5
“ใช่” กรุงฉัตรตอบ “สองชิ้นนี้แหละ พอดีว่าเพื่อนของน้าปรุงเดือดร้อนเงิน น้าปรุงเลยมาหาฉันพร้อมกับกล่องไม้นี้ น้าปรุงบอกว่าเป็นของเก่าที่ซื้อมาเมื่อปีที่แล้ว เห็นบอกว่ามีอายุกว่าร้อยปีเชียวนะ น้าปรุงอยากให้ฉันช่วยซื้อแต่นายก็รู้ว่าฉันเล่นแต่ของข้าวของเครื่องใช่ที่เป็นของเก่า ไม่เล่นพวกเครื่องประดับ ฉันเลยนึกถึงนาย เขาขอสามแสนแต่ฉันคิดว่ามันแพงไป แค่หนึ่งแสนก็...”
เป็นอีกครั้งที่เสียงของพชรดนัยดังแทรก แต่ครั้งนี้กรุงฉัตรยังพูดไม่จบประโยคดี แล้วคำพูดของเขาก็ทำให้เพื่อนอีกสองคนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“ฉันรับซื้อเอง ฉันให้หนึ่งล้านบาท”
“หา...หนึ่งล้านบาท” กรุงฉัตรกับภาคินัยพูดพร้อมๆ กัน
“นายจะบ้าเหรอ ให้ไปได้ยังไงตั้งหนึ่งล้าน มันเยอะเกินไปนะเมฆ” ภาคินัยค้านทันควัน เขาไม่เห็นด้วยกับตัวเลขที่ได้ยิน แม้ว่าจะไม่ใช่เงินของตนเองก็ตาม
“นั่นสิ ราคาที่ฉันให้พี่บอยประเมินมันไม่ถึงสองแสนด้วยซ้ำ ฉันไม่เห็นด้วยนะเมฆ” กรุงฉัตรค้านด้วยอีกคน
“ไม่แพงหรอก คนผู้นั้นอุตส่าห์นำของที่ฉันตามหามาคืนให้ แค่นี้มันยังน้อยด้วยซ้ำ”
พชรดนัยพูดออกไปโดยไม่รู้ตัว ตายังคงมองเครื่องประดับนพเก้าไม่เคลื่อนไปไหน คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามมองหน้ากัน นึกสงสัยคำพูดของพชรดนัยที่ว่า “คนผู้นั้นอุตส่าห์นำของที่ฉันตามหามาคืนให้” มันหมายความว่าอย่างไร หมายถึงใคร แล้วของชิ้นนี้คือของที่พชรดนัยตามหาอย่างนั้นหรือ
“เมฆที่นายพูดหมายความว่ายังไงวะ” กรุงฉัตรถามเพื่อนให้คลายความสงสัย
“อะไรของนายกรุง อะไรหมายความว่าไง” ผู้ถูกถามกลับถามสวนขึ้นด้วยความสงสัยไม่แพ้กัน
“อ้าว...ก็ที่นายพูดว่า คนผู้นั้นอุตส่าห์นำของที่ฉันตามหามาคืนให้ แค่นี้มันยังน้อยด้วยซ้ำ ตกลงนายตามหาของชิ้นนี้อยู่เหรอ” กรุงฉัตรมีสีหน้าฉงนมากกว่าเดิม ดูเหมือนว่าพชรดนัยจะใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พูดอะไรออกไปไม่รู้ตัวอีกด้วย
“อ๋อใช่ ฉันอยากได้อยู่พอดีเลย” พชรดนัยตอบแบบไหลไปตามน้ำ
“ถึงนายจะอยากได้แต่ก็ไม่น่าจะให้เงินสูงมากขนาดนั้น ฉันว่าแค่ราคาที่เขาขอไว้ก็พอ” กรุงฉัตรยังไม่เลิกค้าน
“ฉันเห็นด้วยกับกรุงนะ ฉันว่าให้แค่สามแสนก็พอ หนึ่งล้านมันเยอะเกินไป” ภาคินัยก็ไม่เลิกค้านเช่นกัน
“ฉันอยากให้เขาเอง เขากำลังเดือดร้อนถือว่าช่วยๆ กันไป เขาหาสิ่งของที่ฉันต้องการ ฉันให้เงินเขาเป็นค่าตอบแทน คิดแค่นี้ก็สิ้นเรื่อง กรุงนายบอกชื่อนามสกุลของเพื่อนน้าปรุงมาได้เลย ฉันจะเซ็นเช็คให้”
เมื่อเจ้าของเงินคิดและต้องการเช่นนั้น กรุงฉัตรกับภาคินัยก็หมดคำค้าน กรุงฉัตรจึงบอกชื่อนามสกุลของเพื่อนน้าสาวให้กับพชรดนัย ก่อนที่อีกฝ่ายจะยื่นเช็คเงินสดหนึ่งล้านบาทให้กับเขาในเวลาต่อมา
ในขณะที่กรุงฉัตรยื่นมือไปรับเช็คใบนั้น สายตาของเขาจับจ้องไปยัง ฝากล่องไม้ที่เปิดค้างอยู่ ลายสลักแสนสวยนั้นปรากฏภาพของสตรีนางหนึ่งส่งยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร ใบหน้าของเธอสวยงามแต่ทว่าดวงตาของเธอกลับเป็นสีแดงจัดจ้า อารามตกใจเขาสะดุ้งสุดตัว ตาเหลือกและรีบกระชากเช็คจากมือของพชรดนัยอย่างแรง
“ฉันสองคนขอตัวกลับก่อนนะ ค่ำนี้เจอกันที่เดิมก็แล้วกัน”
กรุงฉัตรพูดเสียงรัว รีบลุกจากเก้าอี้ถอยห่างกล่องไม้ให้มากที่สุด ขยี้ตาอีกครั้งแล้วเพ่งมองไปยังฝากล่องอีกหน ให้แน่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นคือภาพจริงหรือภาพหลอนที่ติดค้างในมโนภาพ
“เป็นอะไรของนายวะกรุง อยู่ๆ ก็ลุกพรวดพราด ทำหน้าทำตาอย่างกับเห็นผี” คนช่างสงสัยหันมาถามเพื่อนที่ขยับร่างห่างไปหลายเมตร
“รีบกลับเถอะ ฉันต้องไปธุระที่อื่นต่อ” กรุงฉัตรพูดกับภาคินัย ก่อนจะหันไปล่ำลาเจ้าของสถานที่ “ฉันไปก่อนนะเมฆ เจอกันคืนนี้นะ” พูดจบก็รีบเดินออกไปจากห้องทันที
“อะไรของมันวะ” ภาคินัยงุนงงกับทีท่าของกรุงฉัตร จำต้องลาพชรดนัยอีกคน “ฉันไปก่อนนะเมฆ เจอกันคืนนี้”
“อืม...เจอกัน” พชรดนัยรับนัดเพื่อน ภาคินัยจึงลุกเดินแล้วเดินออกไปจากห้องทำงานสุดหรู ไปสมทบกับกรุงฉัตรที่ยืนรออยู่นอกห้อง
“เป็นอะไรวะกรุง ทำหน้าทำตา ทำเสียงอย่างกับเจอผี” ภาคินัยเปิดฉากถามเพื่อนทันที
“ไม่มีไรหรอก ฉันอยากไปธุระมากกว่าน่ะ”
กรุงฉัตรจำต้องปดเพื่อน เพื่อไม่ให้จอมสงสัยยิงคำถามอื่นต่อ เขาคิดว่ากล่องไม้แสนน่ากลัวได้ห่างกายเขาไปอยู่ในมือของพชรดนัย ทุกอย่างมันคงจบสิ้น เขาจะไม่เกิดความหลอนใดๆ อีกแล้ว
“ธุระอะไรวะ ไหนนายบอกฉันว่าวันนี้ไม่มีนัดที่ไหนไงล่ะ” ภาคินัยไม่เลิกสงสัย
“ก็...ธุระ ธุระ” กรุงฉัตรพยายามหาข้อแก้ตัว “ก็เอาเช็คไปให้เพื่อนของน้าปรุงไง เขากำลังร้อนเงิน ฉันก็เลยอยากจะจัดการให้มันเสร็จๆ ไป” เขาหาคำตอบได้ในที่สุด
“เออๆ งั้นก็รีบไปกัน” กรุงฉัตรเร่งฝีเท้าเดินไปยังลิฟต์ทันที โดยมีร่างของภาคินัยเดินตามไปติดๆ
หลังจากที่เพื่อนสนิททั้งสองคนเดินออกไปจากห้อง มือใหญ่ของพชรดนัยเอื้อมไปหยิบแหวนนพเก้าขึ้นมาพินิจมอง รูปแหวนเป็นทองคำน้ำหนักไม่ทราบได้ ตัวแหวนประกอบด้วยอัญมณีล้ำค่ามีความหมายแปดเม็ดประกอบด้วย ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน นิลกาฬ หรือนัยหนึ่งไพลิน มุกดาหาร เพทาย ไพฑูรย์ ล้อมรอบอีกหนึ่งอัญมณีที่ขาดไม่ได้คือเพชรเม็ดงามที่ส่องแสงกระทบกับแสงนีออนในห้องจนเป็นประกายวับวาว
ระหว่างที่พชรดนัยเพ่งมองแหวนอยู่นั้น เขารู้สึกเหมือนมีพลังบางอย่างวิ่งเข้าหาตัว พร้อมกับลมวูบหนึ่งพัดเข้ามากระทบกาย เกิดความเย็นวาบจนหนาวสั่นในชั่ววินาที ทั้งที่ลมไม่สามารถเข้ามาในห้องนี้ได้ เพียงแค่กระพริบตาเขามองเห็นมือของตนเองเล็กลง บอบบางไม่ต่างกับมือของอิสตรี มืออีกข้างหนึ่งที่ถือแหวนบรรจงสวมแหวนใส่นิ้วนางข้างซ้ายอีกข้างอย่างพอเหมาะพอดี
เสี้ยววินาทีนั้นพชรดนัยไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองทำอะไรอยู่ เขาไม่รู้ว่าสวมแหวนวงนั้นได้อย่างไร ทั้งที่ใจจริงเขาเพียงแค่หยิบมันมาชื่นชมความสวยงามเท่านั้น ไม่คิดจะสวมใส่ ใบหน้าของเขาก็เช่นกัน ถูกซ้อนทับด้วยใบหน้าของสตรีที่มีความแค้นฝังจิตวิญญาณมาตั้งแต่อดีตชาติซ้อนทับ ดวงตาที่เคยอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน เป็นดวงตาแห่งความโกรธแค้นที่เข้าครอบงำ น้ำเสียงที่ราบเรียบกลับกลายเป็นเยือกเย็น และที่สำคัญไม่ใช่เสียงของพชรดนัย
“ถึงเวลาของข้าแล้วไอ้กัลป์”
ไม่มีใครรู้เลยว่าแหวนและกำไลนพเก้าที่พชรดนัยได้มานั้น เพิ่มพลังให้จิตวิญญาณอีกดวงหนึ่งที่ตามข้ามภพข้ามชาติ รอเวลาสะสางบัญชีแค้นที่ล่วงเลยมากว่าร้อยปี และเวลานี้จิตวิญญาณที่เปี่ยมด้วยแรงพยาบาทดวงนี้ก็พร้อมที่จะเริ่มต้น...แก้แค้น