“เมฆ...เมฆ” ภาคินัยเรียกเจ้าของห้องที่นั่งมองกล่องไม้ตาไม่กระพริบ “เมฆ...เมฆ” ก่อนจะเพิ่มเสียงให้ดังมากขึ้นหวังจะเรียกสติของพชรดนัยให้กลับคืนมา
“เรียกซะดังเชียว อยู่ใกล้แค่นี้เรียกเบาๆ ก็ได้” คนที่ได้สติพูดขึ้นเป็นประโยคแรก
“ฉันเรียกนายเบาๆ นายได้ยินที่ไหน ตาเอาแต่มองกล่องไม้อยู่ได้ ไม่เคยเห็นหรือไง” ภาคินัยพูดอีกครั้งก่อนจะหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้พร้อมกับกรุงฉัตร
“ที่นายสองคนบอกว่ามีเรื่องให้ฉันช่วย เรื่องอะไรล่ะ”
พชรดนัยเปลี่ยนเรื่องสนทนา เอ่ยถามเรื่องที่กรุงฉัตรโทรศัพท์มาหาเขาเมื่อสามวันก่อน บอกว่ามีเรื่องจะให้ช่วย ทว่าวันนั้นเขาอยู่ต่างประเทศ จึงตอบกลับไปว่าให้เขาเดินทางกลับเมืองไทยก่อน แล้วจะช่วยในเรื่องที่จะร้องขอ กรุงฉัตรได้ยินดังนั้นจึงวางกล่องไม้ลงบนกลางโต๊ะทำงาน
“นี่คือสิ่งที่ฉันจะให้นายช่วย”
และทันทีที่มือทั้งสองข้างของกรุงฉัตรผละห่างจากกล่องไม้ ความอึดอัดที่เขาประสบมาตลอดสามวัน พลันหายในพริบตา กรุงฉัตรรู้สึกโล่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ประหนึ่งหมดภาระอันแสนหนักอึ้ง
พชรดนัยมองกล่องไม้กล่องนั้นไม่วางตา เขามีความรู้สึกว่าเคยพบเห็นกล่องไม้นี้มาก่อน แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน มันคุ้นตาเขาเหลือเกินราวกับว่าครั้งหนึ่งของชิ้นนี้เขาเคยครอบครองมาก่อน มือใหญ่ของเจ้าของห้องค่อยๆ เอื้อมไปจับกล่องไม้แสนคุ้นตา
แปลบ...วินาทีแรกที่ปลายนิ้วของเขาสัมผัสกับกล่องไม้ เหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นเข้ามาในร่างกายของพชรดนัย จนเขาต้องชักมือกลับ แต่ราวกับมีพลังแม่เหล็กดึงมือเขาให้กลับไปจับกล่องไม้อีกครั้ง พชรดนัยดึงกล่องไม้เข้าหาตัวและเปิดฝากล่องออก ของสองสิ่งที่อยู่ในกล่องไม้ปรากฏต่อสายตาของเขา ทันทีที่เขาเห็นเครื่องประดับล้ำค่าในกล่องนั้น ดวงตาของเขามองเห็นภาพบางอย่างที่ทับซ้อนเครื่องประดับขึ้นมาเดี๋ยวนั้น
ภาพนั้นก็คือ ภาพของสตรีนางหนึ่งอยู่ในอ้อมกอดของชายคนหนึ่ง ก่อนที่ชายคนนั้นจะหยิบกล่องไม้ที่มีลวดลายเหมือนกับกล่องไม้ที่อยู่ในมือของตน แหวนและกำไลนพเก้าวางอยู่บนผ้าไหมเนื้อดี ชายคนนั้นหยิบกำไลมาสวมใส่ในข้อมือของสตรีในอ้อมกอด จากนั้นก็สวมแหวนก้มลงจูบกลางหลังฝ่ามือของสตรีนางนั้น แล้วทั้งคู่ก็ตกอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน พร้อมกับรอยยิ้มแห่งความสุข
ฝ่ายชายพชรดนัยมองไม่ถนัด ภาพใบหน้าของชายผู้นั้นเบลอจนมองไม่ชัดเจน ฝ่ายหญิงเขาจำได้ดีว่าคือใคร หล่อนคือสตรีที่เขามักเห็นซ้อนทับใบหน้าของตนตั้งแต่จำความได้ บางครั้งก็เห็นหล่อนในความฝันที่มักจะมาอยู่ในนิมิตทุกวันพระเสมอ ในวัยเยาว์เขารู้สึกตกใจและหวาดกลัวกับภาพของสตรีนางนั้น จนเขาไม่กล้ามองกระจกทุกบานที่เดินผ่าน เพราะกลัวจะเห็นสตรีที่ไม่พึงปรารถนา
พชรดนัยคิดว่าหากเขาไม่ส่องกระจก ตนเองจะไม่เห็นภาพที่ไม่อยากเห็น การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น หล่อนเข้ามาก่อกวนในความฝันของเขา มาปรากฏกายและหลั่งน้ำตา เปล่งเสียงโหยหวนจากความเศร้าที่เกาะกินในใจ พชรดนัยรู้สึกสงสารและเห็นใจสตรีนางนั้นเป็นอย่างมาก รู้สึกเศร้าโศกไปกับหยาดน้ำตาที่รินไหล และเสียงสะอื้นไห้ที่เกาะกินในใจคนฟังประหนึ่งว่าเขาและสตรีคนนั้นสื่อความรู้สึกถึงกันได้
“พี่เป็นอะไรครับ ร้องไห้ทำไมครับ” ห้วงแห่งฝันเขากล้าหาญเอ่ยถาม
“ช่วย...ช่วยข้าด้วย” สตรีนางนั้นตอบกลับมาพร้อมกับน้ำตา
“จะให้ผมช่วยอะไรครับ” พชรดนัยถามต่อ เอื้อมมือหมายจะจับร่างของสตรีนางนั้น ทว่าร่างของหล่อนได้หายวับในพริบตา กลายเป็นหมอกควันสีขาวที่พวยพุ่งเข้าไปในบ้านไม้หลังหนึ่งที่มองเห็นไกลๆ เขาวิ่งตามหมอกควันนั้นไป แต่วิ่งอย่างไรก็วิ่งไม่ถึง มันยิ่งห่างเขาไปทุกก้าวที่เขาวิ่ง ห่างจนพชรดนัยคิดว่าคงวิ่งไปไม่ถึง
แล้วความฝันในลักษณะนี้เกิดขึ้นทุกวันพระ มันเกิดขึ้นทุกสัปดาห์ ทุกเดือน และทุกปี จากความกลัวเป็นความเคยชิน จากที่ไม่กล้าส่องกระจกเขาก็พร้อมเผชิญกับมัน มองภาพของสตรีนางนั้นที่ทับซ้อนใบหน้าโดยไม่มีความหวาดกลัว เสมือนเขาและสตรีนางนั้นเป็นคนๆ เดียวกัน
แต่พชรดนัยไม่คิดที่จะบอกใครในเรื่องนี้ เขากลัวว่าจะไม่มีคนเชื่อ กลัวจะมองว่าเขาบ้ามากกว่า เขาจึงเก็บความลับนี้เรื่อยมาตราบจนถึงปัจจุบัน
พชรดนัยมีความรู้สึกว่า หล่อนเป็นจิตวิญญาณที่ตามติดตัวเขามาตั้งแต่เกิด ตามมาเพื่อต้องการบางอย่าง...บางอย่างที่เขาก็คาดเดาไม่ออกว่าคืออะไร
“เมฆ...เมฆ...เมฆโว้ย”
ภาคินัยตะโกนเรียกชื่อเล่นของพชรดนัยดังลั่นห้อง เมื่อเห็นอีกฝ่ายตาค้างเบิ่งมองเครื่องประดับสองชิ้นในกล่อง ไม่เพียงแค่เรียกเท่านั้น เขายังชะโงกตัวไปเขย่าร่างของเพื่อนอีกด้วย
“อะ...อะไร” พชรดนัยเอ่ยถามเพื่อนกลับด้วยอาการงงๆ
“นายเป็นอะไรวะ มองของในกล่องตาไม่กระพริบไม่พอ นายทำท่าเหมือนกับเห็นผีด้วย”
ภาคินัยถามต่อด้วยความสงสัย และคำถามของภาคินัยนี้เองทำให้กรุงฉัตรสะดุ้ง ดวงตาเลิ่กลั่กมองไปรอบๆ ห้อง สีหน้าไม่ต่างกับคนกลัวผี กระเถิบเก้าอี้ที่ตนนั่งไปชิดเก้าอี้ของภาคินัย
“แล้วนายเป็นอะไรอีกคนเนี่ยกรุง นั่งซะติดฉันเลยนะ เห็นผีอีกคนหรือไง” ภาคินัยถามแกมหยอก
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีเลย ของอย่างนี้ไม่เจอกับตัวนายไม่รู้หรอก”
ดวงตาของกรุงฉัตรหลุบต่ำมองกล่องไม้ ก่อนจะมองไปรอบๆ ห้อง สลับกันไปมา เขาอยากจะบอกคนปากดีเหลือเกินว่า ที่เขาไม่รับซื้อของในกล่องไม้กล่องนี้จากเพื่อนของน้าสาวที่เดือดร้อนเงินเพราะมันมีอาถรรพ์ที่ทำให้เขาขนลุกขนพองจนต้องนำไปวางไว้ให้ไกลตัว
กรุงฉัตรมองเห็นภาพของสตรีเดินมาหยิบเครื่องประดับในกล่องไม้มาสวมใส่ ยิ้มสลับกับร้องไห้ ครั้งแรกเขานึกว่าตาฝาด แต่พอเห็นอีกครั้งจึงมั่นใจว่าใช่เลย ต้องเป็นเจ้าของที่แท้จริงแน่นอน ด้วยความกลัวผีเป็นทุนเดิม เขาจึงย้ายที่ไปวางไว้ในห้องพระ และนึกถึงพชรดนัยขึ้นมาในเสี้ยววินาทีนั้น กรุงฉัตรจึงเร่งติดต่อคนที่เขานึกถึง แล้วรอจนกว่าพชรดนัยกลับเมืองไทย กรุงฉัตรจึงนำกล่องไม้มาให้เพื่อนสนิทช่วยซื้อทันที
“เจออะไรวะ” คนปากดีถามกลับ ยังไม่ทันที่กรุงฉัตรจะเอ่ยปากตอบ เสียงของเจ้าของสถานที่ก็ดังทับเสียงเขาเสียก่อน
“เอาล่ะไม่ต้องเถียงกัน กรุงนายบอกว่ามีของจะปล่อยให้ฉัน ของสองชิ้นนี้ใช่ไหม”