เมื่อเจอน้ำเสียงที่เย็นชาของคนที่เธอคิดว่าสามารถจัดการได้ง่าย ๆ อย่างหว่านซูฉีแบบนี้ ร่างของหว่านหมี่ลี่เริ่มสั่นขึ้นมาเล็กน้อยด้วยความหวาดกลัว แต่ก็ยังใจแข็งและโต้ตอบด้วยวาจากลับไป
“หากท่านผู้พันรู้ว่าแกเป็นแบบนี้ เขาไม่มีวันรับแกเข้าตระกูลหยางหรอกนะ ไม่มีใครต้องการสะใภ้หรือภรรยาที่โหดเหี้ยมเข้าตระกูลของตัวเองหรอก นี่ฉันเป็นพี่แกนะ ฉันเชื่อว่าแกไม่กล้าฆ่าคน”
“ทำไมฉันจะไม่กล้าล่ะ ในเมื่อคนที่พวกเธอส่งมา ตายด้วยน้ำมือฉันหมดแล้ว และฉันก็ไม่กลัวด้วยว่าเธอจะไปพูดกับใคร ต่อให้พูดจริง ๆ คนอย่างหว่านซูฉีก็ไม่คิดที่จะกลัว”
ทันทีที่ได้ยินหว่านซูฉียอมรับออกมาแบบนั้น หว่านหมี่ลี่จึงล้มทั้งยืน เวลานี้เธอหวาดกลัวน้องสาวตรงหน้าจริง ๆ
“ฉันจะแจ้งเจ้าหน้าที่ ฉันจะบอกตระกูลหยางให้มาจับแกเข้าคุก ตำรวจต้องหาหลักฐานที่แกฆ่าคนพวกนั้นเจอ และท่านผู้พันต้องเกลียดแก จำไว้ !!” เธอเชื่อว่าอย่างน้อยหากเรื่องนี้ไปถึงเจ้าหน้าที่จะต้องมีการสอบสวนขึ้นมา ถ้าหว่านซูฉีทำจริงก็ต้องโดนจับและถูกประหารชีวิตโทษฐานฆ่าคนตาย
“เอาเลย แจ้งสิ ฉันจะได้บอกด้วยว่าเธอต้องการขายฉันให้พวกนั้น และฉันทำเพื่อป้องกันตัว แต่ว่าเมื่อถึงเวลานั้นหลักฐานทั้งหลายจะมีหลงเหลืออยู่อีกไหม แล้วเธอคิดว่าการที่ฉันรอดมาได้จนมายืนเถียงกับเธอ พี่ซีห่าวเขาจะไม่รู้หรือไงว่าฉันเป็นคนแบบไหนในเมื่อเขาเป็นคนช่วยฉันมาจากคนพวกนั้น”
หว่านซูฉีคิดว่าตนเองไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีก เพราะเธอเลือกที่จะทำให้อีกฝ่ายกลัวอยู่แล้ว และที่สำคัญ ต่อให้หว่านหมี่ลี่ไปบอกใครต่อใครว่าเธอฆ่าคนตาย จะมีใครเชื่อกันล่ะ ในเมื่อภาพลักษณ์ของเธอคือหญิงสาวที่อ่อนแอและขี้โรคนี่นา
“ฉันไม่เชื่อ ถ้าหากผู้พันหยางรู้ว่าแกฆ่าคนตาย เขาต้องรังเกียจแกสิ จะมาปกป้องแกทำไม” ต่อให้ในใจนั้นหวาดหวั่นแค่ไหน แต่ก็ยังเลือกที่จะเถียงออกไป เพราะไม่เชื่อว่าผู้พันหยางจะรับได้กับสิ่งที่หว่านซูฉีทำ
“ทำไมผมจะปกป้องคนที่จะมาเป็นภรรยาของตัวเองไม่ได้ล่ะ ต่อให้ฉีเอ๋อร์จะร้ายกาจยิ่งกว่านี้ ภรรยาผู้พันหยางก็มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้น และไม่ว่าฉีเอ๋อร์จะทำอะไร ผมก็พร้อมที่จะเก็บกวาดหลักฐานที่โยงมาถึงเธอทั้งหมดด้วยตัวเอง แต่ถ้าทำไม่ได้ ผมก็พร้อมที่จะรับผิดแทนภรรยา !!”
เสียงของหยางซีห่าวดังขึ้น พร้อมกับปรากฏร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่ม ก่อนจะเดินมายืนข้าง ๆ ว่าที่ภรรยาตนเอง และคำพูดเหล่านี้คือคำยืนยันว่าเขาทำเช่นนั้นจริง ๆ ไม่ว่าเรื่องจะร้ายแรงแค่ไหนก็ตาม
หว่านหลี่หมี่แทบอยากจะตายตรงนี้ ร่างกายเธอสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว ไม่ใช่เพราะคำพูดของหยางซีห่าว แต่เป็นน้ำเสียงและแววตาที่ฆ่าคนได้ของเขาต่างหาก จากที่ตั้งใจจะมาข่มขู่หว่านซูฉี แต่กลายเป็นตนเองที่ต้องหวาดกลัว
“และเรื่องนี้หากมีคนอื่นรับรู้เมื่อไร วันนั้นผมจะทำให้คุณหายไปจากสารบบของทุกคน ไม่เชื่อก็ลองดู” ทั้งสีหน้า แววตา และน้ำเสียงล้วนยืนยันได้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นจริงแค่ไหน
หว่านซูฉีมองหน้าว่าที่สามีคล้ายจะแปลกใจว่าทำไมเขาถึงเข้าข้างเธอ เมื่อได้รับรอยยิ้มกลับมา เธอจึงเอ่ยกับหว่านหมี่ลี่ด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ได้รับคำตอบที่ต้องการแล้ว เธอก็ควรกลับบ้านได้แล้วหมี่ลี่ และช่วยทำตามอย่างที่ท่านผู้พันพูดด้วย เพราะไม่อย่างนั้น ต่อให้ฉันแต่งเข้าตระกูลหยาง ฉันก็ไม่สามารถช่วยหรือปกป้องเธอได้ หวังว่าจะเข้าใจนะ”
หว่านซูฉีพูดขึ้นคล้ายกับเตือนสติญาติผู้พี่ นี่จึงทำให้หว่านหมี่ลี่เรียกสติตัวเองกลับมา ก่อนจะวิ่งออกจากบ้านหลังนี้ด้วยความหวาดกลัว
“ฉีเอ๋อร์น้องไม่กลัวว่าผู้หญิงคนนั้นจะนำเรื่องนี้ไปโพนทะนากับคนอื่นหรือ ให้พี่จัดการก่อนดีไหม”
หยางซีห่าวเอ่ยขึ้นด้วยความกังวลใจ กลัวว่าลูกพี่ลูกน้องของว่าที่ภรรยาจะเล่นไม่ซื่อ แต่ทว่าหว่านซูฉีกลับไม่มีความกลัวอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่เพราะเอาความคิดและความต้องการของตนเองเป็นใหญ่ แต่เพราะด้วยอำนาจของนายหญิงซู หากจะคิดเอาชีวิตใครสักคนคงไม่ใช่เรื่องยาก
“ไม่ละค่ะ หมี่ลี่ไม่ใช่คนที่กล้าขนาดนั้น ยิ่งเรื่องนี้เธอรู้ว่าพี่ซีห่าวรู้เรื่องด้วยแล้ว ดีไม่ดีอีกไม่นานเธอคงจะแต่งงานออกไปจากหมู่บ้านนี้ ไม่เชื่อก็คอยดูสิคะ ว่าแต่วันนี้พี่จะพาฉันไปไหนหรือ ชุดที่ฉันใส่พอจะคู่ควรเดินกับพี่ได้หรือเปล่า”
แม้ว่าเธอจะหาชุดที่ดีที่สุดมาใส่ได้ แต่ในฐานะหว่านซูฉีเธอไม่สามารถทำได้ เลยเลือกเสื้อผ้าที่ดีที่สุดมาใส่ ซึ่งก็เป็นชุดสำเร็จที่ว่าที่สามีซื้อให้เมื่อวานนั่นเอง
“ว่าที่ภรรยาของพี่ใส่ชุดไหนก็สวยและดูดีทั้งนั้น”
นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาชมสตรี และคิดว่าคงจะเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้น ท่าทางของชายหนุ่มทำให้หว่านซูฉีแอบยิ้ม
เนื่องจากสายตาดันเห็นเข้ากับใบหูของชายหนุ่มที่แดงขึ้นด้วยความเขินอาย แต่หญิงสาวเลือกที่จะไม่พูดอะไร เพราะกลัวเขาจะอายมากกว่าเดิมนั่นเอง
จากนั้นหว่านซูฉีและหยางซีห่าวจึงออกจากบ้านโดยที่หญิงสาวไม่ลืมใส่กุญแจประตูบ้าน
ทันทีที่รถยนต์คันใหญ่ขับผ่านหมู่บ้าน ชาวบ้านแต่และคนที่เห็นต่างก็อิจฉาในโชคชะตาของหลานสาวบ้านหว่านที่มีเพียงพี่ชายเป็นผู้ปกครองเท่านั้น ไม่คิดว่าหว่านซูฉีจะมีโชคชะตาที่ดีขนาดนี้
ทางด้านของหว่านหมี่ลี่ เมื่อกลับมาถึงบ้านจึงขังตัวเองในห้องนอน ทำให้ผู้เป็นย่าที่อยู่บ้านได้แต่แปลกใจว่าหลานสาวของตนนั้นเป็นอะไร เลยอดไม่ได้ที่จะเดินไปเคาะห้องหลานสาวคนโปรด
ก๊อก ๆ ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นไม่นาน หว่านหมี่ลี่ใช้มือปาดน้ำตาลวก ๆ ก่อนจะเดินมาเปิดเพราะรู้ดีว่าคงเป็นย่าของเธอที่มาเรียก
“ย่ามีอะไรหรือเปล่า ฉันไม่ค่อยสบายน่ะคงทำตามที่ย่าสั่งไม่ได้” เมื่อเจอหน้าของผู้เป็นย่า เธอจึงรีบบอกปัดเพราะคิดว่าย่าหว่านคงมาใช้งานอะไรเธออีก
“ฉันเห็นแกดูเหมือนจะมีเรื่องคิดหนัก หรือว่ายังเสียใจที่ไม่ได้แต่งงานเข้าตระกูลหยาง ให้ย่าจัดการให้ไหม” แม้ว่าไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เมื่อเห็นหลานสาวที่รักมีเรื่องทุกข์ใจจึงเลือกที่จะยอมสอดอีกครั้ง
ต่อให้หวาดกลัวทั้งสองคนแค่ไหน แต่เมื่อย่าเสนอความคิดนี้ขึ้นมา และเธอหวังว่าตนเองจะชนะหว่านซูฉี จึงพยักหน้ายอมรับว่าตนเองเสียใจที่ไม่ได้สวมชุดเจ้าสาว
“เช่นนั้นพรุ่งนี้ย่าจะจัดการเรื่องนี้เอง ดูซิว่านังซูฉีจะยอมทำตามที่ฉันพูดหรือเปล่า แค่ต้องคืนสินสอดฉันก็แค้นใจจะแย่อยู่แล้ว อย่างไรเสีย เจ้าสาวที่จะแต่งกับท่านผู้พันย่อมต้องเป็นหลานรักของฉัน”
เมื่อมีใจละโมบ ย่าหว่านย่อมต้องคิดถึงผลได้ผลเสียของตนเอง ถ้าหากหว่านซูฉีแต่งเข้าตระกูลหยาง นางจะไม่ได้อะไรเลย เพราะต้องคืนสินสอดทั้งหมดให้สองพี่น้องไปดูแลเอง แต่ถ้าเจ้าสาวในครั้งนี้คือหว่านหมี่ลี่ นางจะได้ทุกอย่างเหมือนเดิม เพราะอย่างไรเสียเวลานี้ทุกคนยังอยู่ในบ้านหว่าน และอีกอย่างนางเองย่อมต้องอยู่กับลูกชายคนโต !!
ทันทีที่รู้ว่าผู้เป็นย่าจะทำให้ตนเองได้แต่งงานเข้าตระกูลหยาง ความหวาดกลัวที่มีต่อหว่านซูฉีก็ลดน้อยลงทันที ก่อนจะโถมตัวกอดเอวผู้เป็นย่าอย่างออดอ้อน
“ขอบคุณนะคะย่า ฉันรักย่าที่สุดเลย หากฉันได้แต่งเข้าตระกูลหยาง บ้านหว่านของเราต้องมีแต่คนนับหน้าถือตาแน่นอน ฉันให้คำสัญญาเลยละ”
การกระทำเหล่านี้ทำให้ย่าหว่านยิ้มแก้มปริ จากนั้นจึงเดินออกมาจากห้องของหลานสาวเพื่อคิดแผนการว่าจะจัดการกับหว่านซูฉีอย่างไรดี
เมื่อเดินมาถึงห้องโถง ปู่หว่านจึงเอ่ยเรื่องสินสอดของหลานสาวอย่างหว่านซูฉีขึ้นมาอีกครั้ง นี่จึงทำให้ย่าหว่านรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทั้งที่เพิ่งจะรู้สึกดีได้ไม่นาน
“ไม่ต้องบอกฉันหรอก กลัวว่าหลานสาวอย่างนังซูฉีจะโดนดูถูกหรือยังไง เงินแค่ไม่กี่ร้อยหยวนฉันคืนให้แน่ หากเจ้าสาวในครั้งนี้เป็นหมี่ลี่ บ้านหว่านของเราคงจะสบายไปแล้ว”
“นี่หล่อนคิดจะสับเปลี่ยนตัวเจ้าสาวอีกแล้วหรือ อย่าเชียวนะ หากเรื่องนี้เกิดปัญหาแล้วทางท่านผู้พันมาเอาเรื่อง ฉันไม่รู้ไม่เห็นด้วยทั้งนั้น ฉันคิดว่าหล่อนควรจะได้ตายอย่างมีเกียรติ ไม่รู้อะไรเลยหรือไง ผมก็ขาวขนาดนี้แล้ว”
พูดจบปู่หว่านก็ลุกเดินออกมาจากห้องโถงทันที ในใจนั้นรู้สึกไม่พอใจที่ภรรยาตนเองนั้นรักลูกและหลานไม่เท่ากัน ทั้ง ๆ ที่เบ่งออกมาเองแท้ ๆ
นี่จึงทำให้ย่าหว่านยิ่งคิดที่อยากจะให้หว่านหมี่ลี่แต่งเข้าตระกูลหยาง และเมื่อคิดถึงลูกชายคนรองที่ตายไปก็ยิ่งไม่พอใจ หากสมัยนั้นเจ้าลูกชายตัวดีแต่งงานกับคุณหนูที่มาชอบพอคงจะสบายไปแล้ว ยิ่งคิดยิ่งโมโห จึงเดินกระแทกเท้าเข้าห้องนอนตนเองทันที