจะเป็นหัวหน้าเริ่มหวาดกลัว ไม่คิดว่างานในครั้งนี้จะคร่าชีวิตลูกน้องทั้งหมดที่พามาด้วย เงินหนึ่งพันหยวนมันไม่คุ้มค่ากับชีวิตของเขาเลยจริง ๆ “โอ๊ะ ! พี่ชายเป็นคนแรกเลยนะที่เรียกฉันว่าปีศาจ แต่รู้อะไรไหมคำว่าปีศาจ มันยังน้อยไปที่จะเรียกฉัน” สิ้นคำเธอก็ประชิดร่างของเขาด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะพรากลมหายใจของชายคนนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับ หว่านซูฉีหันซ้ายหันขวา จนรู้ว่านอกจากจื่อหานแล้วยังมีคนของว่าที่สามีอยู่ด้วย ‘ฝากเก็บกวาดด้วยนะ’ จากนั้นเธอจึงเดินออกมาจากตรงนั้นทันที จื่อหานเมื่อเห็นว่าเจ้านายปลอดภัยแล้วก็รีบออกมาจากจุดนั้นเช่นกัน เพราะกลัวว่าฝั่งของท่านผู้พันหยางจะรู้ถึงการมีตัวตนของเขา “หึ ๆ ไม่ใช่กระต่ายน้อยจริง ๆ ด้วย เก็บกวาดให้เรียบ อย่าให้เรื่องนี้สาวมาถึงว่าที่ภรรยาฉันได้” หยางซีห่าวยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะสั่งการให้ลูกน้องและคนสนิทจัดการเก็บกวาดรวมถึงทำลายหลักฐานที่จะสาวไปถึงภรรยาในอนาคตของตนเอง “นายครับ แบบนี้ไม่ใช่กระต่ายน้อยหรือกระต่ายป่าอย่างที่นายบอกแล้วนะครับ แต่เป็นแม่เสือเสียมากกว่า” หากให้พูดจริง ๆ แม่เสือก็คงไม่ใช่ นอกจากคำว่ายมทูตแล้ว ดูแล้วไม่มีคำไหนมาเทียบกับการกระทำของว่าที่คุณนายได้เลย ‘ผมขอไว้อาลัยให้กับท่านผู้พันล่วงหน้า อย่าออกนอกลู่นอกทางเชียวนะครับ แล้วจะหาว่าผมไม่เตือน’ อานเผิงเอ่ยในใจ เนื่องจากไม่อยากส่งเสียงตอบกลับมานั่นเอง ผู้พันหยางเลือกที่จะไม่ตอบอะไร เพียงส่งสายตาคมเข้มมาให้คนสนิทเท่านั้น ทว่ามุมปากกลับมีรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ เมื่อรู้ว่าภรรยาตนเองนั้นไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่เธอกลับมีอะไรให้น่าค้นหาอีกมากมาย จากนั้นชายหนุ่มจึงเดินจากมา ปล่อยให้ลูกน้องและคนสนิทจัดการหลักฐานตรงหน้าให้เรียบร้อย หว่านซูฉีเมื่อเดินออกมาและเห็นว่าไม่มีใครตาม จึงเอาน้ำออกมาจากมิติเพื่อล้างคราบเลือดที่เปื้อนมือ ดีหน่อยที่เธอเข้าประชิดตัวด้านหลัง ทำให้เลือดไม่กระเซ็นเปื้อนเสื้อผ้า พอจัดการทุกอย่างแล้วก็คิดว่าควรจะไปไหนดี หากกลับบ้านเวลานี้มันออกจะแปลกไปสักหน่อย และถ้าเข้าไปที่สำนักงานก็กลัวว่าคนของผู้พันหยางจะสะกดรอยตามจนเจอ การกระทำของเธอในวันนี้ คงทำให้อีกฝ่ายล่าถอยและไม่ต้องคอยสอดส่องดูเธออีก ไม่นานจื่อหานก็เดินตามมาทัน และกล่าวบางอย่างขึ้นมา “เมื่อครู่นี้ ท่านผู้พันเห็นด้วยตาตนเองทุกอย่างครับ นายหญิง” พูดจบจึงรีบเดินจากมา เพราะกลัวว่าผู้พันหยางจะตามมาทันนั่นเอง หว่านซูฉีทำเพียงพยักหน้ารับและกระซิบบางอย่างเพื่อให้ได้ยินกันสองคน ก่อนจะปรับท่าทางให้ตนเองกลับสู่การเป็นหว่านซูฉีหญิงสาวผู้อ่อนแอเช่นเดิม เธออยากรู้เหมือนกัน ชายที่กำลังเป็นว่าที่สามีในอนาคตจะทำอย่างไร เมื่อเธอมีถึงสองบุคลิกเช่นนี้ หญิงสาวเดินกลับได้ไม่นาน ก็มีเสียงทุ้มเอ่ยเรียกจากด้านหลัง “ซูฉี หยุดก่อน” “เรารู้จักกันด้วยหรือคะ” แม้จะไม่มีทีท่าหวาดกลัวเหมือนตอนอยู่บ้าน แต่หว่านซูฉีกลับไม่เผยใบหน้าที่แท้จริงของตนเองให้อีกฝ่ายรับรู้ “ผมลืมแนะนำตัว ผมชื่อหยางซีห่าว เจ้าบ่าวของคุณในอีกไม่กี่วันนี้ และต้องขอโทษด้วยที่มาแนะนำตัวช้าไป” หยางซีห่าวอมยิ้มในใจ เขาเห็นทุกอย่างหมดแล้ว แม่กระต่ายป่ายังแกล้งทำเป็นคนอ่อนแออีกหรือ หากหญิงสาวตรงหน้าเป็นคนอ่อนแอ แล้วคนทั่วไปล่ะจะเรียกอะไรดี แต่ชายหนุ่มเลือกที่จะไม่ฉีกหน้ากากของว่าที่ภรรยา และยอมเดินตามเกมของเธอ “คุณนั่นเอง ว่าแต่เรียกฉันไว้ทำไมคะ ฉันนึกว่าเราต้องพบกันตอนทำพิธีและตอนเข้าหอเสียอีก” “ไม่คิดว่าคุณอยากจะเข้าหอกับผมขนาดนั้น แต่รอก่อนนะมันยังไม่ถึงเวลา” เจอคำกล่าวหานี้เข้าไป หว่านซูฉีแทบอยากจะข่วนหน้าชายหนุ่มยิ่งนัก เธอแค่พูดไปตามเนื้อผ้า เขากลับคิดว่าเธออยากจะเข้าหอเสียได้…มันน่านัก หยางซีห่าวเห็นแววตาดื้อรั้นและไม่ยินยอมของว่าที่ภรรยา ก็รู้สึกพอใจอย่างบอกไม่ถูก เขาอยากจะรู้นักว่าหญิงสาวที่ชื่อหว่านซูฉีคนนี้จะเก็บตัวตนต่อหน้าเขาได้อีกนานแค่ไหน หลังจากแต่งงานและย้ายไปอยู่คฤหาสน์ตระกูลหยาง เขาไม่กังวลแล้วว่าใครจะรังแกภรรยาหรือไม่ กลัวแต่ว่าจะมีใครทำให้เธอโกรธ และโดนเล่นงานกลับจนเอาชีวิตแทบไม่รอดน่ะสิ หว่านซูฉีปรับอารมณ์ตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามอย่างใจเย็น “ไม่ทราบว่าท่านผู้พันมาพบฉันเวลานี้ต้องการอะไรคะ” “พอดีผมนึกขึ้นได้ว่าใกล้จะถึงวันแต่งงานเข้าไปทุกทีแล้ว แต่เราสองคนยังไม่เข้าไปลองชุดแต่งงานเลย วันนี้ตั้งใจจะเข้าไปหาคุณในหมู่บ้าน แต่ไม่คิดว่ากลับพบคุณที่นี่เสียได้ แล้วทำไมคุณถึงมาเดินคนเดียวในสถานที่แบบนี้ล่ะ” ชายหนุ่มเลือกที่จะลองใจว่าที่ภรรยา ซึ่งเขาเชื่อว่าเธอไม่มีทางบอกความจริง แต่ก็อยากได้ยินว่าเธอจะแก้ตัวอย่างไร “ฉันมากับพี่หมี่ลี่ ลูกของลุงใหญ่ เธอชวนฉันมาซื้อของ แต่เมื่อครู่นี้เจอกลุ่มนักเลงเข้า พี่หมี่ลี่ตกใจเลยวิ่งหนีไปค่ะ” หว่านซูฉีเลือกที่จะบอกความจริง เพียงแค่บอกไม่หมดเท่านั้นเอง “อ๋อ... เช่นนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นวันนี้คุณสะดวกไปลองชุดแต่งงานหรือไม่ เสร็จเรื่องแล้วผมจะพาไปส่งบ้านหว่านด้วยตัวเอง” หญิงสาวคิดเล็กน้อย ดีเหมือนกันหากผู้พันหยางไปส่งเธอด้วยตนเอง จะได้มีข้ออ้างด้วย ไม่รู้เวลานี้หมี่ลี่จะใส่ร้ายเธอกับบ้านหว่านไปถึงไหนแล้ว หรือไม่เวลานี้คงดีใจที่คิดว่ากำจัดเธอไปได้ “ตกลงค่ะ แต่ท่านผู้พัน...” หว่านซูฉีพูดยังไม่ทันจบ กลับโดนอีกฝ่ายพูดสวนขึ้นมา “เรียกผมว่าพี่ซีห่าวเถอะ อีกหน่อยเราก็ไม่ใช่คนอื่นไกลกันแล้ว ฉีเอ๋อร์” เรื่องจริงคือเขาไม่ต้องการมีช่องว่าง หรือแลดูห่างเหินกับคนที่จะมาเป็นภรรยาที่ต้องใช้ชีวิตด้วยกันจนผมขาวโพลน ส่วนเรื่องรองคือต้องการแกล้งเธอเท่านั้น ยิ่งเธอไม่ยอมเผยตัวตนเขายิ่งอยากจะแกล้ง หว่านซูฉีเงยหน้ามองว่าที่สามีอย่างทันท่วงทีเมื่อเขาให้เธอเรียกว่าพี่ซีห่าว แต่นั่นยังไม่หงุดหงิดเท่าเขากล้าดีอย่างไรถึงเรียกเธอว่าฉีเอ๋อร์ ในเมื่อทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่ปล่อยวาง ต่อให้เขาจะเห็นเธอฆ่าคนมาแล้วก็ตาม แต่ยังไม่อยากเปิดเผยตัวเวลานี้ เราลองมาดูกันว่าใครจะประสาทเสียก่อนก็แล้วกันนะ คุณว่าที่สามี ! “ค่ะพี่ซีห่าว” หว่านซูฉีเงยหน้าขึ้นมาสบตาและยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อน ใบหน้าสวยหวานและรอยยิ้มที่ดูสดใส ทำเอาชายหนุ่มที่แสนเย็นชาและเหี้ยมโหดในกลุ่มของนายทหารด้วยกัน ตาพร่าไปเลยทีเดียว ‘สวยเหมือนกันนะเนี่ย’ “เราไปกันเถอะฉีเอ๋อร์ ลองชุดเสร็จแล้วพี่จะพาไปกินอาหารอร่อย ๆ และอาจจะแวะไปหาคุณพ่อที่บ้าน น้องสะดวกหรือไม่” ‘นั่นไง ตัวตนของชายคนนี้ใช่คนเย็นชาจริงหรือ ก่อนหน้านี้ก็เรียกฉีเอ๋อร์ ตอนนี้คำว่าน้องก็มา’ หว่านซูฉีแทบจะระงับอารมณ์ตัวเองไม่ไหวแล้วกับความหน้ามึนของชายตรงหน้า “ค่ะ” หญิงสาวจึงตอบรับเพียงสั้น ๆ เท่านั้น จากนั้นผู้พันหยางจึงพาว่าที่เจ้าสาวของตนเองไปขึ้นรถยนต์ที่จอดอยู่ไม่ไกล เพื่อไปลองชุดแต่งงาน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม