รุจน์ให้เหตุผลโน้มน้าวให้เพื่อนล้มเลิกความคิด แม้จะรู้ดีว่าเควินนั้นหัวดื้อมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าคิดจะทำอะไรต้องทำให้ได้ ทำให้สำเร็จ ใครห้ามก็ไม่ฟัง ต้องปล่อยให้ตกเหวเองแล้วก็หาทางปีนขึ้นมาเอง ใครโยนเชือกลงไปให้ก็ไม่รับ
“ฉันจะไม่ยอมให้ลูกฉันมีปัญหาเด็ดขาด แกกลับไปได้แล้ว”
เมื่อโดนไล่หลายครั้ง รุจน์จึงจำต้องไปจริงๆ แต่ก่อนไปยังมิวายหันไปเตือนสติเพื่อน
“แกจะทำอะไรก็คิดว่าเขาเป็นลูกมีพ่อมีแม่นะโว้ย อีกอย่างฉันจะไม่มาเหยียบที่นี่อีก” รุจน์พูดอย่างโมโหเพื่อน
“ฉันรู้ว่าแกต้องมา ถ้าแกไม่อยากให้ผู้หญิงคนนี้ตาย เพราะถ้าแกไม่มา ฉันจะปล่อยให้เธอตาย”
“แก! อย่าเอาเรื่องนี้มาขู่ฉัน” รุจน์โมโหจนควันออกหูเมื่อเพื่อนรู้จุดอ่อนของเขา ใช่! เขาไม่มีวันเห็นคนตายไปต่อหน้าต่อตาได้ เพื่อมนุษยธรรมและอาชีพที่เขารัก เขาต้องช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกเพื่อให้รอดชีวิต
“ฉันไม่ได้ขู่ ฉันรู้ว่าแกต้องมา” เควินพูดทิ้งท้ายเอาไว้มองตามร่างสูงของเพื่อนรักไปอย่างหนักใจ แต่เขารู้ว่าเพื่อนต้องกลับมาแน่นอนเมื่อเขาต้องการ มันอาจจะเป็นวิธีที่เลวร้ายที่เขาใช้เรื่องนี้บีบบังคับ แต่เขาก็จำเป็นต้องทำ
ทางด้านเพชรน้ำหนึ่ง เธอฟื้นนานพอที่จะได้ยินประโยคทุกอย่างจากปากของคนทั้งสอง เธอเพิ่งรู้ว่ามีหมอให้ความร่วมมือกับโจรชั่วที่พรากพรหมจรรย์โดยการขืนใจเธอด้วย ความหวาดกลัวแล่นมาจับขั้วหัวใจ ร่างกายสั่นระริก ฟันกระทบกันกึกๆ ทำไมเธอไม่ตายไปเสีย จะมีชีวิตอยู่ไปทำไมกัน ทำไมไม่จากโลกอันโหดร้ายใบนี้ไปให้พ้นๆ และเขาเอ่ยชื่อคุณารักษ์ เขาสองคนเป็นอะไรกันนะ
“ฟื้นแล้วเหรอ” เสียงเหี้ยมที่ดังมาจากประตูทำให้ร่างน้อยสั่นเทา เธอกัดฟันข่มความเจ็บปวดแต่เพียงแค่ขยับก็รวดร้าวไปทั้งกาย
“โอ๊ย!!!”
เควินเดินมาหยุดยืนข้างเตียงไม้แข็งๆ ที่เธอนอนอยู่ ก่อนจะแสแยะยิ้มน่ากลัว
“ร่างกายเธอยังไม่พร้อมจะให้ฉัน... เอาหรอกนะ อย่าเพิ่งหักโหมไป ยังไงฉันจะตอบสนองเธอให้ถึงพริกถึงขิงแน่นอน”
“คนสารเลว!” เธอมองเขาตาเขม็ง ไม่คิดหวาดกลัวอะไรอีก ในเมื่อชีวิตเธอก็ไร้ค่าเพียงพอแล้ว
“ฉันเลวได้มากกว่านี้อีก เลวอย่างที่เธอไม่คาดคิดเลยล่ะ”
ดวงตาแข็งกร้าวของเขาทำให้เธอกลัวจับจิตจับใจ
“ฉันก็เลวพอๆ กับความเลวของเธอนั่นแหละ”
“ฉันไปทำอะไรให้แก ทำไมต้องทำร้ายกันถึงขนาดนี้”
“เธอเคยจำอะไรได้บ้างล่ะ เคยทำอะไรใครต่อใคร แล้วจำได้บ้างไหม” เขากระชากไหล่ทั้งสองข้างมาเขย่าจนหญิงสาวหัวสั่นหัวคลอน
“โอ๊ย! ฉันเจ็บ ฮือๆๆๆ” หญิงสาวร้องไห้โฮเมื่อเพียงแค่ขยับกายเธอก็รวดร้าวกายแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
“เจ็บสิดี จะได้รู้สึกสำนึกในสิ่งที่ทำเอาไว้ ว่าเธอมันเลวขนาดไหน”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรใคร ไม่เคย ฮึกๆ ฮือๆๆๆ” เธอพูดเสียงแผ่ว ดวงตาพร่าเลือน
“อย่ามาโกหก ทำตัวไร้เดียงสาว่าไม่รู้อะไรๆ ฉันไม่เชื่อน้ำหน้าคนอย่างเธอหรอก” เควินเขย่าร่างเล็กจนหัวสั่นหัวคลอน แต่กลับไม่ได้ยินน้ำเสียงโต้เถียงอะไรของเธออีก มือหนาชะงักเมื่อเห็นหญิงสาวคอพับคออ่อน
“สำออยนักนะ ฉันไม่หลงเชื่อเธอหรอก” เควินปล่อยร่างบางอย่างไม่ไยดี แต่เธอกลับซวนเซล้มลงบนเตียงอย่างหมดท่า
เขาชะงักเมื่อเห็นร่างเล็กสงบนิ่ง ศีรษะกระแทกกับพื้นเตียงเต็มแรง
“เพชรน้ำหนึ่ง นี่เธอ โธ่โว้ย บอบบางจริงนะ”
เควินสบถอย่างหัวเสียก่อนจะเดินไปหาอุปกรณ์ปฐมพยาบาลแล้วกลับมาจัดการเช็ดหน้าเช็ดตาให้หญิงสาว ในระหว่างนั้นเขาก็พิจารณาเธอไปด้วย ความนึกคิดของเขาย้อนกลับไปเมื่อปีก่อนตอนนั้นเพชรน้ำหนึ่งยังเป็นเพียงแค่นักศึกษาเท่านั้น
เควินนึกถึงคำพูดของมารดาเลี้ยงได้ดีเมื่อท่านโทรมาปรึกษาเรื่องคุณารักษ์ที่กำลังติดพันธุ์อยู่กับหญิงสาวคนหนึ่งที่ทำตัวไม่ดี เขาจึงตามไปสืบเสาะหาข้อเท็จจริง และในวันนั้นเขาก็ได้เจอกับแฟนของน้องชายในผับแห่งหนึ่งที่เธอมักไปเที่ยวเสมอๆ
เธอกำลังเมามายไม่ได้สติอยู่ในผับแห่งนั้น แทบไม่เป็นผู้เป็นคน แถมเธอยังมีพฤติกรรมเหวี่ยงวีนก้าวร้าว และไม่ใช่ผู้หญิงที่น่ารักนัก หากเขาไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของน้องชาย เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายโตแล้ว จะมีก็เพียงแค่เตือนสติเท่านั้น ทำให้มารดาเลี้ยงเองก็เลิกคาดคั้นให้เขาจับทั้งคู่แยกออกจากกัน
เขากลับมาทำงานของตัวเอง... แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อได้รับข่าวร้ายว่าคุณารักษ์เสียชีวิตเพราะผู้หญิงที่ทำตัวเหลวแหลกคนนั้น คนที่เขาคิดว่าไม่อยากยุ่งเพราะเป็นคนที่น้องชายรัก...
“สะใจจริงๆ เลยค่ะคุณแม่ ไม่คิดว่าทุกอย่างจะง่ายดายขนาดนี้” พิมพ์พรรณหัวเราะสะใจกับผู้เป็นมารดา
“จริงด้วยลูก ต่อไปเราก็ใส่ไฟคุณพ่อได้สบาย ว่ามันหนีตามผู้ชายไป หรือไม่ก็กลัวบ้านนพกิจเกรียงไกรจะเล่นงานเลยหนีไปกบดาน เราจะได้ครอบครองทุกอย่างที่นี่ ทุกอย่างจะเป็นของเราแล้วลูก” กรรัมภาพูดเสียงรื่นเริงเมื่อกำจัดลูกเลี้ยงสาวไปได้
“คนของคุณแม่ยอดเยี่ยมไปเลยค่ะ ไว้วันหลังเราเรียกใช้งานอีกนะคะ”
“แม่ให้มันหนีไปกบดานแล้วลูก ถ้ามีอะไรเราค่อยติดต่อมันไป” กรรัมภาบอกยิ้มๆ นางและบุตรสาวจ้างให้คนไปฉุด เพชรน้ำหนึ่งแล้วพาไปทำยังไงก็ได้ให้หายสาบสูญ ตอนนี้ไม่มีใครสงสัยโดยเฉพาะไพฑูรย์บิดาของเพชรน้ำหนึ่ง เพราะคิดว่าบุตรสาวหนีข่าวฉาวที่ทำเอาไว้
“แล้วแม่ซาร่าอะไรนั่นไม่สงสัยลูกใช่ไหม”
“โอ๊ย!!! คุณแม่คะ เวลาติดต่อมันเป็นชื่อของนังเพชรน้ำหนึ่ง จะสงสัยได้ยังไง แต่คุณพ่อทุ่มเงินปิดข่าว อีกทั้งทางนพกิจเกรียงไกรก็ทุ่มเงินปิดข่าว แบบนี้เป็นผลดีกับเรานะคะ จะได้ไม่มีใครขุดคุ้ย นังเพชรน้ำหนึ่งมันก็ถูกสังคมพิพากษาไปแล้วละค่ะว่าเลวและชั่ว ประเทศไทยก็อย่างนี้แหละ อีกหน่อยข่าวเงียบก็ลืมไปเอง ลืมไปพร้อมกับชีวิตของมันที่หายสาบสูญไปด้วย กว่าทุกคนจะรู้ มันก็กลายเป็นปุ๋ยไปแล้วค่ะคุณแม่”
“แม่ดีใจที่ได้กำจัดเสี้ยนหนามอย่างนังเพชรน้ำหนึ่งไปได้ ต่อไปพ่อของพิมพ์ก็จะมีแค่เราสองแม่ลูกเท่านั้น ทรัพย์สมบัติของคุณพ่อก็จะเป็นของเรา ไม่ต้องแบ่งให้นังกาฝากนั่นอีก”
“จริงด้วยค่ะคุณแม่ พูดแล้วสะใจจริงๆ” พิมพ์พรรณหัวเราะร่วนประสานกับมารดาอย่างมาดร้าย
ช่วยไม่ได้นะคะพี่รักษ์ พี่ไม่สนใจพิมพ์เอง!!!
“อื้อ...”
ร่างน้อยที่ครวญครางด้วยความเจ็บร้าว ค่อยๆ ขยับตัว แค่เพียงเคลื่อนไหวร่างกาย ความทรมานกลับถาโถมเข้ามาจนต้องนอนนิ่งๆ ไว้แบบนั้น
“นะ... น้ำ ขะ... ขอน้ำ นะ...หน่อย” เสียงแหบพร่าที่ดังขึ้นทำให้เสือกับสิงห์ คนสนิททั้งสองของเควินแทบจะเหาะไปอยู่ข้างเตียง
“ไอ้เสือ คุณเขาขอน้ำว่ะ” สิงห์รีบบอกน้องชายฝาแฝด
“น้ำเหรอ เออๆๆ” เสือหัวหมุนหันไปหยิบน้ำมาถือเอาไว้
“ป้อนสิไอ้เสือ ท่าทางจะไม่ไหว” สิงห์เห็นอาการไม่ตอบสนองของหญิงสาวบนเตียงก็นึกอนาถใจ
“เคยป้อนเสียที่ไหน ฉันทำไม่เป็นโว้ย” เสือโวยวายเงอะๆ งะๆ ด้วยเกรงว่าจะทำรุนแรงจนร่างบอบบางชอกช้ำไปมากกว่านี้
“เดี๋ยวฉันเอง แกนี่ไม่ได้เรื่อง” สิงห์รับน้ำมาถือเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆ ประคองร่างอ่อนแรงขึ้นสู่อ้อมแขน
“แกสองคนทำอะไร บอกให้เฝ้าเฉยๆ ไม่ใช่เหรอ!!!”
เสียงคำรามราวกับฟ้าผ่าดังขึ้นที่ประตู สิงห์ยังไม่ยอมปล่อยร่างน้อย แต่ก็ยังไม่ป้อนน้ำไปที่ปากคนในอ้อมแขน
“ป้อนน้ำให้คุณเขาครับเจ้านาย” สิงห์ตอบเสียงนิ่ง เสือมองพี่ชายแล้วแทบหลุดขำในท่าทีไม่เกรงกลัวนั้น แต่จริงๆ รู้ว่าพี่ชายกำลังยั่วผู้เป็นนาย
“สำออย แค่นี้ทำไมไม่กินเอง” คำพูดประโยคนั้นตามมาด้วยร่างสูงที่แทรกเข้ามาดึงร่างน้อยไปสู่อ้อมแขนเสียเอง สิงห์ยอมแต่โดยดี ก่อนจะส่งน้ำยัดใส่มือให้ผู้เป็นนาย
“ไอ้สิงห์!” เควินคำรามในการกระทำกวนโมโหของลูกน้อง
“เจ้านายอยากป้อนเองก็ไม่บอก กระผมสองคนขอออกไปก่อนนะครับ” เสือหันไปยักคิ้วให้สิงห์ สองฝาแฝดมองสบตากันอย่างรู้ใจ